กีตาบวะสาเอล อิลมูกาลาม
ตอนที่ 1
بسم الله الرحمن الرحيم
หนังสือเล่มเล็กๆเล่มนี้ ถูกตั้งชื่อว่า
วะสาเอล อิลมิลกะลาม วะเราะฟะตุน วะเราะห์มะตุน ลิลอาวาม
หมายถึง สื่่อกลางซึ่งนำพาไปสู่ความเข้าใจ ในวิชาอุซูลุดดีน เป็นความเอ็นดูและเมตตา สำหรับคนอาวาม
สาเหตุที่เรียกวิชาอิลมุกาลาม เพราะว่าวิชานี้ ได้มีการพูดถึงซีฟัตกาลาม มีการอภิปรายกันมาก มีความเห็นขัดแย้งกันมาก หนังสือเล่มนี้ถุกเขียนขึ้นเพื่อนำเปนสื่อในการสร้างความเข้าใจในวิชาอุซุลุดดีน เป็นความเอ็นดูสงสารเมตตาต่อคนเอาวาม (คนที่เขารุ้ศาสนาไม่มากนัก) เพื่อให้เขาได้มีความเข้าใจวิชาอุซุลุดดีนได้ ดังนั้นหนังสือเล่มนี้พยายามที่จะเป็นบันไดให้ผุ้ที่ต้องการศึกษา วิชาอุซุลุดดีนได้ง่ายยิ่งขึ้น
หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวเกี่ยวกับ คำนิยามต่างๆที่เกี่ยวกับวิชาอุซุลุดดีน เพื่อให้ลุกหลานของฉันและพี่น้องมุสลิมของเราที่อ่อนแอในเรื่องความรุ้ จะได้ช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งให้พวกเขาเหล่านั้นได้เริ่มเรียนรุ้รากฐานอิสลาม โดยการสอนนั้น จะสอนด้วยแนวทางของอุลามะยุคก่อนๆที่เขาได้สั่งสอนเอาไว้เพื่อให้เราได้รอดพ้นจากการเข้านรก ในช่วงอายุที่5(โลกแรก คือโลกวิญญาณ โลกที่สองคืออยุ่ในท้องแม่ โลกที่สาม คือดุนยาที่เรามีชีวิตอยุ่ โลกที่สี่ คือต่อไปเราตายไปอยู่ในอาลัมบัรซัค และโลกที่5 คือการฟื้นคืนมาอีกครั้ง)
เราเรียนเพื่อให้พ้นจากการเป็นการเฟร ที่มีการยึดมั่น(อากีดะ)ที่ไม่ถุกต้อง
หนังสือเล่มนี้ได้ถุกรวบรวมโดยท่านอับดุลกอเดร วาเงาะ สกัม เป็นปอเนาะสกัมในปัจจุบัน ข้าพเจ้ามีความมุ่งหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะมีประโยชน์อย่างทั่วถึง และหนังสือเล่มนี้จะได้ทำให้ฉันได้รับการตอบแทนจากอัลลอตาอาลา และฉันขอสงวนลิขสิทธ์ในการเผยแพร่ ถ้าหากท่านใดมีความสนใจให้มาปรึกษาได้
ข้าพเจ้าขอเริ่มต้นหนังสือเล่มนี้ด้วยกับ บิสมิลลาฮีรเราะมานิรรอฮีม
ด้วยพระนามแห่งอัลลอฮ์ พระองค์อัลลอทรงมีความเมตตา ต่อผุ้ศรัทธาและต่อผู้ปฎิเสธศรัทธาในโลกนี้ และพระองค์ทรงปราทานเราะห์มัตในโลกหน้าเฉพาะผู้ที่ศรัทธาเท่านั้น
