พลังจิตหรือพลังธาตุ จิตมีพลังงานได้อย่างไร จิตนั้นคืออะไร ทำไมจึงใช้อำนาจพลังได้ พลังนั้นคืออะไรและพลังนั้นมาจากไหน และเกี่ยวข้องกับการฝึกจิตสมาธิอย่างไร จะพัฒนาจิตและจิตวิญญาณอันเป็นที่สุดอยู่ตรงไหน***ขอผู้รู้ทั้งหลายช่วยไขปริศนาสิ่งเหล่านี้ให้เห็นเป็นรูปธรรมตามแนวทางการอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ด้วยเทอญ***ขอขอบคุณไว้ล่วงหน้าต่อผู้รู้ที่ไขความกระจ่างในปัญหาเหล่านี้ ขอบคุณๆๆ
@ "พระคาถาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เปิดโลก"@
พุทธังอาราธนานัง พระพุทธเจ้าเปิดโลก
ธัมมังอาราธนานัง พระธรรมเจ้าเปิดโลก
สังฆังอาราธนานัง พระสังฆเจ้าเปิดโลก
นะเปิดบุญ โมเปิดบารมี พุทธเปิดวาสนา ธาเปิดจิต ยะเปิดธรรม
เปิดโลกเปิดจิตครอบจักรวาล เปิดด้วยนะโมพุทธายะ
ยะเปิดการณ์ดี ธาเปิดงานดี พุทธเปิดโชคดี โมเปิดลาภดี นะเปิดอำนาจดี
เปิดสิ่งดีๆทั้งหลายมาสู่ตัวข้าพเจ้าฯ ด้วยยะธาพุทโมนะ
นะมะพะทะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ขออำนาจบารมีขององค์พระศรีรัตนตรัย โปรดเชื่อมโยงบุญบารมี วาสนาบารมี ฌาณบารมีทั้งหลายทุกภพทุกชาติของข้าพเจ้า จงมารวมกัน ณ ปัจจุบันชาตินี้ และขอเบิกบุญบารมีทั้งหลายมาสู่ตัวข้าพเจ้า ณ กาลบัดนี้ เปิดโลก เปิดจิต เปิดธรรม เปิดด้วยนะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ
พุทธังบังเกิด เปิดโลก โลกะวิทู วิโสธายิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ อิสวาสุ
ธัมมังบังเกิด เปิดโลก โลกะวิทู วิโสธายิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ อิสวาสุ
สังฆังบังเกิด เปิดโลก โลกะวิทู วิโสธายิ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ อิสวาสุ
*สะหัส สะเนตรโต เทวินโท ทิพพะจักขุง วิโสธายิ*
พุทธังประสิทธิ มหาประสิทธิ ธัมมังประสิทธิมหาประสิทธิ สังฆังประสิทธิมหาประสิทธิ
พุทธจิตศรีอริยเจ้าบังเกิดท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสนามพลังจักรวาล อันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์และคลื่นความถี่ของสนามแม่เหล็กโลกที่สูงขึ้น กับคลื่นสมองความถี่ที่มีประจุไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายในระดับเลือดที่สูงขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศน์ของธรรมชาติในโลกใบนี้ทั้งหมดอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ จากเคยมีธรรมชาติของสนามแม่เหล็กโลกอยู่ในย่านความถี่ 7.83 Hz และคลื่นความถี่นี้เองตรงกับความถี่ของคลื่นสมองแอลฟ่า ซึ่งมีช่วงความถี่ตั้งแต่ 7-13 Hz อันเป็นช่วงแห่งความสุขสงบในขณะที่หลับตาหรือทำสมาธิ ถ้าคลื่นสนามแม่เหล็กโลกนี้เปลี่ยนไปในลักษณะที่สูงขึ้น ย่อมส่งผลกระทบต่อคลื่นสมองแห่งความสุขสงบและการทำสมาธิอย่างแน่นอน ความเครียดและการตื่นตัวก็จะมีมากขึ้น ส่งผลต่อการนอนหลับและการพัฒนาจิตและจิตวิญญาณได้อีกด้วย การเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กโลกที่สูงขึ้นและมีแนวโน้มจะสูงขึ้นถึง 13 Hzขึ้นไป ซึ่งตรงกับคลื่นถี่สมองเบต้า ที่อยู่ในช่วงความถี่คลื่น 13-50 Hz อันเป็นความถี่คลื่นในช่วงลืมตา ทำให้เกิดการตื่นรู้ตื่นตัวและลองมาคิดดูว่า สมองของเราจะพักผ่อนตอนไหน ถ้าเป็นเช่นนั้น ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกายและเลือดจะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอนแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลที่ตามมา คือ กรดต่างๆในร่างกายจะสูงขึ้น เช่น ยูริค แลคติก ความเหนื่อยล้าและความเครียดจะมากขึ้น ประจุไฟฟ้าในร่างกายก็จะมีมากขึ้น ร่างกายก็จะสูญเสียความสมดุล อันมีผลกระทบต่อการทำงานของสมองและจักระ รวมถึงการรับรู้และรู้สึกถึงพลังก็จะง่ายและเร็วมากขึ้น สารกลูตาเมตหรือสารสื่อนำประสาทจะมีมากขึ้นและทำงานเร็วมากขึ้น จนกระทั่งระบบประสาทไม่สามารถทนทานกับความเร็วและแรงนี้ได้ และอาจจะเกิดกับคนบางคนแล้วก็ได้ เช่นการช๊อตในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายหรือทั้งระบบ ยกเว้นบุคคลที่เคยฝึกจิตแบบแรงผลักเท่ากับแรงต้าน ความยืดหยุ่นของเซลล์จะมีสูงต่อแรงกระทำ แม้ว่าความเร็วนั้นจะเป็นความเร็วแสง สิ่งที่เกิดขึ้นของการเปลี่ยนแปลงความถี่สนามแม่เหล็กโลก ส่งผลต่อการขยายช่วงคลื่นสมองความถี่เบต้าเป็นซูเปอร์เบต้าที่ความถี่ตั้งแต่ 50 Hz ขึ้นไป กระแสไฟฟ้าจะเข้าสู่ร่างกายในอัตราเร่ง ที่เรียกจิตในช่วงคลื่นความถี่นี้ว่า"การสร้างจิตอริยะเจ้า" ซึ่งตรงกับความคิดที่ตื่นรู้และตื่นตัว (Awaken Thinking) และถ้านำมาฝึกจิตในช่วงคลื่นความถี่นี้ก็จะเป็นการเปิดพุทธจิตไปสู่จิตอริยเจ้าที่สมบูรณ์แบบ และสิ่งที่ตามมา ถ้าสามารถเข้าสู่สมาธิที่ล้ำลึกได้ ก็จะได้คลื่นความถี่สมองในระดับคอสมิค(1/2-1 Hz) เลยทีเดียวครับ ส่งผลต่อการรู้แจ้งในทุกสัญญาในทุกย่านความถี่ที่สอดคล้องกับการใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ใช้ปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงให้เป็นสติปัญญาของจิตอริยเจ้าดำเนินสู่ความไร้ขีดจำกัดได้อย่างสอดคล้องเลยครับ เจริญกรรม เจริญธรรม ปท.
