📚กีตาบ ตักรีบุลอิควาน
✅ตอนที่ 2. 11/4/60 น2 บรรทัด 8 ล่าง
โอ้พี่น้องของฉัน ท่านจงรู้เถิด แท้จริงแล้วการไถนา การถากหญ้า ถางหญ้า หรืองานอื่นๆ[1] การงานเหล่านั้นหนักและเหนื่อยทั้งสิ้น แต่ถ้าเราได้เพ่งมอง[2] ไปยังสุดสิ้นสุด จุดสุดท้ายที่เราพิจารณานั้นก็คือ ความสบายใจในขณะที่พืชผลของเราผลิดอกออกผล เราจะรู้สึกมีความสุข[3]ดังนั้นด้วยการที่เราเพ่งมองเช่นนั้น มันทำให้เราได้รู้ว่าเราจำเป็นต้องใส่ใจและมุ่งหน้าไปหามัน ถึงแม้ว่าการงานอันนั้นจะหนักหนาก็ตาม เพราะว่าผลประโยชน์มันจะเกิดขึ้นกับเราเอง ไม่ได้เกิดผลประโยชน์กับคนอื่นแต่อย่างใด[4] ดังนั้นมันจึงเป็นที่เศร้าใจสำหรับผู้ที่ขี้เกียจ[5] เมื่อถึงเวลาเห็นคนอื่นเค้าได้เก็บเกี่ยวผลผลิตเราก็นึกเสียใจ นี่คือตัวอย่างเปรียบเทียบว่าเป็นการงานที่เราต้องทำเพื่อให้ได้รายได้(เสบียง)ในขณะที่เราอยู่บนศาลา[6] เพราะฉะนั้นการที่เราทุ่มเททำงานเพื่อเป็นค่าใช่จ่ายในขณะที่เราอยู่บนศาลา พร้อมกันนั้นเราก็จะทำได้ในครั้งต่อไป[7] เรายังมีโอกาสทำอีก หากเรายังมีชีวิตอยู่ แต่สำหรับการทำอามาลอิบาดัต เช่น การละหมาด การถือศีลอด เป็นต้น โอกาสที่เราจะละหมาดหรือทำอามาลใดๆ มันหมดเวลาหมดโอกาส โอกาสที่เราจะทำอำมาลต่างๆได้ปิดลง[8] เมื่อไหร่ที่วิญญาณของเราได้ไปถึงคอหอย และเมื่อถึงเวลานั้น[9]เราจะประจักษ์ชัดว่าบรรดาคำเตือนของครูๆทั้งหลาย[10] เป็นสิ่งที่มันตรง เป็นความจริงทั้งสิ้น ดังนั้นตอนนั้นยังมีโอกาสอีกหรือ? ที่เราจะขอกลับมาบนโลกดุนยาเพื่อจะทำคุณงามความดี โอ้!! มันเป็นไปไม่ได้เลย[11]
ดังนั้นเป็นที่แน่นอนเขาจะได้เจอการตอบแทนที่ดี สำหรับผู้ที่ทำความดี และผู้ที่ทำความชั่ว เขาจะได้รับการตอบแทนที่ชั่วเช่นกัน[12]
และ ณ จุดนั้นเช่นกัน[13] หนทางในการที่เรานั้นจะเขียนจดหมาย ได้สิ้นสุดลง เราจะส่งข้อความมายังลูกหลาน เพื่อจะใช้ให้ลูกๆทำความดี เช่น ซอดาเกาะห์ หรืออ่านอัลกุรอ่านให้เรา มันจบสิ้นแล้ว[14]
ดังนั้นคนคนนั้นเขาก็จะต้องจากไป และตัดขาดจากคนที่มีชีวิตอยู่ ส่วนคนที่อยู่ข้างหลังก็อยู่ต่อไปและรับมรดกจากผู้ตาย แบ่งสมบัติกันอย่างสบายไม่ต้องทำงานเหนื่อย ต่อมาคนที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ใช่ชีวิตชั่วคราว ไม่นานก็ต้องตายเช่นเดียวกับคนที่ตายไปก่อนหน้าเขา หมุนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป
โอ้พระเจ้าของฉัน โปรดอย่าทำให้ฉันเนเช่น ผู้ที่หลงลืม ผู้ที่ขี้เกียจทำอามาล[15] และขอดุอาร์ให้ลูกๆหลานๆของฉันด้วยเช่นนั้นด้วย อามีนยารอบบัลอาลามีน
วัลลอฮุอะลัม
[1] เช่น การกรีดยาง การเป็นกรรมกร การงานต่างๆที่เราทำตอนมีชีวิตบนดุนยา
[2] หรือเราได้พินิจพิจารณาด้วยตาใจของเรา
[3] หลังจากที่เราลงแรงกระทำไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ต้องดูแลรักษามัน
[4] ถ้าเปรียบเทียบกับการที่เราทำอามาลอิบาดัต ด้วยความยากลำบาก เช่น การละหมาด เราต้องใช้ความอดทนในการทำละหมาด ทนกับความเหน็ดเหนื่อย ความขี้เกียจ เป็นสิ่งที่หนักสำหรับคนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญ แต่ถ้าเราได้เพ่งเล็งไปยังจุดสุดท้าย ตอนที่เราตายอยู่ในกุโบร์ เราจะถูกสอบสวนการงานที่เราทำ การละหมาดจะเป็นการงานแรกที่ถูกสอบสวน ตอนนี้ถ้าเราละหมาดครบ ให้ความใส่ใจ ละหมาดถูกต้องตามชารัตรุก่น ทำละหมาดในเวลา เราจะสบาย แต่ถ้าเราไม่สนใจละหมาดบ้างไม่ละหมาดบ้าง หรือทำลวกๆไม่จริงจัง แต่ถ้าเราเพ่งเล็งไปยังบั้นปลายว่าละหมาดอันนี้แหละที่จะคุ้มกันตัวเรา ให้เราได้รับความปลอดภัยและได้รับความสุขเมื่อเราได้ตายไปแล้ว ก็จะทำให้เรามีแรงในการทำละหมาด จึงจำเป็นที่เราจะต้องหันหน้าเข้าหามัน(ให้ความใส่ใจ)
[5] ในการทำสวนปลูกผักต่างๆ
[6] เป็นการเปรียบเปรย ซึ่งหมายถึง ในขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่บนโลกดุนยาอันชั่วคราวนี้ เปรียบเสมือนการอยู่บนศาลา เราจะอยู่เพียงชั่วคราว ซึ่งเราต้องเดินทางต่อไป
[7] เช่น ฤดูกาลนี้เราไม่ได้ปลูกผัก ขณะที่คนอื่นปลูกและได้เก็บเกี่ยวเอาไปขายกัน เราไม่ได้ปลูกไม่ได้ขาย แต่เมื่อถึงฤดูกาลหน้า
[8] เมื่อนั้นแล้วเราก็หมดโอกาสจะทำอามาลต่างๆแล้ว การงานบนโลกเรายังมีโอกาสทำ แต่อามาลอิบาดัตนั้น เมื่อเราตายเราก็หมดโอกาสจะกลับมาทำอีก ส่วนหนึ่งจากคำพูดบาบอการีม กล่าวว่า คนเรามีชีวิตอยู่แค่ครั้งเดียว มีชีวิตเดียวเพียงเวลาสั้นๆ แต่การงานที่จะช่วยเราคืออามาลที่เราทำขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเมื่อเราตายไปแล้วเราก็จะไม่มีโอกาสกลับมาทำได้อีก และเรามีเพียงโอกาสเดียวเท่านั้นคือชีวิตนี้ ดังนั้นก็เปรียบเสมือนการชกมวย ซึ่งเราชกเพียงครั้งเดียวจะแพ้จะชนะก็ครั้งนี้ครั้งเดียว เราจึงต้องทำมันให้ดีที่สุดในชีวิตนี้
[9] เวลาที่ต้องตาย=วิญญาณถึงคอหอย
[10] ผ่านคำพูดการบรรยายหรือผ่านทางตำรา
[11] ในอัลกุรอ่าน ซุเราะห์อัสสัจญดะฮฺ อายะห์ที่12
คนกาเฟรตายไปก็รู้ว่าตัวเองจะต้องถูกลงโทษ คนกาเฟรนั้นขอต่ออัลลอฮ์ว่าขอกลับมาทำอำมาล
وَلَوْ تَرَىٰٓ إِذِ ٱلْمُجْرِمُونَ نَاكِسُواْ رُءُوسِهِمْ عِندَ رَبِّهِمْ رَبَّنَآ أَبْصَرْنَا وَسَمِعْنَا فَٱرْجِعْنَا نَعْمَلْ صَٰلِحًا إِنَّا مُوقِنُونَ
ความว่า และมาดแม้นเจ้าเห็นในยามที่เหล่าคนบาปได้ก้มศีรษะลงต่อองค์อภิบาลของพวกเขา (พร้อมวอนขอว่า) “โอ้องค์อภิบาลของเรา เราได้มองเห็น และได้ยินแล้ว(เหตุการณ์ในวันนี้เป็นความจริงเหมือนที่ศาสดาได้ประกาศไว้ทุกประการ) ดังนั้นขอพระองค์ได้โปรดส่งตัวเราคืนกลับ(ไปยังโลกอีกครั้งหนึ่ง)เถิด เราจะประพฤติแต่ความดีงามเท่านั้น (ณ บัดนี้) เรามีความเชื่อมั่นแล้ว และแน่นอน อัลลอฮ์ก็ไม่ให้เขากลับมา ดังนั้นเราก็ปฏิบัติเสียแต่ตอนนี้ ตอนที่เรายังมีโอกาส