บรรดาการสรรเสริญมีทั้งมวล เป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮ์ ( การสรรเสริญมี 4อย่าง อัลลอสรรเสริญพระองค์เอง พระองค์สรรเสริญต่อสิ่งถุกสร้าง สิ่งถูกสร้า(ของใหม่)สรรเสริญต่อพระองค์ และของใหม่สรรเสริญต่อของใหม่(ซึ่งแก่นแท้ของการสรรเสริญนั้นกลับไปหาอัลลอตาอาลา เพราะผลเร็จของการกระทำนั้นมาจากอัลลอฮ์เท่านั้น)
อัลลอได้ทรงสร้างให้เรานั้นมีสติปัญญา(อากาล)ในการคิดใคร่ครวญ อัลลอฮ์ให้เราสามารถคิดวิเคราะห์เป็น ทำให้เรานั้นสามารถระวังรักษาวิญญาณและร่างกายของเรา
ขออัลลอฮ์ได้ทรงประทานเราะห์มัต และความปลอดภัยต่อท่านนาบีผุ้เป็นนายของเรา เป็นศาสนทุตของพระองค์ และขอทรงประทาน เราะห์มัต และความสันติต่อเครือญาติของท่านนาบี และบรรดาซอฮาบะห์ ด้วยเถิด
พึงทราบเถิดโอ้บรรดาพี่น้องมุสลิมทั้งหลายว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่เป็นรากฐานและเป็นสิ่งที่เป็นความสำคัญคือ การที่เราจำเป็นต้องรุ้จักอัลลอตาอาลา (มะริฟะห์) และร่อซุ้ลลุลลอฮ์ (ถ้าเราไม่รุ้จักอัลลอฮ์และท่านนาบี จะทำให้อิบาดัตที่เราทำไปนั้นไม่มีประโยชน์ใดๆเพราะมันใช้ไม่ได้(ไม่เสาะห์)) (สมัยก่อน ได้มีแนวคิดพวกฟุลาสาเฟาะพยายามจะมาสั่นคลอนอะกิดะห์ของอิสลาม โดยใช้ตรรกะ แต่ได้ถูกตอบโต้ด้วย อิลมุกาลาม การที่เราตอบโต้ด้วยอัลกุรอ่านนั้น สำหรับพวกเขาพวกเขานั้นไม่เชื่อไม่ยอมรับ ดังนั้นจึงได้มีการตอบโต้ด้วยปัญญา จึงต้องมีตรรกะเอาไปตอบโต้กับพวกเขาเหล่านั้นได้ หลังจากพวกฟุลาซาเฟาะถุกตอบโต้. ต่อมาได้มีแนวคิดพวกมัวะตาซิละ(เอาหลักการ/ทฤษฎีพวกฟุลาซาเฟาะมาปรับ) ต่อมาอิหม่ามอบู ฮาซัน อัชฮารี ที่พ่อเลี้ยงของท่านเป็นมัวะตาสิละ ท่านศึกษาตามแนวทางนี้จนท่านอาเล็ม
แต่ท่านพบว่าแนวทางมัวะตาสิละนั้นไม่ได้เป็นแนวทางที่เอามาจากอัลกุรอ่านและฮาดิษ(เช่นแนวทางมัวะตาสิละปฏิเสธซีฟัต แต่ของเราไม่ได้ปฏิเสธซีฟัต เช่น อัลลอฮ์สร้างโลกด้วยซีฟัตกุดรัตนั้นคือตามอาชาอิเราะห์ แต่พวกมัวะตาสิละนั้นยึดว่าอัลลอสร้างโลกไม่ใช่ด้วยซีฟัตกุดรัต เพราะเขายึดมั่นตามพวกฟุลาซาเฟาะว่าสิ่งที่กอดีมมีได้อย่างเดียวเท่านั้นคือ ซาตของอัลลอเท่านั้นถ้ามีซีฟัตอื่นๆก้อแสดงว่า สิ่งที่กอดีมมีมากกว่าหนึ่ง เป็นต้น
