กีตาบ มิศบาหุ้ลมุนีร ตอนที่ 5
بِسْمِ اللهِ الرَّحْمٰنِ الرَّحِيْمِ
ตอนที่ 5 หน้า 4 ย่อหน้าที่ 2
และส่วนประกอบของศาสนาหรือองค์ประกอบของศาสนานั้นวางอยู่บน 3 ประการดังนี้ นั่นคือ อิสลาม อีหม่าน และเอียะห์ซาน(คำว่าอิสลามในที่นี้ไม่ได้หมายถึงชื่อของศาสนาแต่เป็นการสื่อถึงจุดมุ่งหมายของอิสลามว่าหมายถึงอะไร)
1.อิสลาม:
อนึ่งคำว่าอิสลามนั้น คือการปฏิบัติตามโดยภายนอกโดยอวัยวะที่เรามองเห็นได้(อวัยวะภายนอก) ด้วยร่างกายแขนขาหรือแม้กระทั่งลิ้น(เราเรียกว่าปฏิบัติโดยซอเฮร)เป็นการทำตามโดยภายนอก และเป็นการยอมรับโดยภายนอก(แต่สำหรับเรื่องการยอมรับภายในจิตใจนั้นคืออิหม่าน) คนที่เขาปฏิบัติตามและยอมรับต่อบรรดาสิ่งที่ท่านร่อซู้ลได้นำมาเผยแพร่จากบรรดากฎเกณฑ์ต่างๆของศาสนา ที่เป็นคำสั่งใช้หรือคำสั่งห้าม ซึ่งท่านนาบีได้นำมา ซึ่งเป็นคำสั่งของศาสนาที่เป็นที่รู้จักกันดี(กฎเกณฑ์คำสั่งใช้นั้นๆ) ซึ่งเป็นการรู้ด้วยหนทางฎอรูเราะห์(รู้โดยไม่ต้องคิดไตร่ตรอง) ซึ่งสิ่งนั้นรู้โดยทั่วกันว่าเป็นการงานของศาสนาแม้กระทั่งเด็กๆหรือคนกาเฟร ก็รู้ เช่น การละหมาด คนทั่วไปก็รู้ว่าคนมุสลิมต้องละหมาด
นั่นคือการที่คนคนนึงปฏิบัติตามด้วยอวัยวะภายนอกที่เราเห็นได้(โดยซอเฮร)
รุกนอิสลามมี 5 ประการ (หมายถึงสิ่งที่เป็นประการสำคัญของอิสลาม) บรรดารุกนอิสลามมี 5 ประการ การทีคนคนนึงมีส่วนประกอบใน 5 ประการนี้ทำให้เรารู้ว่าเขาเป็นคนอิสลาม
รุกนอิสลามข้อที่ 1.การกล่าว 2 กาลีเมาะห์ชาฮาดะห์นั่นคือการกล่าว “อัชฮาดุอัลลาอิลาฮาอิลลัลเลาะห์ วาอัชฮาดุอันนามุฮัมมาดัรรอซูลุลลอฮ์”
” أَشْهَدُ أَن لَّا إِلَٰهَ إِلَّا اللهُ وَ أَشْهَدُ أَنَّ مُحَمُّدًا رَسُوْلُ اللهِ ”
(คำว่า محمد เป็น อิเส็มอันนาอ่านด้วยสระฟัตตะห์ ถ้าข้างหน้าคำว่า محمدไม่มี أَنّ ก็จะอ่านว่า محمدٌ) แต่อ่านสระผิด(ดัร/ดุร)ความหมายไม่เปลี่ยน)
ความหมายของคำปฏิญาณคือ
“ข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยงแท้นอกจากอัลลอฮ์ตาอาลา และข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่าท่านนาบีมูฮัมหมัดนั้นเป็นร่อซู้ลของพระองค์”
การกล่าวสองกาลีเมาะห์นี้เป็นรากฐานของคนคนหนึ่งที่เป็นคนอิสลาม ถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีรุกนข้อนี้ เขานั้นไม่เป็นคนอิสลาม (การยอมรับด้วยวาจาได้ยินเสียง/ลิ้น) (เป็นเงื่อนไขของคนต่างศาสนิกจะเข้ารับอิสลาม)แต่ถ้าหากผู้ที่มีพ่อแม่ของเขาเป็นคนอิสลามอยู่แล้วก็ไม่วายิบที่เขาต้องกล่าวการปฏิญาณ ซึ่งเป็นการเพียงพอแล้วที่ลูกๆของเขาจะเป็นคนอิสลามตามพ่อแม่
แต่ประเด็นนี้เป็นปัญหา ตัวอย่างเช่น
1.พ่อแม่เป็นกาเฟรทั้งคู่ แล้วมาเข้ารับอิสลาม แล้วลูกเป็นอิสลามด้วยไหม ให้เราพิจารณาว่าลูกเข้าบาเลฆ(บรรลุศาสนภาวะ)แล้วหรือยัง ถ้าลูกยังไม่เข้าบาเลฆ. ถือว่าลูกเข้าอิสลามตามพ่อแม่โดยอัตโนมัติ
2.ถ้าพ่อเป็นอิสลามแล้วแม่เป็นกาเฟร (ทำซีนา) ลูกเป็นกาเฟร ตามแม่ เพราะเป็นลูกของแม่ ซึ่งยังไม่ได้นิกะห์
3.ถ้าแม่เป็นอิสลาม พ่อเป็นกาเฟร (ทำซีนา) ลูกก็เป็นอิสลามตามแม่
4.ถ้าพ่อแม่เป็นกาเฟรมีลูก แล้วสามีเข้าอิสลาม ลูกเป็นอิสลามถ้าลูกยังไม่เข้าบาเลฆ หรือภรรยาเข้าอิสลามลูกก็เป็นอิสลามด้วยถ้าลูกไม่เข้าบาเลฆ.