"จิตเปลี่ยน กรรมเปลี่ยน สัญญาเปลี่ยน และสัญญาเปลี่ยน กรรมเปลี่ยน จิตเปลี่ยน" ความคิด การกระทำ การจดจำหมายรู้ รวมถึงคลื่นความถี่ของสมองในแต่ละช่วงความถี่ที่เกิดจากจิตและความคิด อาจเปลี่ยนแปลงหรือได้รับผลกระทบไปตามคลื่นความถี่ของสนามแม่เหล็กที่เพิ่มมากขึ้นอันเนื่องมาจากจุดดับบนดวงอาทิตย์ที่ขยายตัวในอัตราเร่ง อันมีผลต่อคลื่นสมองของสิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจะยังผลต่อสุขภาพกาย จิตและจิตวิญญาณ ที่มีแนวโน้มของการกระทำที่รุนแรงทุกด้าน รวมถึงการพัฒนาศักยภาพพิเศษของจิตและจิตวิญญาณการรับรู้ที่เหนือสามัญจะบังเกิดในอัตราเร่งเช่นเดียวกัน ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกที่เพิ่มมากขึ้น มีทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ ถ้าเรารู้จักการเตรียมพร้อมร่างกายและจิตใจรวมถึงการฝึกจิตและพลังจิต จากสิ่งที่จะเกิดเป็นโทษมหันต์ก็จะเปลี่ยนเป็นได้รับประโยชน์เป็นคุณอนันต์ เฉกเช่นเดียวกับการใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสของการพัฒนากาย จิตและจิตวิญญาณให้ไร้ขีดจำกัดในอัตราเร่ง ใช้ปัญหาให้เกิดสติปัญญาแห่งการรู้แจ้งด้วยการเปลี่ยนคลื่นสมองให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลกโดยวิถีแห่งธรรมชาติที่เป็นอยู่ ถ้าทำได้การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ก็จะเป็นอีกหน้าหนึ่งการพัฒนาในอัตราเร่งของมวลมนุษยชาติเลยที่เดียว ขอนำข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กโลกมาให้ดูด้วยครับ ชูมานน์เรโซแนนซ์ (Schumann Resonances) หรือที่รู้จักกันในนามของ ชีพจรของโลก (Earth’s heartbeat) ซึ่งชีพจรโลกนี้ หรือจะเรียกว่า ค่าความถี่ของสนามแม่เหล็กโลกก็ได้ ในปัจจุบัน( พ.ศ. 2557) มีความถี่อยู่ที่ 7.83 รอบต่อวินาที โดยมันกำลังเพิ่มสูงขึ้นในทุกปี ซึ่งในปีถัดไปอาจจะมีอัตตราการขึ้นลงอยู่ราว ๆ 9 -11 รอบต่อวินาที
เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนปี 2557 ทีมนักวิทย์ได้ตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของคลื่นความถี่สนามแม่เหล็กโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดยชูมานน์เรโซแนนซ์ที่เราตรวจพบกับมีค่าความถี่ที่สูงขึ้นจากค่าปกติมาก ซึ่งค่าดังกล่าวเราสามารถสังเกตได้จากในกราฟที่เป็นขีดสีขาว และหลังจากนั้นในวันที่ 25 สิงหาคม 2557 กราฟได้แสดงผลไปอีก 25 ชั่วโมง คลื่นความถี่ของโลกก็กับเพิ่มสูงขึ้นเท่าตัวอย่างผิดปกติจากครั้งแรกที่เราพบเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2557 ในอนาคตข้างหน้าได้มีการคาดการณ์ว่า คลื่นความถี่นี้มันอาจจะเพิ่มขึ้นจนเป็น 13 รอบต่อวินาที นั่นหมายความว่าเราจะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับดาวโลกด้วยความถี่ 13 รอบต่อวินาที นั่นเอง ซึ่งคลื่นความถี่ของสนามแม่เหล็กโลกนี้ จะทำงานสะท้อนอยู่ภายในขอบเขตของคลื่นความถี่สมองอัลฟา(Alpha)
รหัสลับ รหัสรัก รหัสจักรวาลและจิตวิญญาณ เป็นพฤติกรรมของคลื่นความถี่ของอนุภาคของพระผู้เป็นเจ้า อันเป็นรากฐานของธาตุทุกธาตุที่มีผลกระทบต่อมิติแห่งกาลเวลาและระยะทางในโลกของกายภาพและเหนือกายภาพแต่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติเดียวกัน ซึ่งมันเป็นความจริงในทุกกาลเวลาไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปนานแค่ไหน ความจริงก็ย่อมเป็นความจริงอยู่ร่ำไป อันเป็นความจริงในระดับอะกาลิโก ที่ต้องเป็นอย่างนี้ ดำเนินอย่างนี้ อย่างไม่จบสิ้น และยังเป็นการรอคอยผู้ที่เข้าใจในรหัสสัญญาของคลื่นจักรวาลทั้งหมด มาบอกกล่าวความจริงของธรรมชาติทั้งหมดในกรอบแห่งความรู้ในช่วงเวลานั้นๆๆที่พอจะสามารถบอกกล่าวให้เข้าใจได้ การบอกกล่าวนั้นจะวิจิตรพิศดารเป็นเช่นไรก็ยังไม่ทิ้งรากฐานความจริงของธรรมชาติอันมีรหัสสัญญาเป็นตัวขับเคลื่อนในกลไกของธรรมชาติทั้งหมด(ธาตุ กาย จิต จิตวิญญาณ จักรวาลฯลฯ) ความลับจะไม่เป็นความลับ ถ้าเราทั้งหลายเข้าใจในองค์ความรู้ในธรรมชาติอย่างแท้จริง อันมีจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวค้นหาและขับเคลื่อนที่ทำให้เกิดการเห็นตามความเป็นจริง ด้วยการ รับรู้ เฝ้าดู ติดตามอยู่เฉยๆๆ ให้ได้ตลอดและต่อเนื่อง ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆๆ จะพบวิวัฒนาการแห่งจิตในแต่ละระดับชั้นจนถึงอันเป็นที่สุดของจิตในระดับปรมัตถ์ การอ่านรหัสสัญญาและความเข้าใจในธรรมชาติทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัติโนมัติแบบไม่ต้องใช้ความพยายามเลย
สติปัญญา เป็นเทคนิควิธีการปฏบัติการทางจิตด้วยการ คิด พูด ทำ รับรู้และรู้สึก ให้สอดคล้องกับวิถีแห่งธรรมชาติตามความเป็นจริงของการเปลี่ยนแปลง เพื่อทำให้กระแสพลังขับเคลื่อนด้วยความเร็วที่สูงยิ่ง ในลักษณะที่เกิดขึ้น ทรงอยู่ ขยาย สลาย และดับไป อันเป็นผลที่ทำให้เห็นความเป็นพุทธะของความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน บังเกิดขึ้นในจิตใจ ซึ่งเกิดขึ้นเองเมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อมด้วยความเข้าใจในธรรมชาติ อันเป็นมรรควิธีแห่งความสำเร็จของจิตในที่สุด
ความเป็นพุทธะขึ้นอยู่กับการไม่ยึดติด แต่การยึดติดขึ้นอยู่กับความคิดที่เราต้องการให้เป็นอย่างที่เราคิด ความเป็นพุทธโดยสมบูรณ์จึงขึ้นอยู่กับใจของคนๆ นั้นว่าเขายึดหรือไม่ "ธรรมจะเข้าถึงได้ด้วยการใช้ธรรม ธรรมจะเห็นได้ด้วยการดูธรรม ธรรมจะนำพาหลุดพ้นได้ด้วยการเข้าใจธรรม"
หลักฟิสิกส์อันยิ่งใหญ่ อาจอยู่บนรากฐานของความศรัทธาอันงมงายด้วยจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติแบบซื่อตรง ความเชื่อและพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ที่เหนือกาลเวลาและเหนือระยะทางก็ได้ การกระทำใดๆ ที่กระทำด้วยใจ และมีใจรักอย่างแท้จริง สิ่งนั้นแม้จะมองด้วยเหตุผลว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทั้งหมดมีใจ และเดินทางด้วยใจรักอย่างแท้จริง สิ่งนั้นย่อมยังผลแห่งความสำเร็จได้ด้วยใจอันเป็นจักรวาลเป็นปาฏิหาริย์แห่งพระผู้เป็นเจ้า อันมีจิตวิญญาณของธรรมชาติตอบแทนเป็นเบื้องต้น ดั่งคำที่ว่า"ใจมี จักรวาลมี สรรพสิ่งทั้งปวงนั้นสำเร็จลงได้ด้วยใจมี ทุกอย่างจึงบังเกิดมี" สาธุ..เจริญกรรรม เจริญธรรม พี่น้อง ปท.
