กิตาบ มิศบาหุ้ลมุนีร ตอนที่ 7
بِسْمِ اللهِ الرَّحْمٰنِ الرَّحِيْمِ
เรื่อง เอียะห์ซาน ( องค์ประกอบประการที่สาม จากสามประการของอิสลาม )
เอียะห์ซาน คำแปล คือ การทำความดี ส่วนความหมายของเอียะห์ซานนั้นหมายถึง การปฏิบัติตามที่อัลลอฮ์ บัญชาใช้ เช่น การละหมาด. การถือศีลอด หรือสิ่ง อื่นๆที่อัลลอฮ์ทรงใช้. โดยการปฏิบัติอย่างดี ซึ่งการปฏิบัติอย่างดีนี้ ก็คือต้องมีความสมบูรณ์ทั้งชารัต(เงื่อนไข)และรุก่น ถ้าหากไม่ครบไม่สมบูรณ์จะเรียกว่าเอียะห์ซานไม่ได้ ชารัต และรุกุนนั้นมีทั้งซอเฮรและบาเตน (ชารัตอยู่นอกเหนือการละหมาด ส่วนรุ่งกนคือโครงสร้างภายในละหมาด)
ชารัต ภายนอก(ซอเฮร) สำหรับการละหมาด คือ ร่างกายสะอาดปราศจากฮาดัสเล็กละใหญ่ เป็นต้น ส่วนชารัตบาเตน(ภายใน) คือ. หัวใจของเราที่ทำละหมาดนั้นบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์ในการทำเพื่ออัลลอฮ์
สำหรับรุก่น เช่น การรุ่กัวะ ทำอย่างไรถึงจะสมบูรณ์ใช้ได้ เช่น ต้องก้มลงไปจนถึงขอบเขตที่มือ ไปวางบนหัวเข่า ถึงจะได้ตามเงื่อนไขของการรุกัวะ ซึ่งเป็นเงื่อนไขภายนอก และการรุกัวะ เป็นการให้ความยิ่งใหญ่ต่ออัลลอฮ์ เป็นการกระทำภายนอก (ถ้าเราคำนับ โดยก้มลงไปจนถึงเขตของรุกัวะ ต่อมัคโล้กพร้อมนึกว่าต้องการให้ความยิ่งใหญ่ต่อสิ่งนั้น ถือว่ากุฟุร)
และในขณะทีเรารุกัวะปากของเราอ่าน “سُبِحَانَ رَبِّيَ الْعَظِيْمَ وَبِحَمِدِهِ” จิตใจของเราต้องนึกความหมายต่อสิ่งนั้นด้วย ใจต้องคิดเหมือนกับที่พูดออกไปถึงจะมีเอียะห์ซาน
อิบาดัตเราต้องมีทั้งชารัตและรุก่นที่มีทั้งซอเฮรและบาเตนเปรียบเสมือนเรากำลังทำความดีต่อหน้าพระองค์ (ในขณะที่เราทำความดีนั้น เรามีความรู้สึกในใจว่าเราอยู่ต่อหน้าอัลลอฮ์ ) แม้เราจะไม่เห็นพระองค์ก็ตาม
เอียะห์ซานเป็นเงื่อนไขของการทำให้อิสลามมีความสมบูรณ์ เท่านั้น แต่ถ้าไม่มีเอียะห์ซานก็ไม่ได้หมายความว่าเขาคนนั้นไม่ใช่อิสลาม (แต่เป็นอิสลามที่ไม่สมบูรณ์ ) และสำหรับคนที่เขาไม่ได้ปฏิบัติอิบาดัตด้วยความสวยงาม ด้วยการปฏิบัติที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งชารัตและรุกน และไม่มีความอิคลาส(บริสุทธิ์ใจ) และไม่มีความคูชัวะ(ในใจนึกถึงอัลลอฮ์ตลอดเวลา)และตะวัฎเฎาะ(มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่ออัลลอฮ์) ดังนั้นจะเรียกคนที่ได้ทำอิบาดัตที่ไม่สวยงามดังกล่าวว่า คนที่ไม่ใช่คนมุห์ซิน ( คนที่ทำอิบาดัตครบสมบูรณ์ทั้งหมด (มีชารัต(ซอเฮร,บาเตน) รุก่น(ซอเฮร,บาเตน) มีอิคลาส มีกอเช้าะ มีตาวัฎเฎาะ) จึงจะเรียกว่าคนมุห์ซิน หมายถึงผู้ที่ปฏิบัติดี)
ดังนั้นคนที่กระทำอิบาดัตโดยไม่มีความเอียะห์ซาน เขานั้นจะยังไม่ความสมบูรณ์สำหรับศาสนาอิสลามของเขา เขาจึงไม่สมควรที่จะได้รับผลบุญ
รายงานจากท่านอุมัร รอฎิยัลลอฮุอันฮู ว่า