แนวทางอิหม่ามอาบู ฮาซัน อัชฮารีย์ และ แนวทางมะตุริดียะห์ เป็นแนวทางอะลิสซุนนะวัลญามาอะในปัจจุบัน คือยึดมั่นว่าอัลลอมีซาตที่กอดีม และซีฟัตต่างๆที่ซาตของอัลลอก้อกอดีมด้วย ส่วนกลุ่มวาฮาบีย์นั้นถุกสอนมาว่า กลุ่มมัวะตาสิละ พวกยะห์มิยะห์ อาชาอิเราะห์ นั้นเป็นเหมือนกัน (ยามียะ ไม่ยอมรับว่าอัลลอมีซีฟัต แต่อาชาอิเราะห์ยอมรับว่าอัลลอมีซีฟัต เช่น ซีฟัตอิสตะวา อะชาอิเราะห์ ยึดมั่นว่าคือซีฟัตของอัลลอฮ์ แต่เราไม่รุ้ว่าแก่นแท้ของอิสตะวาคืออะไรและเราจะไม่ไปยุ่งกับซีฟัตของอัลลอฮ์ แต่วะฮาบีย์นั้นบ่งบอกว่าซีฟัตอิสตะวาของอัลลอเป็นการประทับของอัลลอฮ์ เพราะไม่สามรถรู้แก่นแท้ได้ พร้อมทั้งปฏิเสธลักษณะที่เป็นลักษณะของสิ่งถูกสร้างสำหรับพระองค์ ได้แก่ก่รปฏิเสธการเป็นสสารซึ่งต้องการที่ว่าง นั้นคือการปฏิเสธว่าอัลลอฮ์เอาที่ว่างเหนืออะรัชนั่นเอง (เพราะการเอาที่ว่างขนาดเท่าตัวเอง นั้นคือคุณสมบัติของสสาร และทุกๆสสารย่อมต้องเป็นสิ่งถูกสร้าง อัลลอฮ์ทรงบริสุทธิ์จากลักษณะของการเป็นสสาร ) และสำหรับกลุ่มมัวะตาสิละ ไม่ยึดมั่นว่าอัลลอฮ์มีซีฟัต ซึ่งต่างจากอะชาอิเราะห์เช่นกัน แต่วาฮาบีย์นั้นเหมารวมและไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่ยึดถือต่าง ๆ นี้ได้ แต่กลับเหมารวมไปทั้งหมด จนบางคนถึงขั้นบอกว่า อะชาอิเราะห์ปฏิเสธอัลกุรอ่าน บางคนยิ่งกนักถึงขั้นบอกว่าเป็นกาเฟร ทั้งๆ ที่อุลามาอ์เกือบทั้งหมดของโลกอิสลามจากอดีตจนถึงปัจจุบันต่างยึดถือแนวทางนี้ )
การรุ้จักอัลลอตาอาลานั้น ในหนังสือของบรรดาอุลามะอ์ต่างๆที่มีความเชี่ยวชาญ. การรุ้ด้วยกับการมีสื่อ ซึ่งนำพาไปสู่การรุ้จักอัลลอ ซึ่งก็คือโดยการที่เรามีความรุ้และความเข้าใจ ได้แก่ 3ประการที่เกี่ยวพันกับการรุ้จักอัลลอและร่อซุ้ล นั่นคือฮุก่มอากาล 3 ประการ (การตัดสินชี้ขาดซึ่งตัดสินด้วยกับสติปัญญาของเรา)
ฮุก่มอากาลขมี วุยุบ อิสติฮาละ ยาวาส และสิ่งที่ถุกฮุก่มเราเรียกว่า วายิบ มุสตาฮีล ยาอิส คนทั่วไปนั้นสามารถตอบได้ แต่ส่วนมากโดยแก่นแท้ของฮุก่มเหล่านี้ยังมีความเข้าใจกันน้อย ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นบันไดที่นำไปสุ่การทำความรุ้จักอัลลอตาอาลา ดังนั้นพี่น้องมุสลิมทั้งหลายท่านจงทำความเข้าใจ ลองเอามาเปรียบเทียบกันดูด้วยกับอิบารัต(สำนวน)ของอุลามะอ์ทั้งหลาย โดยใช้ความเป็นธรรม วางใจให้เป็นกลางระหว่างคนยุคก่อนและยุคหลัง ท่านจงอย่ารีบปฏิเสธ. และอย่าเพิ่งรีบเชื่อมั่นก่อนที่ท่านจะได้ทำความเข้าใจสิ่งเหล่านั้นเสียก่อน เพราะอัลลอตาอาลานั้นได้ให้สติปัญญาแก่เราในการพินิจพิเคราะห์. และเป็นการไม่บังควรที่เราจะเอาสติปัญญาไปใช้กับสิ่งที่ไม่มีคุณค่า เช่น มัวแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องของดุนยา แทนที่เราจะเอาไปคิดถึงการทำความรุ้จักพระเจ้า คิดถึงเรื่องของอาคีรัต มีหลายๆเรื่องที่เรายังไม่รุ้ และเราเองไม่สามารถคิดไปถึง และอัลลอไม่เหมือนมัคโล้กใดๆ อย่ามัวไปคิดถึงดุนยาให้มากเกินไป และเช่นกันไม่สมควรที่จะปล่อยปละละเลยให้อารมณ์ใฝ่ต่ำของเราไปอยุ่เหนือสติปัญญาของเรา ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วจะทำให้สติปัญญาที่มีคุณค่ามหาศาลนั้นไม่มีคุณค่า. ถ้าเราทำแบบนั้นคือการปฏิเสธสิ่งที่มีคุณค่าสิ่งที่ดีๆ สติปัญญาก้อไม่ได้ทำการรักษาตัวเรา เราปล่อยให้ไชตอนได้ชักนำเราให้ไปอยุ่กับมัน ขอความคุ้มครองจากอัลลอให้ห่างไกลจากการชักนำของไชตอนด้วยเถิด
พึงทราบเถิดบรรดาฮุก่มอากาล แท้จริงแล้ว มีอยุ่ด้วยกัน 3 ประการ คือ
วุยุบ
อิสติฮาละ
ยาวาซ
ฮุ่ก่ม
วุยุบ เป็นภาษาอาหรับ คือ. จำต้องมี/จำต้องจริง
อิสติฮาละ เป็นภาษาอาหรับ คือ จำต้องไม่มี/ไม่จริง
ยาวาซ เป็นภาษาอาหรับ คือ. เหมาะสม/สมควร
สิ่งที่ถุกฮุก่ม (คือสิ่งที่ถุกตัดสิน นั่นคือ วายิบ มุสตาฮีล และยาอิซ ส่วนผุ้ตัดสินคือ สติปัญญา(อากาล))
วายิบ เป็นภาษาอาหรับ ในภาษามลายุ คือ สิ่งที่ จำต้องจริง/จำต้องมี
มุสตาฮีล เป็นภาษาอาหรับ ในภาษามลายุ คือ สิ่งที่ไม่จริง ไม่มี ไม่ใช่
ยาอิซ เป็นภาษาอาหรับ ในภาษามลายุ คือ สิ่งที่เหมาะสม. สมควร (ในการด้านยอมรับหรือปฏิเสธ)
(ตัวอย่าง เมื่อเราพุดถึง ซีฟัตวายิบสำหรับอัลลอทีเราต้องรุ้ หมายถึง ซีฟัตวายิบสำหรับอัลลอ คือสิ่งที่เราตัดสินด้วยสติปัญญา(อากาล) ส่วนสิ่งที่เราต้องรุ้ คือวายิบในทางชาเราะห์ที่เราต้องรุ้ ถ้าไม่รุ้ก็จะเป็นปาบ)
ดังนั้นสามสิ่งนี้คือบรรดาสิ่งที่มีคุณลักษณะของฮุก่มอากาลอยุ่นั่นเอง
วัลลอฮุอะลัม