๑.. พระพุทธเจ้าตัณหังกร - ผู้กล้าหาญ
๒. พระพุทธเจ้าเมธังกร - ยศใหญ่
๓. พระพุทธเจ้าสรณังกร - ผู้เกื้อกูลแก่โลก
๔. พระพุทธเจ้าทีปังกร - ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง
๕. พระพุทธเจ้าโกณฑัญญะ - ผู้เป็นประมุขแห่งหมู่ชน
๖. พระพุทธเจ้าสุมังคละ - ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ
๗. พระพุทธเจ้าสุมนะ - ผู้เป็นธรีบุรุษมีพระหทัยงาม
๘. พระพุทธเจ้าเรวัต - ผู้เพิ่มพูนความยินดี
๙. พระพุทธเจ้าโสภิตะ - ผู้สมบูรณ์ด้วยพระคุณ
๑๐. พระพุทธเจ้าอโนมัทสสี - ผู้อุดมอยู่ในหมู่ชน
๑๑. พระพุทธเจ้าปทุมะ - ผู้ทำให้โลกสว่าง
๑๒. พระพุทธเจ้านารทะ - ผู้เป็นสารถีประเสริฐ
๑๓. พระพุทธเจ้าปทุมุตตระ - ผู้เป็นที่พึ่งแก่หมู่สัตว์
๑๔. พระพุทธเจ้าสุเมธะ - ผู้หาบุคคลเปรียบมิได้
๑๕. พระพุทธเจ้าสุชาติ - ผู้เลิศกว่าสัตว์โลกทั้งปวง
๑๖. พระพุทธเจ้าปิยทัสสี - ผู้ประเสริฐกว่าหมู่นรชน
๑๗. พระพุทธเจ้าอัตถทัสสี - ผู้มีพระกรุณา
๑๘. พระพุทธเจ้าธัมมทัสสี - ผู้บรรเท่ามืด
๑๙. พระพุทธเจ้าสิทธัตถะ - ผู้หาบุคคลเสมอมิได้ในโลก
๒๐. พระพุทธเจ้าติสสะ - ผู้ประเสริฐกว่านักปราชญ์ทั้งหลาย
๒๑. พระพุทธเจ้าปุสสะ - ผู้ประทานธรรมอันประเสริฐ
๒๒. พระพุทธเจ้าวิปัสสี - ผู้หาที่เปรียบมิได้
๒๓. พระพุทธเจ้าสิขี - ผู้เป็นศาสดาเกื้อกูลแก่สรรพสัตว์
๒๔. พระพุทธเจ้าเวสสภู - ผู้ประทานความสุข
๒๕. พระพุทธเจ้ากกุสันธะ - ผู้นำสัตว์ออกจากกันดาร คือ กิเลส
๒๖. พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ - ผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส
๒๗. พระพุทธเจ้ากัสสปะ - ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ
๒๘. พระพุทธเจ้าโคตมะ (พระสมณะโคดม) - ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากย
มิติแห่งดวงตาเชื่อมต่อมิติแห่งจักรวาลด้วยการมองผ่านจักระหก เป็นการทำงานของไพเนียลแกลนด์ที่เชื่อมต่อทุกสรรพสิ่งด้วยการสัมผัสรู้แห่งความเร็วแสง จงมองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยใจอันมีความรู้ความเข้าใจในวิถีแห่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นในทุกขณะจิต ด้วยการรับรู้ เฝ้าดู ติดตามอยู่เฉยๆ ในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ภายใน ใช้ความคิดเกาะติดความรู้สึกที่เกิดขึ้นไปให้ได้ตลอดและต่อเนื่องจนกระทั่งสัญญาของความคิดเป็นหนึ่งเดียวกับความรู้สึกนั้นๆ อันตัดความเป็นตัวตนของจิตในสำนึกไว้ชั่วขณะหนึ่ง ปล่อยให้ไพเนียลแกลนด์ทำงานได้อย่างอิสระจนกระทั่งเกิดการขับเคลื่อนเองโดยอัติโนมัติด้วยความเร็วแสง เมื่อถึงเวลานั้นไพเนียลแกลนด์จึงจะเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล การแปรธาตุก็จะบังเกิดขึ้นไปสู่ความเป็นอนุภาคแห่งพระผู้เป็นเจ้า(Particle of God) แต่ทั้งนี้ต้องมีความรู้ความเข้าใจเป็นแนวทางการปฏิบัติ โดยการใช้พลังคุณฑาลินีกับไพเนียลแกลนด์ให้สอดคล้องและส่งเสริมซึ่งกันและกัน ด้วยการก้มศีรษะให้วอร์เท็กซ์(Vortex)ของไพเนียลแกลนด์ไปตัดขอบกับแรงขับของพลังคุณฑาลินีโดยมีความรู้สึกของธรรมชาติเป็นแรงส่งเสริมและพลักดัน เมื่อทั้งสองเป็นเส้นเดียวกันให้ทำการเคลื่อนไหวกาย จิต และจิตวิญญาณให้เป็นไปตามวิถีแห่งธรรมชาติ เพื่อเปิดช่องปราณทั้งหมดไม่ให้ติดขัดในระหว่างการฝึก การงอตัวและเอี้ยวใบหน้าไปทางซ้ายเล็กน้อย แล้วพุ่งจิตไปที่ฐานหนึ่ง กัดฟันหน้าแล้วปล่อยจะส่งเสริมพลังคุณฑาลินีได้อย่างรุนแรงและมหาศาล ส่วนการส่งเสริมไอชีวิตและไพเนียลแกลนด์ ใช้การพุ่งจิตไปที่รูจมูกขวาแล้วกัดปล่อยดูวงจรให้สัมพันธ์กับไพเนียลแกลนด์ ต่อไปใช้จิตพุ่งตรงไปที่ไพเนียลแกลนด์แล้วกัดปล่อยดูวงจรให้สัมพันธ์กับรูจมูกขวาและไอชีวิต เมื่อได้วงจรแล้วให้จิตตั้งอยู่ที่วงจรแล้วกัดปล่อยจนแตกระเบิดจึงจะได้ไพเนียลแกลนด์ที่เป็นจักรวาล การปฏิบัติขอให้ฝึกทำบ่อยๆจนกระทั่งเป็นวสีแห่งจิต แม้กระทั่งลืมตาก็เห็นหลับตาก็เห็นการแตกระเบิดทุกครั้งไป จึงจะได้จิตที่นำพาไปสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง..
การสวดมนต์เพื่อการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ การสวดมนต์เป็นการสั่นสะเทือนทางเสียง ที่ทำให้พลังงานเกิดการเคลื่อนตัวและลอยตัวขึ้นสู่สมองมาที่ก้านสมอง (Medulla Oblongata) ตำแหน่งนี้เองเป็นตำแหน่งที่รักษาสมดุลของพลังให้กับร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติ การสวดมนต์เป็นการ(Concentrate)โดยวิถีของธรรมชาติ ในขณะสวดมนต์จะมีการหยุดลมหายใจและเกร็งท้องเป็นช่วงๆ ยังผลทำให้เกิดการขับเคลื่อนพลังงานให้มีการไหลเวียน ซึ่งนำพาพลังงานที่กระจุกตัวตามส่วนต่างๆ ของร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยให้เคลื่อนตัวไปด้วย การสวดมนต์บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรากล่าวถึง จะมีผลต่ออัตราความเร็วของพลังงานที่ไหลเวียนตามส่วนต่างๆของร่างกายทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสัญญาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราระลึกถึง สัญญาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละอย่างมีความเร็วของพลังงานไม่เท่ากัน การสวดมนต์เพื่อการบำบัด ควรสวดมนต์ในลักษณะมุทราของการเคลื่อนไหวตามวาระจิตและจิตวิญญาณจึงจะดีที่สุด การเคลื่อนไหวนั้นจะมีพลังงานพลักดันให้ฝ่ามือและร่างกายทำการเคลื่อนไหวให้สอดคล้องกับพลังงานที่มีอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างลงตัวและเหมาะสมตามภาวะของความเป็นจริง ตรงไหนมีการกระจุกตัวของพลังงาน การเคลื่อนไหวก็จะกระทำต่อ ณ ตำแหน่งนั้น เคลื่อนไหวจนกระทั่งลงสมดุล ถือว่าเคลียร์พลังงานที่ติดขัดและทำให้เกิดการไหลเวียนที่ดี การสวดมนต์ควรสวดมนต์ด้วยความศรัทธาและควรสวดมนต์ด้วยความสุนทรียภาพ การสวดมนต์ด้วยความศรัทธาจะยังผลต่อไพเนียลแกลนด์โดยตรง โรคที่เป็นอยู่ก็จะมลายหายสิ้นไป
