การคลายปม สามารถพัฒนาจิตได้อย่างไร
มนุษย์ทุกคนมีปมเป็นของตนเอง ปมคือสัญญาที่เรายึดติด ทำให้เกิดความเศร้าหมอง แต่ถ้าอธิบายตามแนวทางวิทยาศาสตร์ คือสัญญาที่เราเกาะติดอยู่ในคลื่นความถี่ความเร็วนั้นตลอด ไม่เกิดการไหลของพลังงาน เกิดการสะดุด ทำให้พลังงานช้าลง ไม่เกิดการขับเคลื่อนที่ดี จะติดขัดอยู่บริเวณไธมัส อัดแน่นอยู่เนืองนิตย์ แล้วเราจะหาวิธีคลายปมของเราอย่างไร อย่างแรกคือ..การยอมรับตนเองเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องยอมรับกับสัญญาที่เกิดขึ้นนั้นได้ และดูมันเมื่อเกิดสภาวะนั้นๆ หรือมีความคิดนั้นๆ อีก แต่เราจะมีอำนาจพลังในการที่จะดูปม เราต้องพัฒนาตั้งแต่สมองส่วนหลังให้เกิดการรับรู้ เพื่อให้เราได้รู้ถึงกระแสที่เกิดขึ้นขณะเกิดปม จะทำให้เราเฝ้าสังเกตการสั่นสะเทือน และเราพัฒนาสมองส่วนหน้าให้เป็นสนามแม่เหล็ก การเป็นสนามแม่เหล็กจะเกิดการขับเคลื่อนของพลังงานให้เรารับรู้รู้สึกได้ เมื่อเกิดปมขึ้นมา ใช้สมองส่วนหน้าที่มีกำลังในการดู เมื่อเรามีกำลังที่จะดูการสั่นสะเทือนนั้นแล้ว จะเกิดความเร็ววงรอบของพลังงาน เกิดการขยายของพลังงาน เมื่อความเร็วถึง ปมนั้นหรือสิ่งที่เรายึดติดนั้นก็จะเกิดความเป็นอิสระ ไม่ผูกรัดจิตให้เศร้าหมอง และเพื่อให้เกิดความเร็ววงรอบมากขึ้น เราควรใช้เพลงที่เป็นปมของเราขยายสัญญานั้นซึ่งก็มาจากอารมณ์ความรู้สึก ที่เกิดขึ้นจากสมองส่วนกลาง ทำให้เกิดสารเคมีในสมองหลั่งสารเอนโดฟิน โดรพามีน และสารบรมสุข (เซโรโทนิน) ทำให้สามารถเข้าสู่สมาธิได้อย่างดีเยี่ยม
การขยายปม หรือคลายปมจึงเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาจิตได้เพราะฉะนี้เอง เทคนิคการคลายปมที่ได้ผลคือ การฟังเพลง อินในความรู้สึกกับเพลงนั้นๆ หลับตา..และหลับตาซ้ำอีกครั้ง และเฝ้าดูปฏิกิรยาของคลื่นพลังงานที่เกิดขึ้น โดยต้องมีกำลังในการดู กล้าเผชิญกับความรู้สึก การสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น จะเกิดความเร็ววงรอบสูงมาก ใจก็จะขยาย สิ่งที่ติดขัดบริเวณไธมัสจะรู้สึกโล่ง ถือว่าเราได้ปลดปล่อยพลังงานที่ติดค้างในสัญญาที่เป็นปมได้ ถ้าทำบ่อยๆ จิตใจนี้จะเข้มแข็งขึ้น มองอะไรก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะปมก็เป็นมายาแห่งจิต เมื่อจิตปรุงแต่งเมื่อไหร่ เราก็จะทุกข์แสนสาหัสเมื่อนั้น
ความสำเร็จทางจิต อยู่ที่การลด ละเลิก จากอุปทาน และการปรุงแต่งจิตคือการยึดมั่นถือมันเป็นตัวเป็นตน และมายาแห่งจิตที่เราปรุงแต่ง..แต่ถ้าเราดูในรูปพลังงานแล้ว ทุกอย่างจะไม่มีการปรุงแต่งจะเห็นตามความเป็นจริง และทุกสิ่ง มันเกิดขึ้น ทรงอยู่ และดับไป ดับไป ดับไป เป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติของจิต..