.....จากการได้เรียนรู้ในเรื่องรูปทรงกรวย จะเห็นได้ว่า ก้นกรวย จะอยู่ในรูปของสนามแม่เหล็กและปากกรวยอยู่ในรูปของประจุไฟฟ้า ที่ดูดซับประจุไฟฟ้าได้อย่างมหาศาล แม้กระทั่งร่างกายของเรา จุดที่เป็นก้นกรวยอยู่ที่สมองส่วนซีรีเบลลัม ที่เป็นศูนย์รวมของเส้นสาย ส่วนปากกรวยที่เกิดขึ้นก็คือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้าและพื้นฐาน หรือจักระ 1 เมื่อมีความเข้มข้นของสนามแม่เหล็ก จะส่งผลให้ปากกรวย เกิดการขยายตัวกว้างขึ้นดูดซับพลังมากขึ้น ฝ่ามือ ฝ่าเท้าจะหมุนปั่นด้วยความเร็ว เมื่อดูดซับมากขึ้นจะยังผลให้ประจุไฟฟ้านำพาน้ำขั้นสู่สมองส่วนกลาง ทำให้น้ำในสมองส่วนกลางมีอัตราความเร็ว เกิดวงแหวนของพลังงานที่ศีรษะด้วยอัตราความเร็ว และขยายชั้นพลังงานออกเป็นแนวกว้างขึ้น ยิ่งชั้นพลังงานกว้างไกลมากเท่าไหร่ จุดศูนย์กลางยิ่งเกิดความเป็นสนามแม่เหล็กมากขึ้น
.....สิ่งที่จะทำได้ คือทำอย่างไรก็ได้ให้เส้นสายสนามแม่เหล็ก ออกไปไกลมากที่สุดเพื่อดูดซับพลังงานเข้ามาให้มากที่สุด ทำให้วงขามีอัตราความเร็ว เพิ่มขึ้น โดยการใช้ ลูกประคำหัวกะโหลกไว้ที่เข่า หรือพาดไว้ที่ขาทั้งสอง ข้าง หรือแขนทั้งสองข้าง โดยให้ชนเส้นพลังงานที่หมุนปั่นในวงแขนและวงขา จะเกิดการดูดซับพลังงานที่วงแขนและวงขามากขึ้น ทำให้ซีรีเบลลัมถูกดึงออกไปไกลเพื่อดูดซับประจุไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และส่งผลให้พลังงานและน้ำขึ้นแนวกระดูกสันหลัง ไปที่สมองส่วนกลาง ที่มีน้ำในอัตราความเร็วที่สูง จากปริมาณประจุไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น น้ำจึงเปลี่ยนสถานะเป็นพลาสมา หรือซุปเปอร์พลาสมา การขยายวงแหวนหรือโควาเลนต์ของพลังน้ำในสมอง จึงออกไปกว้างไกลและต่อเนื่อง เพียงแต่การฝึกให้เกิดการขยายเพี่มขึ้นสู่ความเป็นสนามแม่เหล็กที่ยิ่งยวด ขณะนี้ คือการใช้การพยักหน้าเล็กๆ เกร็งท้องกัดฟัน และปล่อยปากเป็นระยะ พลังงานก็จะขึ้นมาจากแนวกระดูกสันหลังอย่างสืบเนื่อง แต่ต้องใช้นิ้วมือล๊อคชั้นพลังงานที่เกิดขึ้นให้ถูกกับร่องพลังงานวงแหวนในสมอง ถึงจะเกิดอัตราความเร็วที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาพลังชีวิต จะสมบูรณ์เมื่อมีสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย โดยเฉพาะคน สัตว์ ต้นไม้ ใบไม้ นั้น