ดวงตาแห่งจักรวาล เปิดโลกทัศน์ทั้งทางโลกและทางธรรม ด้วยการสร้างคลื่นความถี่ที่มีระดับการสั่นสะเทือนที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับช่วงอายุของการฝ่อของไพเนียลแกลนด์ ถ้าไพเนียลแกลนด์ฝ่อเร็วตั้งแต่อายุน้อย ๆ ระดับการสั่นสะเทือนจะรุนแรงและเร็ว เป็นเหตุที่ทำให้ร่างกายรับพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่เส้นเลือดโดยเฉพาะกลุ่มเส้นเลือดดำ เมื่อพลังงานไฟฟ้ามีจำนวนมากและลอยตัวขึ้นสู่สมองส่วนกลาง เป็นผลทำให้เกิดจิตวิญญาณของการรับรู้พลังในแต่ละย่านความถี่โดยมีความคิดเป็นตัวกดทับหรือควบคุมการสั่นสะเทือน ดังนั้นไพเนียลแกลนด์จะมีระดับการสั่นสะเทือนที่รุนแรงและเร็วนั้น สามารถเกิดขึ้นได้ใน 3 กรณีคือ 1.ในขณะที่ความคิดมีการตื่นตัวและตื่นเต้นอย่างรุนแรง(Awaken Thinking) การตื่นตัวชนิดนี้จึงเป็นที่มาของพวกฝึกวิทยายุทธิ์ การสร้างอำนาจจิต การสร้างจิตอันวิเศษ การสร้างจิตอริยเจ้า จิตแห่งการบรรลุธรรม ฯลฯ กลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ก็สามารถเข้าถึงได้ด้วยความขยันหมั่นเพียรและรู้เทคนิคของการฝึก 2.ในขณะที่มีจิตใจสงบนิ่งอันเนื่องมาจากการฝึกปฏิบัติสมาธิ แต่กลุ่มบุคคลเหล่านี้จะต้องมีพรสวรรค์และมีการฝ่อของไพเนียลแกลนด์ตั้งแต่อายุน้อยๆ หรือกลุ่มบุคคลที่มีการเจ็บป่วยแบบไม่มีสาเหตุหรือที่เรียกกันว่า โรคกรรม อันมีเวรกรรมที่จะต้องกระทำ 3.ในขณะที่มีการเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนทั้งร่างกาย รวมถึงอารมณ์ ความรู้สึก จิตใจที่หวั่นไหว ดังนั้นไพเนียลแกลนด์จะเป็นดวงตาแห่งจักรวาลที่มีการรับรู้ที่ไร้ขีดจำกัดได้นั้นจะต้องมีระดับการสั่นสะเทือนที่รุนแรงและเร็วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยู่ในกรณีไหนก็แล้วแต่ การสั่นสะเทือนในแต่ละย่านความถี่ถือเป็นมิติแห่งการรับรู้และเป็นภาษาสากลที่ทุกสรรพสิ่งจะต้องสื่อสารและส่งผ่านข้อมูลกันทั้งระบบ แม้แต่การรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมก็ยังต้องอาศัยการสั่นสะเทือนของไพเนียลแกลนด์เช่นเดียวกัน ไพเนียลแกลนด์มีความมหัศจรรย์มากกว่าที่จะคาดคิดได้ รวมถึงเรื่องที่อยู่เหนือกาลเวลา เหนือระยะทาง เหนือความสำเร็จทั้งปวงก็ย่อมเป็นไปได้ เจริญธรรม พี่น้อง ปท.
ความคิดเราเชื่อมต่อกับจักรวาลและทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างไร เมื่อความคิดขยายเป็นจักรวาลด้วยการขับเคลื่อนพลังของสมองส่วนหน้าอันเป็นที่ตั้งของความคิด การขับเคลื่อนและการขยายเกิดจากการแยกประจุไฟฟ้าและอนุภาคให้ห่างออกจากกัน สิ่งที่ตามมาก็คือ ความเป็นสนามแม่เหล็กและการขับเคลื่อนพลังที่ทำให้เกิดการพัฒนาการของจิตวิญญาณของการรับรู้พลัง แต่ทั้งนี้จะต้องมีพัฒนาการของสมองส่วนหลังด้วย จึงจะยังผลต่อการเชื่อมต่อกับจักรวาลและทุกสิ่งทุกอย่าง จึงจะเป็นการเชื่อมต่อที่สมบูรณ์แบบ ส่วนการรับรู้และรู้สึกได้นั้น เกิดจากการไหลของกระแสไฟฟ้าที่ได้จากการขับเคลื่อนของพลังคุณฑาลินี ความคิดของคนเรานั้นเกิดการแปรเปลี่ยนพลัง จากสัญญาเก่าและสัญญาใหม่ให้คืนสู่สภาวะความสมดุล เมื่อสมดุลแล้วจึงจะหยุดคิด จิตหรือความคิดของคนเราอยู่ในรูปของกลุ่มก้อนพลังงานของสัญญาที่มีหลายระดับการสั่นสะเทือนหรือหลายคลื่นความถี่ และจะทำงานเมื่อมีการไหลเป็นกระแสไฟฟ้า ดังนั้น กฎกติกาและคุณสมบัติของคลื่นถี่จึงมีดังนี้ "คลื่นที่เหมือนกันจะดึงดูดเข้าหากัน ส่วนคลื่นความถี่ที่แตกต่างกันจะผลักออกจากกัน" ใครจะรับคลื่นพลังอะไรอย่างไรให้พิจารณาเอาเอง แต่ที่ดีและปลอดภัยที่สุดก็คือ "คิดดี พูดดี ทำดี" คลื่นพลังที่ดีก็จะมาสู่ท่านเอง..ขอให้ทุกท่านโชคดีมีความสุขกับการฝึกสมาธิจิตกันทุกคนนะ...
มองภายนอกเท่ากับเห็นภายใน พัฒนาภายนอกเท่ากับพัฒนาภายใน การมองเห็นด้วยพลังของจักระ 6 อันมีที่ตั้งอยู่ที่ท้ายทอย จะทำให้จักระทุกจักระที่มองวัตถุใด ๆ ก็จะมีสายป่านจักรวาลของจักระทุกจักระเชื่อมต่อกับวัตถุนั้นด้วย วัตถุเหล่านั้นจะมีหกจักระอยู่บนวัตถุ ส่วนจักระเจ็ดจะอยู่เหนือวัตถุนั้นทุก ๆ ครั้งไป ดังนั้นเราทำหรือพัฒนาภายนอกเป็นอย่างไร ภายในก็จะถูกทำหรือพัฒนาเป็นอย่างนั้น เช่นเดียวกัน ถ้าเรามองแสงจากแท่งเทียน บนแท่งเทียนก็จะมีหกจักระ และจักระเจ็ดก็จะอยู่ที่แสงไฟอันเป็นแสงแห่งสติปัญญา การปลุกเร้าพลังคุณฑาลินี จงมองหาจุดที่ต่ำที่สุด แล้วจุดไฟไว้ในตำแหน่งนั้น การขับเคลื่อนพลังงานก็จะบังเกิดในอัตราเร่ง สุดท้ายคำว่าหยั่งรู้และรู้แจ้งก็จะบังเกิดขึ้นเอง ถ้าคนๆนั้นมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม..
