เรื่อง การถือศีลอด ตอนที่3
بسم الله الرحمن الرحيم
กีตาบมุฏลาอีน บัดรัยน์ น.62-63
ข้อพึงระวังในการถือศีลอด
ข้อพึงระวังในกรณี ดังต่อไปนี้
1. การเจตนาเปิดศีลอดโดยที่ยังไม่ถึงเวลาละศีลอด
2. ไม่ได้เนียต ถือศีลอด ในตอนกลางคืน หรือลืมเนียต
3. เป็นวันที่สงสัย(วันที่30เดือนชะบาน)ว่าเข้าเดือนรอมาฎอนหรือยัง แต่มีคนมาบอกว่ามีคน. เห็นดวงจันทร์และมีพยานชัดเจน ปรากฏทีหลังว่าเป็น วันที่ 1 เดือนรอมาฎอนแล้ว
ทั้งสามกรณีนี้ วายิบที่เขาจะต้องงดเว้นการกินการดื่ม และถือศีลอดต่อไปจนตะวันตกดิน ( วายิบอิมสาก)
และสุนัตสำหรับผู้ที่ถือศีลอดให้เขานั้นรีบเร่งในการละศีลอด และสุนัตให้เขาล่าช้าให้เขากินอาหารซาโฮ การล่าช้านั้นอย่าให้ไปถึงเวลาที่สงสัยว่าหมดเวลาหรือยัง (ก่อนเวลาซุบฮี มีเวลาที่เรียกว่าอิมชาก การกินดื่ม ในช่วงนั้น ถือว่าไม่เป็นไร)
อนุญาตให้เราละศีลอดโดยการที่เราวินิจฉัย( อิจญติฮาด )โดยใช้วิรีต(เช่น. การอ่านอัลกุรอ่าน อ่านวิรีต หรือซิกีร) ซึ่งเมื่อครบจำนวนวิรีตนั้นๆจะเข้าเวลามักริบพอดี( โดยปกติเราได้วิริด และรู้ว่าเมื่อครบจำนวนนั้นๆ ก็จะเข้าเวลาพอดี ) เราใช้การอ่านวิรีตนั้นให้กำหนดเวลาละศีลอดได้ เช่นเดียวกับการ วิริด เพื่อกำหนดเข้าเวลาละหมาด (เช่นการกำหนดการเข้าเวลาอีชา โดยการอ่านอัลกุรอ่านครบ1ยุซพอดี(จึงเข้าเวลาอีชา ))
แต่ไม่เป็นอนุญาตถ้าเป็นการซ็อน คือ เราไม่ใช้การวินิจฉัย( อิจญติฮาด ) ใดๆเลยในการละศีลอด คือใช้การสงสัยอย่างเดียวนั้น จะไม่อนุญาตให้ใช้ เพราะพื้นฐานเดิมของการสงสัย ( شك )นั้นยังตกอยู่ในช่วงเวลากลางวันอยู่(เราผ่านเวลากลางวันเข้าสู่เวลากลางคืน)
การละศีลอดโดยความมั่นใจนั้นอนุญาต(คือ เราเห็นพระอาทิตย์ตก ด้วยตาเราเอง)
และการกินข้าวซาโฮรนั้นอนุญาต แม้ว่าการกินนั้นเราจะสงสัยว่า เวลาที่เรากินนั้นอยู่ในช่วงกลางคืนหรือเปล่า ก็อนุญาตให้กิน เพราะว่ารากฐานเดิมของการสงสัยอันนั้นก็คือกลางคืนนั้นเอง (เราผ่านเวลากลางคืนไปสู่กลางวัน) แบบนี้อนุญาตให้กินอาหารได้ ดังนั้นถือว่าการถือศีลอดของเขาใช้ได้ โดยเวลาที่การกินของเขาในเวลานั้นไม่มีการประจักษ์แจ้งมาว่ามีความผิดพลาดหรือหมดเวลาแล้วในตอนนั้น(ตอนเค้ากินเค้าสงสัยว่าเข้าเวลาฟายัรหรือยัง ต่อมาก็ปรากฎว่าเป็นเวลาที่ยังเป็นกลางคืนอยู่ คือ
- ความสงสัยของเขาเป็นไปในทางที่ถูกต้อง(สงสัยว่าเป็นเวลากลางคืน หรือ แสงอาทิตย์ขึ้นแล้ว และปรากฏความจริงว่า ยังเป็นเวลากลางคืน
- หรือไม่มีสิ่งใดปรากฎตามมาว่าเวลาที่เขากินนั้นหมดเวลาแล้ว หรือยังไม่หมดกันแน่
