กีตาบวะสาเอล อิลมูกาลาม ตอนที่2
31/7/59 หน้า4 บรรทัดที่3 นับจากด้านบน
بسم الله الرحمن الرحيم
จากตอนที่ 1 ได้กล่าวถึงฮุก่มอากาล นั่นคือ วุยุบ อิสติฮาละ และยาวาซ
และสิ่งที่ถุกฮุก่มเราเรียกว่า วายิบ มุสตาฮีล และยาอิส ;
วายิบนั่นคือสิ่งที่ถุกอากาลตัดสินว่า วุยุบ, มุสตาฮีลคือสิ่งที่ถุกอากาลตัดสินว่า อิสติฮาละ และยาอิส คือสิ่งที่อากาลตัดสินว่ายาวาซ
อุลามะอ์ยุคสมัยก่อนได้ให้คำนิยามต่อสามอย่างนี้คือ วายิบ มุสตาฮีล และยาอิส โดยไม่ได้กล่าวถึงฮุก่ม แต่จะกล่าวถึงสิ่งที่ถุกฮุก่มเลย (จะไม่กล่าวถึงแล้วว วุยุบ,อิสติฮาละ และยาวาซ คืออะไร แต่จะเขียนถึง (สิ่งที่ถุกฮุก่ม) วายิบ มุสตาฮีล และยาอิส เลย) เพราะว่า เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่วายิบ ฮุก่มก็จะเข้าไปอยุ่ในสิ่งที่วายิบเลย นั่นก็คือวุยุบ และเมื่อกล่าวถึงมุสตาฮีล ฮุก่มก็จะเข้าไปอยุ่ในสิ่งที่มุสตาฮีลเลย นั่นคืออิสติฮาละห์. และเมื่อกล่าวถึงยาอิส ฮุก่มก็จะเข้าไปอยุ่ในสิ่งที่ยาอิสเลย นั่นก็คือยาวาซนั่นเอง.
ฮุก่มอากาลนั้น กล่าวโดยสรุป โดยเอาจุดมุ่งหมายเพื่อให้คนที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคย ก็คือ
1. วายิบในทางอากาล คือสิ่งซึ่งจำต้องจริง นั่นคือยอมรับเฉพาะด้านจริงเท่านั้นและจะไม่รับด้านไม่จริงอีกเด็ดขาด. การจะบอกว่าจริงนั้น โดยการพินิจพิเคราะห์จากผู้ที่มีสติปัญญาสมบูรณ์ต่อสิ่งนั้นว่าสิ่งนั้นจำเป็นต้องจริงเท่านั้น (ฮุก่มคือ วุยุบ, สิ่งที่ถุกฮุก่ม คือ วายิบ, สิ่งที่ตัดสิน(ฮุก่ม) คืออากาล(สติปัญญา)
• ตัวอย่างของ วายิบ คือ. มีก้อนหินอยู่ก้อนหนึ่ง ตราบใดก็ตามที่หินก้อนนั้นยังมีอยุ่ แน่นอนว่าก้อนหินก้อนนั้นต้องการที่อยุ่(ที่ว่าง) การต้องการที่อยุ่หมายถึงการอยุ่ในที่ซึ่งเป็นสถานที่ว่าง และสถานที่นั้นจำเป็นต้องว่างเปล่า ไม่มีอะไร และถ้าหากที่ตรงนั้นมีลมอยุ่ ก็จำเป็นที่ลมจะต้องแยกตัวออกเพื่อให้ก้อนหินนั้นไปอยุ่ (เช่นกันในอากาศที่มีนกบินอยุ่ ลมก็ต้องแยกตัวออกเพื่อให้นกนั้นอยุ่ นกจึงอยุ่ในที่ว่างตรงนั้น) โดยที่ว่างนั้นมีขนาดเท่ากับสิ่งนั้นๆที่ไปอยุ่ ในดินก็เช่นกัน เช่นมีรากไม้ที่ชอนไชไปในดิน หรือมีหัวมันอยุ่ ดินจำเป็นต้องแยกตัวออกเพื่อให้หัวมันหรือรากไม้เข้าไปอยุ่ ตัวเราก็เช่นเดียวกัน ก้อแทรกตัวอยุ่ในที่ว่างในอากาศเพื่อเอาทีอยุ่เช่นกัน และจากการเอาที่ว่างของก้อนหินนั้น เราเรียกว่าเป็นวายิบในทางอากาล เพราะว่าสิ่งนี้จำต้องจริง และไม่รับการไม่จริงอีกเด็ดขาด ดังนั้นสสารทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นของแข็งของเหลวและก๊าซ ต้องการที่ว่างและพิภพอวกาศ ไม่มีที่ว่างอีกแล้วเพราะถุกบรรจุด้วยสสารทั้งหมด อากาศก็เป็นสสารเช่นกันที่ต้องการที่อยุ่ จึงไม่มีที่ว่างอีกแล้ว เพราะทุกๆพื้นที่ถูกบรรจุด้วยสสารทั้งหมดแล้ว ที่ว่างจึงเป็นอัมรุนเอียะติบารีย์คือเป็นเพียงความเข้าใจ แต่ไม่มี และปัจจุบันที่ว่างไม่มีแล้ว เป็นสิ่งที่จำต้องจริงและไม่ยอมรับการไม่จริงอีกเด็ดขาด จริงโดยที่เราไม่ต้องรอให้ฮุก่มชาเราะอ์มาบอก หรือรอให้ฮุด่มอาดัตมาบอก(คือทดสอบซ้ำๆว่าสิ่งนั้นเป็นความจริง) คือ สติปัญญาตัดสินได้เลย