มหัศจรรย์แห่งเกลียวหรือมหัศจรรย์แห่งคลื่น เกลียวแห่งธรรมชาติและความชาญฉลาดของการรู้แจ้งในทุกสรรพสิ่ง สรรพสิ่งทั้งปวงในจักรวาลนี้เป็นเกลียว ทุกสรรพสิ่งประกอบไปด้วยคลื่น และมีการสั่นสะเทือน อันมีตัวประกอบหลักดังนี้ อนุภาค ประจุไฟฟ้า พลังงาน และช่องทาง ดังนั้นคลื่นจึงกลายเป็นภาษาสากลที่ใช้สื่อกับทุกสรรพสิ่งในทุกมิติแห่งกาลเวลาและทุกจักรวาลและสิ่งที่อยู่นอกเหนือกาลเวลารวมถึงการพ้นขีดจำกัดโดยระยะทางแบบไม่ต้องมีระยะทาง นั่นคือ เป็นศูนย์ด้วยความเร็วแสง โดยมีจุดเริ่มต้นที่ตัวเราทุกคน ดังคำกล่าวที่ว่า "มีเราจึงมีจักรวาล มีจักรวาลจึงมีเรา" การที่จะรู้ว่าทุกสรรพสิ่งเกี่ยวเนื่องกันแบบแบ่งแยกมิได้ ต้องเริ่มสร้างการรับรู้ทางจิตวิญญาณด้วยคลื่นหรือเกลียว ในที่นี้ขอใช้คำว่า วงแหวนของการขับเคลื่อนพลังจักรวาล อันประกอบด้วย วงแขน วงขา วงศีรษะ และสนามพลังแนวกระดูกสันหลัง เมื่อชำนาญแล้วจึงส่งจิตให้ขับเคลื่อนพลังออกไปนอกร่างกายจนกระทั่งเป็นจักรวาล จะเห็นจักรวาลภายนอกและจักรวาลภายในร่วมประสานขับเคลื่อนพลังเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งจักรวาล รวมถึงจักรวาลที่อยู่เหนือกาลเวลาเมื่อมีความเร็วแสง การฝึกปฏิบัติต้องอยู่ในรูปของสมาธิจิตที่เป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิสิกส์ อันมีน้ำในสมองส่วนกลางที่อยู่ในรูปของไอโซโทป4 เท่านั้น เป็นผลมาจากพลังคุณฑาลินีขั้นสูงสุดที่ลอยตัวผ่านแนวกระดูกสันหลังขึ้นมา ตลอดทั้งการฝึกปฏิบัติต้องอาศัยจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์คอยดูแลในทุกขั้นตอน มิฉะนั้นจะเกิดอันตรายต่อชีวิตแม้กระทั่งเริ่มต้น จากจุดเริ่มต้นนี้จงมองตุ๊กตาแห่งอารยธรรมโบราณด้วยจิตวิญญาณแบบสายป่านจักรวาลจะเกิดแรงขับเคลื่อนโดยอัติโนมัติ เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อมการรู้แจ้งย่อมเกิดขึ้นเอง..
รูปทรงเรขาคณิตอันศักดิ์สิทธิ์ อันมีธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นส่วนประกอบ
จิตทำงานเมื่อเห็นลายสาย จิตมีความเร็วเมื่อเห็นแสง เนื่องจากสัญลักษณ์ด้านบนเป็นเส้นสายไม่จบสิ้น ถ้าจิตมีการขับเคลื่อนอัตโนมัติแล้วและสามารถเกาะติดเส้นสายได้ การขับเคลื่อนของจิตหรือการไหลของพลังงานก็จะเกิดขึ้น สัญลักษณ์ใดที่ทำให้จิตมีการไหลด้วยความเร็วสูงเราถือว่าเป็นสัญลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมันจะมาเกี่ยวข้องกับธาตุไอโซโทปที่ทำให้การขับเคลื่อนมีความเร็วสูงยิ่ง เมื่อจิตมีความเร็วสูงยิ่งหรือความเร็วแสง ก็จะเกิดการแปรธาตุให้เป็นไปตามกลไกของจิตที่กำหนดไว้ รวมถึงการแปรธาตุภายในร่างกายทั้งหมดอันเป็นที่ตั้งของจิต ซึ่งประกอบไปด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะถูกแปรเปลี่ยนไปด้วย
การสวดมนต์มีอานิสงส์มาก...เรามาสวดมนต์กันนะครับ. [๑๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ ๔ ประการแห่งธรรมทั้งหลาย
ที่บุคคลฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ อันบุคคล
พึงหวังได้ อานิสงส์ ๔ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ...เวทัลละ ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมอันภิกษุ
นั้นฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ เธอมีสติ หลงลืม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทแห่งธรรมทั้งหลาย
ย่อมปรากฏแก่เธอผู้มีความสุขในภพนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า แต่สัตว์นั้นย่อมเป็นผู้
บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๑ แห่ง
ธรรมทั้งหลายที่บุคคลฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ
อันบุคคลพึงหวังได้ ฯ
การทำสมาธิเพื่อการเจริญสติและพัฒนาจิต การทำสมาธิเป็นกระบวนการลดระดับคลื่นสมองให้อยู่ในภาวะนิ่งสูงสุด การลดระดับคลื่นสมองจะเป็นไปได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับอัตราปริมาณประจุไฟฟ้าที่ถูกผลิตมาจากพลังคุณฑาลินี ถ้ามีมากการนิ่งขั้นสูงสุดและล้ำลึกก็จะเข้าถึงได้ง่าย การนิ่งทุกครั้งจะยังผลของการแยกประจุไฟฟ้าและอนุภาคออกจากกัน การแยกเกิดจากการที่ประจุไฟฟ้าและอนุภาค มีระดับการสั่นสะเทือนและน้ำหนักมวลที่แตกต่างกัน การแยกประจุและอนุภาคให้ห่างจากกันมากเท่าไร จะยังผลความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กมากเท่านั้น ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กจะยังผลต่อการผลักดันและขับเคลื่อนการเลื่อนไหลของพลังงานให้เกิดขึ้นด้วยความเร็วสูงตามภาวะความเข้มข้น ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กขึ้นอยู่กับน้ำหนักมวลอันได้มาจากจำนวนนิวตรอน และปริมาณประจุไฟฟ้าที่อยู่ในระดับเลือดโดยเฉพาะกลุ่มเลือดดำ ประจุไฟฟ้าจะเข้าสู่ร่างกายได้ก็ต่อเมื่อมีการสั่นสะเทือน การสั่นสะเทือนของจิตหรือการใช้ความคิดจึงเป็นส่วนของการนำประจุไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น การใช้ความคิดในขณะทำสมาธิจะยังผลการพัฒนาจิตให้เติบโตและขยายตัวโดยตรง แต่เมื่อใดที่จิตหรือความคิดนิ่งสงบก็จะเป็นช่วงของการแยกประจุไฟฟ้าและอนุภาคให้ห่างออกจากกัน การทำสมาธิให้เกิดอำนาจพลังและมหาสติจะต้องฝึกจิตในลักษณะที่จิตตื่นตัวด้วยคลื่นสมอง 50Hz ขึ้นไปที่เรียกันว่า การทำสมาธิแบบ Awaken Thinking Meditation จึงจะให้กระแสไฟฟ้าขั้นสูงสุด เรียกจิตของการตื่นตัวและตื่นรู้นี้ว่า "จิตอริยเจ้า"ซึ่งเป็นสาเหตุและเป็นตัวกำหนดว่า การฝึกจิตนั้นจะสำเร็จหรือได้แค่ขั้นไหน หรือที่เรียกว่าสำเร็จตามภาวะการละสังโยชน์ จนรู้ในวิชชาได้สมบูรณ์ เมื่อจิตตื่นตัวคือการดูดซับประจุพลังเข้าสู่ร่างกายจะต้องทำการฝึกจิตให้สงบนิ่งสลับกับการตื่นตัวทางความคิดเพื่อการพัฒนาจิตในอัตราเร่ง ในช่วงที่สงบนิ่งจะยังผลของการแยกประจุพลังและอนุภาคออกจากกันให้เป็นสนามแม่เหล็ก จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนและเลื่อนไหลของพลังงานเกิดสายธารกระแส เป็นการตื่นรู้สร้างกลไกมหาสติแบบสมบูรณ์ การฝึกสมาธิเป็นการพัฒนาจิตหรือความคิดให้ตื่นตัว และเป็นการเจริญสติหรือพัฒนาความรู้สึกให้ตื่นรู้อยู่ในทุกขณะจิต การฝึกสมาธิเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์จะต้องมีความเข้าใจในองค์ความรู้รอบด้าน เห็นจิตในภาวะรูปธรรมที่สัมผัสได้อย่างแท้จริง ควรนำเอาหลักการวิทยาศาสตร์มาปรับใช้ให้เข้ากับยุคสมัยอย่างแท้จริง ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมเพียงอย่างเดียว คิดอะไรไม่ออกบอกอะไรไม่ถูกก็บอกว่าเป็นเรื่องของ กรรม..สาธุ เจริญธรรม ปท.