ประกอบด้วยน้ำทั้งสิ้น รวมทั้งวัตถุต่างๆ ที่พื้นผิวจะมีไฟฟ้าอยู่ เป็นตัวที่ทำให้น้ำเกาะ คนที่อยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก สามารถใช้สิ่งเหล่านี้ในการพัฒนาพลังชีวิต เพราะเมื่ออยู่ใกล้กับสิ่งเหล่านี้ จะมีการปลดปล่อยพลังงานของน้ำออกมากว้างขึ้น ส่งเสริมสนามแม่เหล็กของผู้ฝึก ได้ในอัตราเร่ง ทำให้น้ำในสมองเปลี่ยนสถานะเป็นพลาสมาหรือซุปเปอร์พลาสมา ได้อย่างรวดเร็ว เกิดความเป็นสนามแม่เหล็กอย่างยิ่งยวด อนุภาคใจกลางจะเริ่มมีขนาดเล็กลง แต่วงแหวนพลังงานของน้ำ จะขยายกว้างขึ้น ซึ่งอยู่ในรูปของสนามแม่เหล็ก
....การใช้ดอกบัว ก็เป็นส่วนที่สำคัญ ยิ่งใช้กับการพยักหน้าถี่ๆ เล็กน้อย และใช้ในส่วนดอกออกไป เชื่อมต่อกับทุกสิ่ง รวมถึง คน ทำให้เกิดการพัฒนาน้ำในสมองได้ โดยใช้ดอกบัว ไปที่จักระ1 และใช้อีกมือล๊อคนิ้วให้ชนร่องพลังงานน้ำในสมอง จะเกิดการขับเคลื่อนด้วยอัตราความเร็ว เกิดการทะลุทะลวง ขึ้นแนวกระดูกสันหลัง มือเคลื่อนดอกบัวก็จะลอยขึ้นมา ไปที่รูจมูก ทำให้พลังงานลอยขึ้นมาพร้อมกับประจุไฟฟ้า หรือพลังชีวิต และขึ้นสู่บีเทนหรือสมองส่วนหน้า คลิกดอกบัว ให้ตรงกับโควาเลนต์ของน้ำที่เกิดขึ้น ขณะทำ ก็พยักหน้าถี่ๆ เป็นระยะ เพื่อให้เกิดการดูดซับขึ้นสู่สมองส่วนกลางมากขึ้น ชั้นของพลังงานของน้ำก็ขยายกว้างขึ้น การเชื่อมต่อ กับทุกสรรพสิ่งจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ระยะทางหายไป เมื่อเกิดการเปลี่ยนสถานะของน้ำนี้ คลื่นความถี่เปลี่ยนไป สภาวะอารมณ์ก็เปลี่ยนไปเพราะการสั่นสะเทือนของพลังงานเมื่อมีสิ่งที่มากระทบ จะถูกจัดระบบเข้าสู่วงรอบของชั้นพลังงาน จากการเข้ามาที่สั่นสะเทือนสูงแต่เมื่อพลังงานลอยตัวขึ้น จะไม่สามารถสู่แกนกลางที่มีความถี่สูง ได้จะเข้าไปอยู่ในวงรอบหรือวงแหวนพลังงานตามความถี่ของพลังงานที่เกิดการสั่นสะเทือน วิวัฒนาการของความเป็นสนามแม่เหล็กที่ยิ่งยวด จึงขึ้นอยู่กับสถานะของน้ำ ในสมองที่เปลี่ยนไป
เนื่องจากเรายังอยู่ในห้วงวิวัฒนาการของการใช้ดอกบัวในการเชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และวัตถุธาตุต่างๆ ในการพัฒนาตัวเราผู้ฝึกพลัง..จึงขอนำเสนอเรื่อง "วิวัฒนาการดอกไม้ที่ใช้ในการฝึกพลัง" ให้สมาชิกได้เข้าใจถึงที่มาที่ไปในการเลือกใช้ดอกไม้ใดใดในการฝึกพลังกันก่อนนะคะ...