2.มุสตาฮีลในทางอากาล คือ. สิ่งซึ่งจำต้องไม่จริงเท่านั้น นั่นคือมันรับได้เฉพาะด้านเดียวเท่านั้น ไม่จริง/ไม่มี และเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาดที่สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่จริง โดยที่บอกว่าไม่จริงโดยเด็ดขาดนั้น. ด้วยกับการพินิจพิเคราะห์จากผุ้ที่มีสติปัญญาสมบูรณ์นั่นเอง
• ตัวอย่างมุสตาฮีล เช่น หินก้อนหนึ่งซึ่งมีอยุ่แล้ว ในสภาพที่มันไม่ขยับและไม่นิ่งในเวลาเดียวกัน ดังนั้นใครเล่าที่มีสติปัญญาสมบุรณ์จะไม่ยอมรับการเป็นไปได้ของสิ่งนี้ แต่ทว่าคนที่มีสติปัญญาโดยสมบุรณ์จะไม่ยอมรับอย่างแน่นอนจากการขยับและนิ่งในเวลาเดียวกันอย่างแน่นอน ดังนั้นการจะบอกว่าหินก้อนหนึ่งไม่นิ่งและไม่ขยับในเวลาเดียวกัน เราเรียกว่า มุสตาฮีลในทางอากาล โดยที่ไม่ต้องรอให้ชาเราะอ์มาบอกมายืนยัน หรือรอให้เกิดซ้ำๆของสิ่งเหล่านั้น(ฮุก่มอาดัต) อากาลตัดสินได้เลย
3.ยาอิสในทางอากาล คือ. สิ่งซึ่งเหมาะสม/สมควร ในการจะบอกว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่จริง. ก้อสามารถเป็นไปได้ทั้งสองทาง ในเวลา2ขณะ คือคนละช่วงเวลากัน โดยไม่เกิดการขัดแย้งกับสติปัญญาในการเกิดขึ้นของสิ่งๆนั้น
• ตัวอย่างเช่น. หินก้อนหนึ่ง บางช่วงบางเวลามันก็ขยับ และบางเวลามันก็นิ่ง เช่น หินวางอยุ่นิ่งๆและเมื่อเราเอาหินขว้างออกไป หินจึงขยับ นั่นคือมันรับได้ทั้งสองทางทั้งนิ่งและขยับ ดังนั้นคนที่มีสติปัญญาสมบูรณ์ก็สามารถตัดสินได้เลยโดยที่ไม่ต้องรอให้ชาเราะอ์และอาดัตมาบอกหรือพิสูจน์ สติปัญญาตัดสินสิ่งนั้นๆได้เลย
สรุปใจความสั้นๆ คือ
บรรดาสิ่งทั้งหลายที่เราพินิจพิเคราะห์จากสิ่งต่างๆทั้งหลายนั้น ไม่พ้นไปจาก3ประการที่เรากล่าวมาข้างต้น ถ้าหากสิ่งนั้นไม่จริง แน่นอนสิ่งนั้นต้องเป็นเรื่องที่โกหกและเหลวไหล เช่น มีคนมาบอกเราว่าไม่มีอัลลอฮ์ เราไม่สามารถพินิจพิเคราะห์ด้วยสติปัญญาของเราว่ามันจะไม่จริงว่าอัลลอนั้นไม่มี เป็นไปไม่ได้เลย เราดูจากหลักฐานจากตัวเราเองว่าต้องมีผุ้สร้างขึ้นมา ร่างกายของเราที่อัลลอสร้างมาให้มีลักษณะต่างๆมีระบบการทำงานของร่างกายที่มหัศจรรย์ มีอวัยวะที่มีความสมดุล/สมมาตร แน่นอนจะต้องมีผุ้สร้างมันขึ้นมา สิ่งที่เราจะคิดไปทางที่ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีหรือจะไม่จริงนี้ เราเรียกว่าวายิบในทางอากาลนั่นเอง
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราพินิจพิเคราะห์ถึงอีกสิ่งหนึ่ง ถ้าหากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จริงแน่นอน สิ่งนั้นเป็นเรื่องที่ไม่จริง/เรื่องโกหก ดังนั้นสิ่งเหล่านั้นที่สติปัญญาไม่สามารถจะพินิจพิเคราะห์ให้เห็นว่า มันเป็นจริงขึ้นมา เราเรียกว่า มุสตาฮีลในทางอากาล เช่น หินจะขยับและนิ่งในเวลาเดียวกัน
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดถึงสิ่งหนึ่งและเราพินิจพิเคราะห์ว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้และอาจเป็นไปไม่ได้ เช่น เราทราบว่ามีหญิงคนหนึ่งตั้งท้อง นั่นคือถ้าผู้หญิงคนนั้นแต่งงานมีสามี ก้อสามารถท้องได้ หรือผู้หญิงคนนั้นเป็นหมัน ก็ไม่สามารถท้องได้ หรือว่าทีแรกผู้หญิงคนนั้นยังไม่ตั้งท้อง แต่ต่อมาผู้หญิงคนนั้นก็แต่งงานและตั้งท้อง นั่นคือทีแรกมันไม่จริงและต่อมาการตั้งครรภ์นั้นก็เป็นจริง ด้งนั้นจากตัวอย่างนี้ก็สามารถเป็นไปได้ทั้งสองทาง เราเรียกสิ่งที่เป็นไปได้ทั้งสองทางเช่นนี้ว่า ญาอิซในทางอากาล
วัลลอฮุอะลัม