แต่ถ้าเรามีพ่อแม่เป็นอิสลามอยู่แล้ว. มีบางอุลามะห์(เช่นทัศนะ อิมามมาลิก )ที่กล่าวว่าจำเป็นที่เราต้องกล่าว 2 กาลีเมาะห์ชาฮาดะห์นี้อย่างน้อยสักครั้งในชั่วชีวิต โดยการกล่าวทั่วไปไม่ใช่กล่าวในอีบาดัต พร้อมทั้งเนียต(กอซอต)ด้วยว่าให้พ้นวายิบที่ศาสนากำหนด
หลักฐานการกล่าว 2 กาลีเมาะห์ชาฮาดะห์ คือ ฮาดิษ
الحديث الثامن عن ابن عمر رضي الله تعالى عنهما أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال : أمرت أن أقاتل الناس حتى يشهدوا أن لا إله إلا الله ، وأن محمدا رسول الله ، ويقيموا الصلاة ، ويؤتوا الزكاة ، فإذا فعلوا ذلك ، عصموا مني دماءهم وأموالهم ، إلا بحق الإسلام ، وحسابهم على الله تعالى رواه البخاري ومسلم
ฮาดิษจากท่าน อิบนุอุมัร รอฎิญัลลอฮุอันฮุมา ความว่า แท้จริงท่านรอซูล ..ซอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า ฉันถูกสั่งใช้ให้ ต่อสู้กับมนุษย์ จนกว่าพวกเขาจะกล่าวปฏิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลฮ์ และแท้จริง มุฮัมมัด คือ ร่อซู้ล (ศาสนทูต) ของพระองค์ และพวกเขาได้ดำรงละหมาด จ่ายซะกาต ……………..(ฮาดิษซอเฮียะ รายงานโดย อิมามบุคอรีย และ มุสลิม )
( ฮาดิษซอเฮียะต้องมีเงื่อนไขคือต้องมีสายรายงานที่มีการเชื่อมโยง ผู้รายงานมีความอาเดลและมีความจำดีเยี่ยม เป็นต้น )
การกล่าว 2 กาลีเมาะห์ชาฮาดะห์นั้น เป็นข้อที่หนึ่งในรุ่งกนอิสลาม เป็นเงื่อนไขของคนต่างศาสนาที่ต้องกล่าวเมื่อเข้ารับศาสนาอิสลาม แต่คนมุสลิมโดยกำเนิดไม่จำเป็นต้องกล่าว.เพราะถือว่าเพียงพอแล้วในการที่เขานั้นเป็นอิสลามตามบิดา มารดา ของเขา
นอกจากนี้ยังมีคีลาฟ(ข้อขัดแย้ง)ในประเด็นนี้คือท่านอิหม่ามมาลีกีย์ มีทัศนะว่าอย่างน้อยต้องกล่าวกาลีเมาะห์ 1 ครั้งในชีวิตที่ไม่ใช่เป็นการกล่าวในอิบาดัต(เช่นในการละหมาด หรือการอาซาน ) เพื่อเป็นการให้ปลดปล่อยจากสิ่งวายิบที่อัลลอฮ์ใช้
จากฮาดิษนี้ ความว่า ฉันได้ถูกสั่งใช้(โดยอัลลอตาอาลา) ให้ทำการสู้รบกับมนุษย์ จนกระทั่งเขาได้ปฏิญาณตนและยอมรับ/ยอมเชื่อ และปฏิบัติการ คือการกล่าวด้วยลิ้น ว่า “แท้จริงแล้วไม่มีพระเจ้า เว้นแต่อัลลอตาอาลา” (จนกระทั่งจบฮาดิษ) นอกจากนี้ยังมีรีวายะห์(สายรายงาน)อื่นในฮาดิษซอเฮียะมุสลิมเช่นกัน คืออีหม่ามมาลีกีย์ใช้หลักฐานฮาดิษอื่น เป็นเงื่อนไขในการกล่าวกาลีเมาะห์ แต่ละมัซฮับมีการกล่าวที่แตกต่างกัน โดยมัซฮับอิหม่ามชาฟีอีย์ต้องมีคำว่า อัชฮาดูอัลลาอิลาฮาอิลลัลลอ…/ แต่ของอิหม่ามฮานาฟี,ฮัมบาลี ใช้เพียง ลาอิลาฮาอิลลัลเลาะห์… ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