ทั้งสองกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าการถือศีลอดของเขาใช้ได้
แต่ถ้าความสงสัยของเขาตอนที่กินไปนั้น(สงสัยว่าเป็นเวลากลางคืน หรือ แสงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ) ต่อมาผลปรากฏว่าเวลานั้นหมดเวลาไปแล้ว (แสงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ) ดังนั้นถือว่าไม่เซาะห์การถือศีลอดนั้น เช่น คนอยู่ในถ้ำมืดๆกินข้าวซาโฮร์ เพราะคิดว่ายังเป็นกลางคืน พอออกมานอกถ้ำนั้นสว่างแล้ว แบบนี้ก็ไม่เซาะหฺ
ถ้าหากมีการกินซาโฮร หรือ ละศีลอด โดยการวินิจฉัย(อิจญติฮาด) และต่อมาปรากฏว่ามีความผิดพลาดขึ้น ถือว่าเสียศีลอด
เช่น กินซาโฮร ตอน 4.00 น ต่อมาปรากฏว่า นาฬิกาของเขาเดินช้าไป 1 ชม ( ความจริงเวลาที่เขากิน เป็นเวลา 5.00 น ซึ่งหมดเวลากลางคืนแล้ว ) เช่นนี้ถือว่าเสียศีลอด
หรือเขา ละศีลอด ตอน 18.30 น ต่อมาปรากฏว่า นาฬิกาของเขาเดินเร็วไป 1 ชม ( ความจริงเวลาที่เขากิน เป็นเวลา 17.30 น ซึ่งยังไม่ถึงเวลาอาทิตย์ตก ) เช่นนี้ถือว่าเสียศีลอด
หรือในกรณีการกินอาหารละศีลอด หรือกินซาโฮรตอนหัวรุ่ง โดยที่เขาไม่รุ้อะไรเลย ( ไม่มีการวินิจฉัยใดๆ ไม่มีนาฬิกา ไม่มีสิ่งบอกเวลา ไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีเสียงไก่ขัน เป็นต้น ) การกินแบบนั้น โดยที่เขาไม่รุ้สภาพของเขาเลยว่าที่เขากินอยุ่นั้นเป็นเวลาที่ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้(ได้เวลา หรือ หมดเวลาแล้ว เขาไม่รู้เลย ) แบบนี้นั้นใช้ได้ในการกินข้าวซาโฮร์ แต่กรณีการละศีลอดโดยที่เขานั้นไม่รู้เวลาอะไรเลยนั้น ถือว่าการถือศีลอดของเขาใช้ไม่ได้
เพราะรากฐานเดิมของการกินซาโฮร์นั้นเป็นช่วงเวลาของกลางคืน รากฐานเดิมของการละศีลอดนั้นเป็นเวลากลางวัน ( เมื่อมีความไม่แน่ใจ ก็ต้องกลับไปหารากฐานเดิมที่มั่นใจ )ในกรณีที่เขาละศีลอดโดยที่เขาไม่สนใจเวลาเลยจึงถือว่าไม่เซาะห์(เสียศีลอด)
แต่ถ้าหากปรากฎภายหลังว่ามันถูกต้อง (ที่เขากินไปโดยที่ไม่รู้เวลานั้น เป็นเวลาทีถูกต้อง คือ เขาละศีลอด เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ตกแล้วจริงๆ หรือกินซาโฮร ตอนที่ยังเป็นเวลากลางคืนจริงๆ ) ถือว่าการถือศีลอด ในสองกรณีนี้ ใช้ได้
แต่ถ้าต่อมาปรากฏชัดว่าเกิดความผิดพลาด (ที่เขากินไปโดยที่ไม่รู้เวลานั้น เป็นเวลาทีผิดพลาด คือ เขาละศีลอด เป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ตก หรือกินซาโฮร ตอนที่หมดเวลากลางคืนแล้ว ) แบบนี้ถือว่าการถือศีลอดนั้นใช้ไม่ได้ ทั้งสองกรณี
วัลลอฮุอะลัม