[12] มีฮาดิษเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
إنْ خَيْرًا فَخَيْرٌ ، وَإِنْ شَرًّا فَشَرٌّ النَّاسُ مَجْزِيُّونَ بِأَعْمَالِهِمْ
มนุษย์นั้นต่อไปเขาจะถูกตอบแทน ถ้าอามาลของเขาดีเขาก็จะได้รับการตอบแทนที่ดี และถ้าอามาลของเขานั้นชั่ว เขาก็จะได้รับการตอบแทนที่ชั่ว
[13] ขณะที่วิญญาณถึงคอหอย คือ เมื่อถึงเวลาตายแล้วนั้น
[14] เราตายแล้วไม่สามารถส่งสารอะไรได้แล้ว ความจริงนี้เฉพาะฝั่งคนตาย แต่สำหรับฝั่งคนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราสามารถจะส่งไปให้เขาได้ เรื่องการที่ว่าลูก หรือคนที่มีชีวิตอยู่ จะทำความดี มอบให้คนตาย นั้นมีคิลาฟ(ความเห็นขัดแย้งกัน)
ในส่วนที่ไม่คิลาฟที่มีประโยชน์ต่อคนตาย แน่ๆ คือ
1. ดุอาร์ (ขอจากอัลลอฮ์ให้อภัยโทษแก่คนตาย) หลักฐานเรื่องนี้ คือ
وَالَّذِينَ جَاءُوا مِن بَعْدِهِمْ يَقُولُونَ رَبَّنَا اغْفِرْ لَنَا وَلِإِخْوَانِنَا الَّذِينَ سَبَقُونَا بِالْإِيمَانِ وَلَا تَجْعَلْ فِي قُلُوبِنَا غِلًّا لِّلَّذِينَ آمَنُوا رَبَّنَا إِنَّكَ رَءُوفٌ رَّحِيمٌ
ความว่า และบรรดา (คนมุสลิม) ที่มาภายหลังจากพวกนั้นกล่าวว่า โอ้องค์อภิบาลของเราได้โปรดนิรโทษแก่เราและแก่บรรดาญาติพี่น้องของเราที่ได้ล่วงหน้าเราไปแล้วในการศรัทธา และขอพระองค์อย่าบันดาลความอาฆาตแค้นในหัวใจของพวกเราให้มีต่อบรรดาผู้มีศรัทธาทั้งมวล โอ้องค์อภิบาลของเรา แท้จริงพระองค์ทรงปราณียิ่ง พระองค์ทรงเมตตายิ่ง
2. การซอดาเกาะห์ให้คนตาย เช่น ลูกศอดาเกาะห์ให้คนตาย หรือ
3. การทำฮัจย์ ลูกหลานทฮัจย์ทำให้คนตาย หรือจ้างทำฮัจย์
สำหรับความดีอย่างอื่น ซึ่งนอกเหนือจาก 3 ประการที่กล่าวมานั้น อุลามาอ์ มีความเห็นต่างกัน
ในมัซฮับฮัมบาลีย์จะเปิดกว้าง ไม่ว่าเราจะอามาลอะไรก็ตาม เราสามารถฮาดีเยาะห์มอบให้คนตายได้หมด เช่น อ่านกุรอ่าน การละหมาด ถือศีลอด เป็นต้น
ประเด็นที่อุลามาอ์ มีความเห็นต่างกัน ในการที่เราทำความดีอะไรสักอย่าง เช่น เราอ่านกุรอ่าน แล้วเราจะมอบผลบุญให้คนตาย ประเด็นคิลาฟมีอยู่ 3 อย่าง คืออามาลนั้นจะไม่ถึงคนตาย เว้นเสียแต่ว่า เราจะต้อง
1. ต้องขอดุอาร์หลังจากทำความดีเหล่านั้น เช่น อ่านอัลกุรอ่านเสร็จตามด้วยขอดุอาร์
2. ต้องอ่านต่อหน้าคนตาย เช่น อ่านยาซีนให้ต่อหน้าคนตาย หรืออ่านที่กุโบร์
3. เราตั้งใจจะทำความดีอันนั้น ฮาดีเยาะห์ให้เขาแต่แรกเลย เช่น เราอ่านยาซีนค่ำศุกร์ เราเนียตแต่แรกเลย ตั้งแต่บิสมิลละห์ ว่าจะมอบผลบุญให้คนตาย
ถ้ามีเงื่อนไขครบ3อย่าง คืออ่านต่อหน้ามายัต เจตนาอ่านอัลกุรอ่านและฮาดีเยาะห์ผลบุญให้คนตายตั้งแต่แรกเลยไม่ได้มาเนียตเอาทีหลัง และ เมื่ออ่านแล้วก็ขอดุอาร์ให้เขาเลย ถ้าครบ3อย่างนี้ ก็ถือว่าผลบุญนั้น จะได้แก่ผู้ตาย โดยไม่มีคิลาฟ
[15] ไม่ได้เตรียมเสบียงเอาไว้สำหรับอาคีรัต