(บรรดาอิหม่ามมัซฮับต่างๆมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาเดียวกัน อิหม่ามมาลีกีย์เป็นอาจารย์ของอิหม่ามชาฟีอีย์ อิหม่ามฮับบาลีย์เป็นลูกศิษย์ของอิหม่ามชาฟีอีย์ และอิหม่ามชาฟีอีย์ได้สัมผัสกับทุกอิหม่ามทุกมัซฮับ อิหม่ามชาฟีอีย์ได้เรียนเป็นลูกศิษย์ของอิหม่ามมาลีกีย์ และตอนที่ท่านไปเรียนที่อียิปต์ ท่านอิหม่ามชาฟีอีย์ไปเรียนกับลูกศิษย์ของอิหม่ามฮานาฟีย์ ซึ่งอิหม่ามฮานาฟีย์อยู่ในยุคก่อน ตอนท่านเสียชีวิตเป็นปีที่อิหม่ามชาฟีอีย์เกิด และอิหม่ามฮัมบาลีย์ไปเรียนเป็นลูกศิษย์อิหม่ามชาฟีอีย์ จากการที่อิหม่ามชาฟีอีย์ได้สัมผัสกับทั้ง4 มัซฮับ ทำให้ความรู้วิชาฟิกห์ในมัซฮับชาฟีอีย์ค่อนข้างมีความละเอียดถี่ถ้วน
ฮาดิษนี้ ( อุมิรตู้….) เป็นคำสั่งที่อัลลอสั่งตอนที่นาบีย้ายมาอยู่ที่มาดีนะห์(ตอนที่อยู่มักกะห์แล้วท่านโดนซอเล็ม(อยุติธรรม)ท่านได้ถูกสั่งให้อดทน) อัลลอสั่งให้ท่านนาบีต่อสู้เพื่อให้มนุษย์นั้นยอมรับในอิสลาม
– รุกนข้อที่ 2 คือละหมาด 5 เวลา
– รุกนข้อที่ 3 คือการจ่ายซากาต
– รุกนข้อที่ 4 คือการถือศีลอดในเดือนรอมาฎอน
– รุกนข้อที่ 5 คือการทำฮัจย์ยังบัยตุลลอที่นครมักกะห์ ถ้ามีความสามารถ ที่จะเดินทางไปได้
และมีฮาดิษซอเฮียะ รายงานโดยอิมาม มุสลิม
قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ” بُنِيَ الإِسْلامُ عَلَى خَمْسٍ : شَهَادَةِ أَنْ لا إِلَهَ إِلا اللَّهُ ، وَأَنَّ مُحَمَّدًا رَسُولُ اللَّهِ ، وَإِقَامِ الصَّلاةِ ، وَإِيتَاءِ الزَّكَاةِ ، وَصَوْمِ شَهْرِ رَمَضَانَ ، وَحَجِّ الْبَيْتِ مَنِ اسْتَطَاعَ إِلَيْهِ سَبِيلا ”
“ความว่า อิสลามได้วางอยู่บนรากฐาน 5 ประการ นั่นคือ. การกล่าวปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และท่านนาบีมูฮัมหมัดเป็นร่อซู้ลของอัลลอฮ์ และต้องดำรงละหมาด การออกซากาต และการถือศีลอดในเดือนรอมาฎอน และการทำฮัจย์สำหรับคนที่มีความสามารถ”
แท้จริงแล้วคนที่ไม่ได้ปฏิบัติตามทั้ง 5 อย่างที่กล่าวมานั้น พวกเขาเหล่านั้นเปรียบเสมือนคนที่ไม่มีรากฐานในอิสลาม เช่น เขากล่าวกาลีเมาะห์แต่ไม่ละหมาด แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นกาเฟร(รุ่กนอิสลามเป็นรุก่นอุรฟีย์ไม่ใช่รุ่กนฮากีกีย์) เปรียบเสมือนสิ่งปลูกสร้างที่ไม่มีรากฐานที่แข็งแรง มันก็จะพังทลายลงมาได้ เช่นเดียวกันมันทำให้ศาสนาของเขาจะพังลงมาได้ หรือถ้าหากเขาได้ทำการปฏิเสธรุกนทั้ง 5 ประการนั้นคือเขากล่าวปฏิเสธอย่างชัดเจนด้วยลิ้น(แม้พูดเล่นขำขันก็ตาม ก็ทำให้ตกศาสนาได้เช่นกัน)
วัลลอฮุอะลัม