عن عُمَرُ بْنُ الْخَطَّابِ أیضاً : قَالَ بَیْنَمَا نَحْنُ عِنْدَ رَسُولِ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَیْهِ وَسَلَّمَ ذَاتَ یَوْمٍ إِذْ طَلَعَ عَلَیْنَا رَجُلٌ شَدِیدُ بَیَاضِ الثِّیَابِ شَدِیدُ سَوَادِ الشَّعَرِ لَا یُرَى عَلَیْهِ أَثَرُ السَّفَرِ وَلَا یَعْرِفُهُ مِنَّا أَحَدٌ حَتَّى جَلَسَ إِلَى النَّبِیِّ صَلَّى اللَّهُ عَلَیْهِ وَسَلَّمَ فَأَسْنَدَ رُکْبَتَیْهِ إِلَى رُکْبَتَیْهِ وَوَضَعَ کَفَّیْهِ عَلَى فَخِذَیْهِ وَقَالَ یَا مُحَمَّدُ أَخْبِرْنِی عَنْ الْإِسْلَامِ فَقَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَیْهِ وَسَلَّمَ (( الْإِسْلَامُ أَنْ تَشْهَدَ أَنْ لَا إِلَهَ إِلَّا اللَّهُ وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَیْهِ وَسَلَّمَ وَتُقِیمَ الصَّلَاةَ وَتُؤْتِیَ الزَّکَاةَ وَتَصُومَ رَمَضَانَ وَتَحُجَّ الْبَیْتَ إِنْ اسْتَطَعْتَ إِلَیْهِ سَبِیلًا)) قَالَ صَدَقْتَ قَالَ فَعَجِبْنَا لَهُ یَسْأَلُهُ وَیُصَدِّقُهُ قَالَ فَأَخْبِرْنِی عَنْ الْإِیمَانِ قَالَ ((أَنْ تُؤْمِنَ بِاللَّهِ وَمَلَائِکَتِهِ وَکُتُبِهِ وَرُسُلِهِ وَالْیَوْمِ الْآخِرِ وَتُؤْمِنَ بِالْقَدَرِ خَیْرِهِ وَشَرِّهِ )) قَالَ صَدَقْتَ قَالَ فَأَخْبِرْنِی عَنْ الْإِحْسَانِ قَالَ (( أَنْ تَعْبُدَ اللَّهَ کَأَنَّکَ تَرَاهُ فَإِنْ لَمْ تَکُنْ تَرَاهُ فَإِنَّهُ یَرَاکَ )) قَالَ فَأَخْبِرْنِی عَنْ السَّاعَةِ قَالَ مَا الْمَسْئُولُ عَنْهَا بِأَعْلَمَ مِنْ السَّائِلِ قَالَ فَأَخْبِرْنِی عَنْ أَمَارَتِهَا قَالَ أَنْ تَلِدَ الْأَمَةُ رَبَّتَهَا وَأَنْ تَرَى الْحُفَاةَ الْعُرَاةَ الْعَالَةَ رِعَاءَ الشَّاءِ یَتَطَاوَلُونَ فِی الْبُنْیَانِ قَالَ ثُمَّ انْطَلَقَ فَلَبِثْتُ مَلِیًّا ثُمَّ قَالَ لِی یَا عُمَرُ أَتَدْرِی مَنْ السَّائِلُ قُلْتُ اللَّهُ وَرَسُولُهُ أَعْلَمُ قَالَ فَإِنَّهُ جِبْرِیلُ أَتَاکُمْ یُعَلِّمُکُمْ دِینَکُمْ .
ความว่า “ในขณะที่เรานั่งอยู่ข้างๆท่านร่อซู้ล(ศ้อลลัลลอฮุอาลัยฮิวะซัลลัม.)ในวันหนึ่ง ในขณะนั้น ได้เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งได้เดินมาหาซึ่งมีลักษณะที่นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าสีขาว ผมของเขามีสีดำสนิท ไม่พบร่องรอย(ความเหนื่อยหล้าหรืออื่นๆ)ของการเดินทางมาเลย และไม่มีใครรู้จักเขาเลย เมื่อผู้ชายคนนั้นได้มานั่งข้างๆกับท่านร่อซู้ลในลักษณะที่นั่งชนเข่ากับเข่าท่านร่อซู้ล และผู้ชายคนนั้นได้วางมือของเขาบนต้นขาของท่านร่อซุ้ล(ศล.) ชายคนนั้นได้พูดว่า โอ้มูฮัมหมัดจงบอกต่อฉันเถิดเกี่ยวกับอิสลาม เมื่อท่านนาบีได้ยินดังนั้น ท่านได้กล่าวว่า อิสลามคือ การกล่าวปฏิญาณตนว่า แท้จริงแล้วไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์และมูฮัมหมัดนั้นเป็นร่อซุ้ลของอัลลอฮ์ (การกล่าวกาลีเมาะห์ คือมี นาฟี และอิสบาต แม้เราจะกล่าวนาฟีก่อน แต่เราต้องอิสบาตในหัวใจเราก่อนว่าอัลลอฮ์คือพระเจ้า รวมเป็น ไม่มีพระเจ้า(นาฟี) นอกจากอัลลอฮ์ตาอาลา(อิสบาต)) และท่านต้องดำรงละหมาด และท่านต้องบริจาคซากาต และท่านต้องถือศีลอดในเดือนรอมาฎอน และเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ บัยตุลลอฮ์ หากท่านมีสามารถ (นี่คือที่มาของรุกนอิสลามมี 5 ประการ) ผู้ชายคนนั้นได้พูดว่า ถูกแล้วที่ท่านนั้น(นบี)กล่าวมา และชายคนนั้นยังกล่าวต่อไปอีกว่า โอ้มูฮัมหมัด ท่านจงบอกฉันให้รู้ถึงเรื่องอีหม่านเถิด ท่านนาบีก็ได้ตอบว่า แท้จริงแล้วท่านต้องเชื่อ/ยอมรับด้วยหัวใจว่าอัลลอนั้นเป็นพระเจ้า และท่านต้องศรัทธา/เชื่อด้วยหัวใจต่อบรรดามาลาอีกะห์ของอัลลอฮ์ และศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ของอัลลอฮ์ และศรัทธาต่อบรรดาร่อซู้ลของอัลลอฮ์ และต่อวันกิยามะห์ และศรัทธาต่อบรรดาการกำหนดสภาวการณ์มาจากอัลลอฮ์ทั้งสิ้น. (เรื่องกอฎอ และกอดัร เรายึดมั่นว่า ทั้งความดีและความชั่วมาจากอัลลอฮ์ทั้งสิ้น มีคีลาฟ จากพวกกอดารียะห์(สมัยซอฮาบะห์) จะไม่เชื่อเรื่องกอฎอกอดัร (ไม่ได้มาจากอัลลอฮ์ ไม่มีเรื่องนี้) พวกนี้ถูกตัดสินว่าเป็นพวกฎอลาละห์ (ตัดสินโดยท่านอับดุลลอฮ์ บิน อุมัร) คือพวกหลงทาง และยังมีกลุ่มกอดารียะห์อีกพวก คือ กลุ่มหนึ่งจากมัวะตาซีละห์ พวกนี้เชื่อว่า ของใหม่ให้ผลสำเร็จได้ (เช่น แขนเรามีแรงที่จะทำอะไรๆได้ ให้ผลสำเร็จได้ คือเป็นกุตรัตของของใหม่ให้ผลสำเร็จได้ แต่ความเชื่อของเรา(อะห์ลิสุนนะห์วัลญะมาอะห์) เชื่อว่า อิคติยาร อุสฮอ นั่นคือ เราลงมือทำแต่ผลสำเร็จมาจากอัลลอฮ์) หลังจากนั้นชายผู้นั้นก็ได้กล่าวว่า “ถูกแล้วที่ท่านกล่าวมา โอ้มูฮัมหมัด” ต่อมาชายผู้นั้นก็ได้กล่าวว่า โอ้มูฮัมหมัด ท่านจงบอกแก่ฉันเถิดเกี่ยวกับเอียะฆ์ซาน ท่านนาบีกล่าวว่า แท้จริงแล้วท่านนั้นได้ทำอิบาดัตต่ออัลลอฮ์เสมือนท่านได้เห็นอัลลอฮ์ตาอาลา(มองเห็นด้วยตาใจ เป็นความรู้สึกลึกซึ้งในหัวใจเรียกว่าบาซีเราะห์ การมองเห็นด้วยตาใจต่ออัลลอฮ์ นั่นคือ ตาใจของเรา มองเห็นอัลลอฮ์ ( รู้สึกรำลึกถึงพระองค์. ไม่ใช่เป็นการเห็นภาพ) ตลอดเวลา ) แม้ว่าท่านนั้นไม่ได้เห็นพระองค์อัลลอฮ์ก็ตาม แท้จริงแล้วอัลลอฮ์นั้นทรงมองเห็นท่านอยู่ตลอดเวลา”
ดังนั้น เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าแท้จริง ส่วนประกอบของอิสลามที่สมบูรณ์นั้น ต้องประกอบมาจาก 3ส่วน คือ. อิสลาม อีหม่าน และเอียะห์ซาน ( หลักเอียะห์ซาน เป็นวิชาตะเซาวุฟ, หลักการอีหม่าน 6 ประการเป็นวิชาอุซุลุดดีน, หลักการอิสลามเป็นวิชาฟิกฮ์, ความรู้ทั้งหมดมาจากอัลกุรอ่านและฮาดิษ )ไม่ใช่เพียงแค่การกล่าวปฏิญาณตน แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามรุก่นอิสลาม ( เช่นไม่ละหมาด) และไม่ได้มีความศรัทธาอย่างแท้จริง และปราศจากเอียะห์ซาน ดังที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าเป็นเช่นนี้หมายความว่า แท้งจริงแล้ว เขาคนนั้นยังไม่รู้จักศาสนาอย่างแท้จริง แต่ทว่าเขานั้นรู้แต่เขานั้นไม่ได้ยอมรับในหัวใจของเขา ดังที่เราจะเห็นจำนวนมากจากอุมัตนาบีมุฮัมมัด ศ.ล. ในยุคสมัยนี้ คือเขารู้ว่าเขานั้นวายิบจะต้องละหมาดต้องถือศีลอดแต่เขาไม่ได้ปฏิบัติ
วัลลอฮุอะลัม