เรื่องของจิตเป็นการศึกษาที่ใช้แนวทางวิทยาศาสตร์ได้ เลือกได้ ควบคุมได้ สัมผัสในภาวะที่เป็นรูปธรรม จิตเป็นพลังงานที่เป็นมีตัวตน มีน้ำหนัก ต้องการอยู่ และอยู่ในรูปกลุ่มก้อนพลังงานที่ทุกคนสามารถเห็นสัมผัสได้ ทดลองและพิสูจน์ได้ครับ แต่อย่าบอกว่าพุทธศาสนาเป็นแนวทางวิทยาศาสตร์ยังไม่ถือเป็นมาตรฐานที่จะวัดเป็นแนวทางวิทยาศาสตร์ได้ครับ ถ้าต้องการความรู้จริง ๆๆ ยินดีเปิดกว้างในองค์ความรู้ทั้งหมดด้วยความเต็มใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องถามให้กระจ่างเสียก่อน ก่อนที่จะตอบคำถามใดๆๆ เพื่อป้องกันการผิดพลาดและความคลาดเคลื่อนจากความถูกต้องและความเป็นจริง ขอบคุณ สวัสดีครับ..
ทุกปัญหาถูกปิดลงได้ด้วยการลากเส้นเมอริเดียน การลากเส้นเมอริเดียนเป็นการออกวาระจิตและจิตวิญญาณเป็นการสร้างผู้รู้ภายใน โดยการเคลื่อนไหวทางกาย การเคลื่อนไหวทางจิตโดยความคิด การเคลื่อนไหวทางจิตวิญญาณโดยการรับรู้พลังและใช้การรับรู้ในการสร้างพลังจนกระทั่งพัฒนาไปสู่ความไร้ขีดจำกัด ปัญหาทางโลกปัญหาทางธรรมรวมถึงปัญหาสุขภาพกาย จิต จิตวิญญาณที่ไม่สามารถแก้ไขได้แล้วโดยปกติวิสัย ผู้รู้ภายในจะเป็นตัวผลักดันและส่งเสริมการพัฒนา ด้วยการปรับเปลี่ยนแก้ไขสิ่งต่างๆไปสู่ภาวะธรรมชาติที่เป็นปกติด้วยการลงสู่สมดุลในธรรมชาติทั้งหมด ปัญหาสุขภาพทางกายที่เป็นเรื้อรังแบบรักษาไม่หายอาจเยียวยาบำบัดได้ด้วย การลากเส้นเมอริเดียนและการเต้นจากวาระจิตและจิตวิญญาณที่เป็นรูปแบบพิธีกรรม เป็นการปลดปล่อยและปลดล๊อคพลังงานที่สะสมมานานแบบหาทางออกมิได้ เมื่อปฏิบัติแล้ว ปาฏิหารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมมีจริง..และผู้มีวาสนาเท่านั้นที่จะเข้าใจ เข้าได้ เข้าถึงองค์ความรู้อันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ มารที่เกิดจากความคิดเป็นอัตตาตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่คอยดึงรั้งและขัดขวางความสำเร็จทั้งหมดทั้งมวล ไม่ให้พบวาสนาที่แท้จริงของธรรมชาติทั้งหมด และจะต้องมีเวรกรรมต่อไปแบบมิจบสิ้น จะเจริญกรรมหรือเจริญธรรมก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาที่สะสมมาตลอดทั้งภพทั้งชาติ ขอบุญที่สะสมมานี้ขอให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายจงเจริญในธรรมอันเป็นเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อมของความสำเร็จโดยพร้อมเพรียงกันด้วยเทอญ สาธุ..เจริญธรรม ปท.
สรรพสิ่งทั้งปวงในโลกนี้มีที่มาที่ไป มองสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องเดียวกันอาจต่างกัน และถูกแยกแยะในการเห็นที่ต่างกัน ตามภาวะการรู้และไม่รู้ที่ต่างกัน แต่ผลของมันเหมือนกัน การให้เหตุผลที่ต่างกันตามพื้นของความเข้าใจ ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับภูมิทัศน์และภูมิธรรมตามภาวะการเรียนรู้และสัมผัสได้ ปาฏิหารย์และความศักดิ์สิทธิ์นั้นมีอยู่จริงในโลกของความศรัทธา และสิ่งเหล่านี้จะดูธรรมดาเมื่ออยู่ในโลกเหตุผลที่สัมผัสได้ในรายละเอียดในทุกขั้นตอน เห็นกระบวนการเหล่านี้ตั้งแต่ต้นจนจบ จึงรู้ว่าเป็นเช่นนั้นเอง..สาธุ เจริญธรรม ปท.
ตั้งแต่จิตคิดที่จะเริ่มค้นหาสัจธรรมของความเป็นจริง ความเป็นจริงของธรรมชาติก็มีอยู่กับจิตตลอดเวลา แต่เพียงเพราะความอยากที่ถูกกำหนดโดยความคิด จึงมองไม่เห็นสัจธรรมของความจริงแท้ แต่เมื่อใดที่จิตมีความคิดแบบอ่อนน้อมและคล้อยตามในวิถีแห่งธรรมชาติ จิตนั้นในความคิดนี้ได้ถูกผ่องถ่ายสัจธรรมอันเป็นความรู้จริงแท้ในวิถีแห่งธรรมชาติ กระนั้นจิตที่มีความคิดเกาะติดในวิถีแห่งธรรมชาติยังผลการบันทึกความจริงเพื่อการปลดปล่อยความคิดให้อิสระ เมื่อใดที่จิตที่มีความคิดรับรู้ เฝ้าดู ติดตาม สิ่งที่เกิดขึ้นจากวิถีของสายธารแห่งธรรมชาติ เมื่อนั้นจิตย่อมค้นพบครูและผู้รู้ที่แท้จริง..
ผู้รู้ที่แท้จริงอยู่ภายในของแต่ละบุคคลแล้ว เพียงแต่ทำจิตให้ว่างเปล่าด้วยความรู้สึกที่คล้อยตามวิถีแห่งธรรมชาติ สายธารแห่งความรู้ทั้งหมดก็จะสั่นสะเทือน ขยาย สลาย และดับไปแบบมิจบสิ้น เห็นจนกระทั่งจิตเป็นอิสระปราศจากการยึดติดอย่างสิ้นเชิง เมื่อนั้นดวงตาเห็นธรรมก็จะเกิดสติปัญญาของจักรวาลได้โดยฉับพลัน เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม ทุกคนก็จะสามารถเข้าใจ เข้าได้ เข้าถึงความสำเร็จของความหลุดพ้นและดับทุกข์ได้เอง ถือว่าอันเป็นที่สุดของจิตแล้ว...
ในโลกที่มี ความวกวน
ในโลกที่ทุกคนต้องดิ้นรน
ที่สับสน ร้อนรนจนใจ นั้นแสนเหนื่อย
ในโลกที่ความทุกข์ท้อใจ
ได้เดินผ่านเข้ามาเรื่อยๆ
จนบางครั้งไม่รู้จะข้ามไปเช่นไร
แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ
ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
และฉันรู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้
ในอุปสรรค ที่มากมาย
ในความหวาดหวั่น ที่วุ่นวาย
และอนาคต ในปัจจุบัน และอดีต
ในความเป็นจริงที่ต้องเจอ
แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ
ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
แต่ฉันรู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้
แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด แน่ใจ
ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะไม่เหลือใครๆ
แต่ฉันก็รู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้
ฉันก็รู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่กับฉัน
"ถ้าชอบก็เป็นโพธิจิต ถ้าเข้าใจก็เป็นโพธิธรรม ถ้าทำประจำก็เข้าถึง ถ้าเหตุปัจจัยถึงพร้อมก็บรรลุธรรม" การเจริญธรรมจิตภาวนาด้วยทัศนญาณของโพธิญาณ ด้วยการมองภาพแบบตันตระวิธีและประสานด้วยหลักการเคลื่อนไหวแห่งโพธิจิต อันเป็นเหตุนำพาการสร้างเหตุปัจจัยถึงพร้อมของการบรรลุธรรมด้วยคุณธรรมอันวิเศษ
ถ้าชอบก็เกาะติดได้สำเร็จ ถ้าเข้าใจสัญญาก็ใหญ่ ถ้าทำประจำก็ตอกย้ำ ถ้ามีเหตุปัจจัยถึงพร้อมก็เป็นจักรวาล ถ้าบรรลุธรรมก็พ้นในทุกสัญญา..