ดอกไม้ ถือเป็น อุปกรณ์ (Material) ที่ใช้ในการพัฒนาจิต..ซึ่งในการฝึกสมาธิพลัง (Movement meditation) ในปัจจุบัน จะขอเปรียบเทียบดอกไม้ที่ใช้ในการส่งเสริมการพัฒนาจิต 2 ชนิด ที่เกิดจากการเปลี่ยนย่านความถี่ในตัวผู้ฝึกจากที่มีหลังคาของคลื่น (roof) กว้างมาสู่ย่านความถี่ที่มีหลังคาของคลื่นแคบลง (ย่านความถี่สูงขึ้น) กระแสละเอียดเนียนขึ้น..ร่างกายก็จะได้รับผลกระทบจากกระแสไฟฟ้าย่านความถี่ต่ำ (การสั่นสะเทือนรุนแรง)ได้น้อยลง
ดอกไม้ที่เลือกใช้ ควรมีก้านยาว..ลักษณะบ่งบอกถึง กรวยปากแตรที่มีแรงส่งของพลังงานจากปลายของก้านดอกไปจนถึงตัวดอกที่มีกลีบเป็นไดนามิค มีความเหมาะสมในการพัฒนาคอร์ดของผู้ฝึกให้สามารถรับประจุจากภายนอกได้มากขึ้น ยาวไกลขึ้นตามความยาวของก้านที่ยิ่งยาวยิ่งดี..อาจเปรียบเทียบได้กับรูปเคารพขององค์พระนารายณ์ จะสังเกตเห็นว่ามีพวงมาลัยดอกดาวเรืองคล้องพระศอ (คอ) ท่านยาวมากจนถึงพื้น ผู้ที่เรียนพลังจะต้องทราบว่าความยาวเช่นนั้นบ่งบอกถึงคอร์ด หรือ สายสะดือที่ยาวมากๆ สำหรับใช้ในการเชื่อมต่อทุกสรรพสิ่งเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาจิตวิญญาณนั่นเอง...
เดิมทีผู้ฝึกจะมีกระแสไฟฟ้าแบบหยาบๆ หลังคาของคลื่น (roof) กว้างมาก ไปที่ไหนก็จะรับโรค รับอารมณ์ได้ง่าย การใช้อุปกรณ์ในการเชื่อมต่อกับผู้ฝึกก็มักจะเป็นอาวุธหนักๆ ที่เป็นโลหะตัน เช่น ตรีศูลของพระศิวะ มาปัจจุบันนี้ ความยิ่งยวดของสนามพลังที่ละเอียดเนียนและต้องการพลังชีวิตของผู้ฝึก จึงเหมาะสมกับการใช้ดอกไม้ หรือพลองน้ำหนักเบาและกลวงในการเชื่อมต่อแทนอาวุธที่หนักและตันแบบสมัยก่อน..
ประมาณหนึ่งปีถึงสองปีที่แล้ว..ย่านความถี่ของผู้ฝึกมีหลังคาของคลื่น (roof) กว้างกว่านี้ก็จะเหมาะสมกับการใช้ดอกดาหลา แต่มาในปัจจุบันนี้..ย่านความถี่ของผู้ฝึกเปลี่ยนไป หลังคา (roof) เล็กลงละเอียดเนียนขึ้น ดอกบัวกลับมีความเหมาะสมมากกว่า เพราะมีหลังคา (roof )เล็กกว่าดอกดาหลา...
เนื่องจาก "ดอกบัว" ปลดปล่อยพลังชีวิตได้กว้างไกลเหมาะสมกับผู้ที่มีวิวัฒนาการสนามแม่เหล็กที่ยิ่งยวด จึงถูกใช้เป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อกับผู้ที่มีวัฒนาการมาถึงจุดนี้
"ก้านบัว" ถือว่าเป็นความมหัศจรรย์แห่งจิตวิญญาณ มีลักษณะที่กล่าวได้ว่า ตรงเส้น ตรงสาย ตรงลูปกับวิวัฒนาการปัจจุบันของผู้ฝึก...
"วิวัฒนาการการใช้ดอกไม้" ในการเชื่อมต่อยังมีการใช้ดอกบัวในการพัฒนาจิตต่อมาอย่างต่อเนื่อง แต่อาจมีการเปลี่ยนที่รูปแบบวิธีการใช้ให้เหมาะสมกับคลื่นความถี่ของแต่ละบุคคลที่ได้รับเลือกมาเป็นตัวแทนในการพัฒนาจิตในแต่ละสัปดาห์..
หากในภายภาคหน้ามีการใช้ดอกไม้อื่นใดมาแทนดอกบัว..ก็จะมาเล่าถึงเหตุผลในวิวัฒนาการนั้นให้ฟังอีกนะคะ...