เอซีสัญญาพลังอันศักดิ์สิทธิ์ในมณฑลจักรวาล สร้างเสริมอำนาจพลังจิตบารมีธรรมนำพาสู่เหตุปัจจัยถึงพร้อมการบรรลุธรรมด้วยคุณธรรมอันวิเศษ เพียงแต่เจริญภาวนาด้วยตันตระวิธี ด้วยการตามรู้ตามดูตามด้วยวาระจิตที่ปราศจากความคิดที่เป็นทวิภาวะและดำเนินด้วยความรู้สึกที่เป็นเอกภาพในวิถีทางของธรรมชาติอย่างแท้จริง เป็นจิตภาวนาของผู้เจริญในธรรมขั้นสูงสุดที่ถึงพร้อมด้วยพุทธบารมีญาณ อันมีความเข้าใจและเข้าถึงได้ทุกสัญญาแบบเป็นได้เองโดยอัตโนมัติ ดำเนินสู่ภวังคจิตที่เป็นจักรวาลและเป็นหนึ่งเดียวในที่สุด
มองที่ตนเอง เห็นที่ตนเอง เรียนรู้ที่ตนเอง เข้าใจตนเอง พ้นจากการยึดตนเอง เป็นการแก้ไขตนเองก่อนด้วยการ "รู้จักยอมแพ้ ไม่เอากิเลสไปชนะใคร" "ให้หันมามองตนเองและแก้ไขที่ตนเองก่อน" เราต้องอดทน รู้จักยอมแพ้ ไม่เอากิเลสไปชนะใคร ให้เห็นใจกัน ให้ความอบอุ่นกัน พร้อมที่จะให้อภัย ใจเราก็จะพัฒนา ใจเราก็จะขยายกว้างไกลออกไปเป็นจักรวาล ใจเราก็จะเบิกบาน ใจเราก็จะสมบูรณ์พูนสุขอันเป็นเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อมแห่งความสำเร็จมรรคผล เมื่อใดที่ท่านมีปัญหา "ให้หันมามองตนเองและแก้ไขตนเองก่อน และจงอย่าเอาชนะใครด้วยกิเลส เพราะสิ่งที่ตามมานั้นคือทุกข์"
Ton Tham=Scientific Explanation เป็นองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับสมาธิจิตแนววิทยาศาสตร์ ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้และสัมผัสพลังงานของจิตได้ทุกรูปแบบ เป็นปรากฏการณ์ทางด้านการศึกษาของจิตที่สามารถรับรู้และรู้สึกพลังงานของจิตที่เป็นรูปธรรม อันเป็นทางเลือกของการฝึกจิตของคนยุคใหม่ ที่พร้อมจะเรียนรู้และเปิดโลกทัศน์แนวใหม่ ในระดับปรมัติถ์ที่เหนือกาลเวลา ด้วยการฝึกสมาธิจิตในมิติแ่ห่งการเคลื่อนไหว กาย จิต และจิตวิญญาน ให้สอดคล้องกับพลังในวิถีแห่งธรรมชาติ
Scientific Explanation คือ การตอบคำถามที่ให้อธิบายตามแนวทางวิทยาศาสตร์ โดยการยึดหลัก 5 Science กับ 1 แขนงวิชาการ อันประกอบไปด้วย ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ปรจิตวิทยา จิตวิทยา และองค์ความรู้ทางจิตวิญญาณ โดยอิงหลักธรรมชาติของการเคลื่อนไหว กาย จิต จิตวิญญาณ และการรับรู้และรู้สึก ที่เป็นเส้นสายสนามพลัง ที่วิ่งและโคจรทั้งภายในและภายนอกของร่างกาย ที่ทุกคนสามารถรับรู้และรู้สึกได้ด้วยการปฏิบัติ อุตส่าห์เขียน Explained Science ยังตอบภูมิธรรมมาเสียนี่ สงสัยจะหลุดพ้นตามคำอวดอ้างหรือว่าหลุดโลกจึงไม่ได้ดูว่าเขาให้ตอบแนวไหนอุตส่าห์วงเล็บ Explained Science คนรู้ หรือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เขาไม่อวดอ้างธรรมมะกันหรอกครับ ผู้ปฏิบัติกันทุกคน เขาเป็นนักรบทางจิตที่จะเอาชนะตนเองไม่ได้เอาชนะใคร เขาเป็นนักรบทางธรรม และไม่ใช่นักเลงอันธพาลที่อวดอ้างอัตตาทางธรรมให้ตัณหาพอกพูนเพิ่มกิเลสให้หนา ไม่ใช่หนทางหลุดพ้นหรอกครับ เสียเวลาทั้งชีวิตไปทำไม มาชนะใจตนเองดีกว่านั่นคือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ ที่นักรบธรรมพึงมีพึงปฏิบัติให้สมเกียรติศิษย์ที่มีอาจารย์สั่งสอนมาดี จึงจะน่ายกย่องมากกว่า ที่จะเอาชนะคนอื่นด้วยสัจจธรรมที่จำมาอวดอ้างแล้วยังเข้าไม่ถึง มัวพอกพูนให้หนาอยู่ทำไม ไม่เกิดประโยชน์ทางธรรมให้กับตนเองหรอก เห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ กลับตัวตอนนี้ยังไม่สายหรอกครับ ถ้าคิดได้ก็ถือว่าเป็นบุญวาสนาอันสูงสุดในชีวิตท่านแล้ว
ตันตระ (Tantras) ในความเป็นสากลใช้ความอยากความปรารถนาในทุกรูปแบบเป็นรากฐานของสัญญาพลังธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย อันเป็นวิวัฒนาการการแปรเปลี่ยนของพลังในธรรมชาติทั้งหมด ในความเป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติในทุกสรรพสิ่งและความเป็นจิตก็ตกอยู่ภายใต้วิวัฒนาการของธรรมชาตินี้ด้วย อันมีจุดเริ่มต้นของสัญญาและการดำเนินของสัญญาจนกระทั่งอันเป็นที่สุดของสัญญาดั่งมีคำกล่าวที่ว่า "สรรพสิ่งทั้งปวงเกิดจากความว่าง ดำเนินสู่ความไม่ว่าง สิ้นสุดเมื่อว่าง" ในความหมายสั้น ๆ ก็คือ "เกิดขึ้น ทรงอยู่ และดับไป" ในความเป็นสัญญาพลังของธรรมชาติที่ถูกบันทึกข้อมูลเป็นความจำหมายรู้ ด้วยกลุ่มก้อนพลังที่มีระดับการสั่นสะเทือนของประจุและอนุภาคที่แตกต่างกันในแต่ละเรื่องราวในแต่ละระดับสัญญา ดังนั้น ความทะยานอยากจึงเป็นวิวัฒนาการของสัญญาพลังที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการขับเคลื่อนพลังงานของสัญญาในอัตราเร่ง จึงทำให้สัญญาทั้งหมดแปรเปลี่ยนและขับเคลื่อนและขยายตัวไปสู่ความบริบูรณ์ด้วยความรวดเร็ว ยังผลต่อการพัฒนากาย จิตและจิตวิญญาณในอัตราเร่ง ในความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน ส่งผลต่อการแปรธาตุอันปราศจากเครื่องผูกรัดจิตให้เศร้าหมองอย่างสิ้นเชิง อันเป็นที่สุดของจิตที่ดำเนินไปสู่ในระดับปรมัตถ์ธาตุนั่นเอง อันมีจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดอยู่ที่การยอมรับธรรมชาติในความเป็นตัวตน เห็นตัวตน เข้าใจในตัวตน ถึงพร้อมด้วยความเป็นตัวตน เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม การละวางตัวตนก็จะบังเกิดขึ้นเองที่เรียกว่าพ้นจากความเป็นตัวตนด้วยธรรมชาติของมันเองและมันก็เป็นเช่นนั้นเอง..
รยางค์พลังแห่งจิตวิญญาณ เทวรูปทั้งหลายมีรยางค์พลังอยู่ที่การมีจำนวนพระหัตถ์ พระกรและดวงตา มหายานและวัชรยานทั้งหลาย มีรยางค์พลังแห่งพุทธจิต อยู่ที่แมนดาลามณฑลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่ามหาโพธิสัตว์อาจแตกกิ่งก้านสาขาดั่งต้นไม้พุทธจิตเป็นต้นไม้แห่งมหาโพธิปัญญา นำพาผู้ที่มีเหตุปัจจัยถึงพร้อมเข้าสู่ความสำเร็จมรรคผลด้วยทัศนญาณแห่งโพธิจิต บรรลุโพธิธรรม นำสู่การแปรธาตุในระดับปรมัตถ์ธาตุถือว่าอันเป็นที่สุดแห่งจิตแล้ว
สุดท้ายทั้งหมดของการฝึกจิตทั้งหมดอยู่ที่น้ำครับ คือเป็นน้ำที่เป็นไอโซโทปสี่ครับ ถือว่าเป็นอันที่สุดของน้ำและจิต เสร็จแล้ว จบแล้ว สำเร็จแล้ว สุดของที่สุดไม่มีอีกแล้ว นั่นคือหลุดพ้น
การสวดมนต์เป็นเหตุปัจจัยส่งเสริมการทำสมาธิได้เป็นอย่างดี รวมถึงการพัฒนาจิตวิญญาณการหยั่งรู้ นำพาไปสู่ความสำเร็จมรรคผล อันเป็นที่สุดของจิตในระดับปรมัตถ์ การสวดมนต์เป็นเหตุปัจจัยนำพาไปสู่ความสำเร็จทั้งทางโลก ทางธรรม และการพัฒนาจิตวิญญาณได้อย่างไรตามแนวทางวิทยาศาสตร์
จักระ จักรวาล จิตวิญญาณ พระเจ้า และความเป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน สัมผัสความเป็นหนึ่งเดียวกันได้ด้วยความเป็น Buddhto Shinto
จากใจคุราจารย์และศิษย์พี่ทุกๆท่าน สมาธิพลัง มิติแห่งการเคลื่อนไหวฯ สู่ใจของพวกเธอทั้งหลาย ที่ผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติการณ์สมาธิพลัง มิติแห่งการเคลื่อนไหวฯ เป็นความปิติสุขแห่งความรักที่มีต่อพวกเธอทั้งหลาย จากใจอย่างแท้จริง รับรู้และรู้สึกด้วยใจของการให้องค์ความรู้ที่ไม่มีขีดจำกัด ส่งผ่านหัวใจของพวกเธอกันทุกๆคน ขอต้อนรับพวกเธอทุกคนด้วยความเต็มใจ "ไม่ใช่พี่ก็เหมือนพี่ ไม่ใช่น้องก็เหมือนน้อง ยิ่งกว่าพี่ ยิ่งกว่าน้อง" ขอให้ทุกท่านโชคดีมีความสุขกันทุกๆคน สวัสดีครับ...
ขอบคุณ คุณพี่หน่อง คุณพี่ติ๊ก และทุกๆท่านที่มีส่วนร่วมในความรู้สึกที่เป็นสุขที่ส่งผ่านFbมายังเพจ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญและมีความหมายต่อผมมากๆๆ มันทำให้ผมและศิษย์พี่ๆๆทั้งหลายมีความปิติสุขในสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้แสดงออกถึงความรู้สึกที่ออกมาจากใจ ที่ส่งผ่านมาถึงผมและศิษย์พี่ๆทั้งหลาย ถึงแม้กาลเวลาที่เราจะรู้จักกันมันจะน้อยนิด แต่ความสัมพันธ์ที่เกิดความรู้สึกทางด้านจิตใจหาน้อยนิดตามไม่ มันเป็นความรู้สึกผูกพันธ์ที่มาจากใจอันยิ่งใหญ่ที่ประเมินค่ามิได้ ผมและศิษย์พี่ทั้งหลายต้องขอขอบคุณพวกท่านทั้งหลายมา ณ ที่นี้ด้วยด้วยใจอันแท้จริง ถ้ามีสิ่งใดให้พวกเราทั้งหลายได้ช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเรื่ององค์ความรู้ การรักษาสุขภาพ กาย จิต และพัฒนาจิตวิญญาณ พวกเราทั้งหลายขอน้อมรับใช้ด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง และขอเชิญท่านทั้งหลายมาพัฒนาจิต สมาธิพลัง และจิตวิญญาณแบบต่อยอดในสิ่งที่ท่านเป็นอยู่ โดยร่วมเดินและพัฒนาไปพร้อมเพรียงกันโดยมีจิตใจเชื่อมต่อเป็นอนุกรมเดียวกัน สร้างสรรค์พัฒนาความสำเร็จในอัตราเร่ง ผมและศิษย์พี่ทั้งหลาย ขอให้ทุกท่านจงโชคดีมีความสุขกันทุกท่านเทอญ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ...
เส้นเลือด สนามพลัง จิตวิญญาณ จักรวาล วัฏจักรวงจรพลังชีวิต ความสามารถพิเศษที่ไร้ขีดจำกัด ธรรมะ ธรรมชาติ และความสำเร็จมรรคผล จุดเริ่มต้นของสิ่งเหล่านี้เหล่านี้อยู่ที่ใด
Mandalas กสิณ แสง สี เสียง และเส้นสาย เปิดโลกปรมัตถ์ ด้วยจิตสัมผัส โดยหลักการ Concentrate รับรู้และรู้สึกถึงพลังงานได้ด้วยมรรควิธีแห่งธรรมชาติ เคลื่อนไหวและนิ่งอย่างมีสมาธิจิต ตื่นรู้ในทุกขณะจิต ที่ทุกคนทำได้ตามแนวทาง Science Explanation http://youtu.be/qgS-Rd1xV0g
เปิดจิตเปิดใจ พัฒนาศักยภาพพิเศษ ปรับเปลี่ยนธาตุ ยกระดับ กาย จิต จิตวิญญาณ ด้วย แสง สี เสียง ให้เป็นความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม ด้วยการบอกรักจากใจด้วยหัวใจ โดยนึกถึงคนที่เรารักที่แท้จริง ให้เกิดการขยายความรู้สึก จากสัญญาแห่งความรักให้เป็นพลังงานที่ขยายเป็นจักรวาล ดำเนินสู่ความรู้แจ้งและการตื่นรู้อยู่ในทุกขณะจิต
ความรักเป็นสัญญาจิตวิญญาณอัตโนมัติ สามารถทำให้เกิดปาฏิหารย์ได้ ถ้ามีความรักที่แท้จริงไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ยามที่เรานึกถึงคนรักหรือบอกรัก เราจะรู้สึกถึงความเร็วของพลังงานที่มีการขยายอย่างรวดเร็ว จิตใจจะเบิกบาน มีความสุข สารแห่งความสุขจะเกิดขึ้น คนที่ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยบ่อย ๆ ถ้าบอกรักบ่อย ๆ จะทำให้ร่างกายฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงได้ คนที่เจ็บป่วยปางตาย เพียงแค่บอกรักคนที่รักที่มาจากใจ ก็สามารถหายได้ในพริบตา ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ ถ้าไม่ประสบกับตนเอง ก็ยากจะเชื่อ และเมื่อบอกรักไปแล้วพลังงานความเร็ววงรอบสูงมาก การทำสมาธิระดับฌาน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ความรักทำได้ทุกอย่างเพียงแต่มีใจ ใจมี จักรวาลย่อมเกิดในใจของทุกผู้ทุกนาม ความรักเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเปิดจิต เปิดใจ ได้แล้วสามารถเชื่อมต่อกับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลได้อย่างแน่นอน ค้นหาคำตอบจากการเปิดใจ เปิดจิต เพื่อการพัฒนาศักยภาพพิเศษ ในคอร์สพัฒนาจิต สร้างการรับรู้ เปิดจักระ และการเปิดจิต เปิดใจด้วยพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ดำเนินสู่ธรรมจักร และการบำบัดรักษาโรคไม่ทราบสาเหตุ
กระตุ้นเซลล์ประสาท เปิดใจด้วยคลื่นสมอง เรียงร้อยเส้นสายจักรวาล พลังปราณหมุนเวียนทั่วร่าง พัฒนาจิตวิญญาณ กายและจิตถูกเยียวยา ฌานสมาธิจิตแก่กล้า นำพากระแสพลัง เชื่อมต่อรวมสาย ให้กายและจิตเป็นจักรวาล ด้วยการ Concentrete จากเสียงไวโอลิน http://youtu.be/aaKwvt7G29Y
http://youtu.be/BwEo7ZPKDvQ จอมยุทธ์แห่งสมาธิจิต รวมกายและจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ กระบี่นั้นอยู่ที่ใจ ถ้าใจนั้นมี จักรวาลนั้นย่อมมี ด้วยกระบวนการเปิดจิต ใจมี กระบี่นั้นเชื่อมต่อ ผสานกายให้เป็นหนึ่ง ก่อเกิดอำนาจพลัง ฌาน สมาธิ