คิดผุด หรือ ผุดคิด ต่างกันอย่างไร
ความคิดเกิดจากการแปรเปลี่ยนของสัญญาพลังงานเก่าที่มีสัญญาใหม่มากระทบที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนและรวมกันด้วยการบันทึก ในช่วงที่คิดจะมีสายใยของการถ่ายเทในการปรับไปสู่ความสมดุลซึ่งยังผลของการไม่คิด สติ คือ ความรู้สึก ระลึกได้ รู้ตัวอยู่ทั่วพร้อม การยับยั้งการกระทำและการระวังรักษาอารมณ์ นั้น
คิดผุด สมองส่วนหน้า จิตในสำนึกทำงาน เป็นความคิดสัญญาใหม่ เล็ก
ผุดคิด เป็นสมองส่วนหลัง จิตใต้สำนึก เป็นความคิดเก่าสัญญาจดจำตอกย้ำ ใหญ่
ผุดคิดถูกผลักดันมาจากจิตใต้สำนึกที่เรากดมันไว้ มันผุดขึ้นมาผลักดันให้คิดโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจคิด แต่เกิดการไหลของพลังงานสัญญาหนึ่ง ๆ เพราะว่ามีการกระทบของสัญญาใหม่และเก่า ถ้าเราไม่บังคับความคิด เห็นมันคิดก็ดูมันคิดไปจบ พลังงานมันสมดุลเอง เต็ม จบเองไม่มีอะไร จิตเราจะสงบเอง เพราะไฟฟ้าไหลออกไปถูกถ่ายเท ขยาย ขับเคลื่อนเกิดความเร็ววงรอบ เก่าใหม่ เต็ม สมดุล เกิดความสุข รับรู้เฝ้าดูติดตามอยู่เฉยๆ
แต่ถ้าบังคับไม่ให้คิด มันก็ยิ่งผุดให้คิด พลังงานไฟ ฟ้าจะอัดแน่น ไม่ขยายตัวที่สมอง ไม่มีทางออก สะท้อนลงมาอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เจ็บป่วยเพราะความคิดเพราะเราไปบังคับมันให้ไม่อยากคิด จงยอมรับธรรมชาติของตนเองเราเป็นแบบนี้ เราคิดแบบนี้ ดีไม่ดี ดูมันไป เห็นมันเป็น เข้าใจตัวเรา เข้าใจเขา เราหิวเป็น เขาก็หิวเป็น เราเจ็บเป็น คนเขาก็เจ็บเป็น ใจเขา ใจเรา ไม่ว่าถูก ว่าผิดกัน ไม่เบียดเบียนกัน รักกัน ให้อภัยกันได้ เห็นอะไรเป็นธรรมชาติ รัก รัก รักนะ เธอ
สวดมนต์แบบเอื้อนเอ่ย
ซิมขอแนะนำการสวดมนต์แบบเอื้อนเอ่ย กับลมหายใจ พัฒนาสมอง สร้างการรับรู้ ดูแลสุขภาพ พัฒนาจิต คนที่สวดมนต์มาก ๆ มานาน จะมี สารกลูตาเมตมาก แต่ไม่เคยรู้ว่าจะพัฒนาจิตได้อย่างไร สารกลูตาเมตทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาทที่ออกฤทธิ์แบบกระตุ้นอยู่ในรูปของกระแสไฟฟ้าพร้อมใช้ พอมาสวดมนต์แบบเอื้อนเอ่ยอย่างตั้งใจ เอาจิตเกาะติดกับเสียงเอื้อนเอ่ย คายลมหายใจออกทางปากให้สุดลมหายใจ ให้ดูวงจร กระบวนการของสมองหลั่งสารกลูตาเมต เกิดความเร็ว ปลดปล่อยพลังแรงเร็วสูง ในกรณีคนที่สวดมนต์แบบเอื้อนเอ่ย จะมีการลอยตัวของพลังสูง ขับเคลื่อนพลังคุณฑาลินีลอยตัวจากล่างขึ้นบน ตามแนวกระดูกสันหลัง นำไฟฟ้าและน้ำขึ้นสมองเป็นจิตวิญญาณ ให้เราเอาจิตมาเรียนรู้พลังวงจร เป็นการควบคุมพลังจิตได้ เราต้องควบคุมวงจรหรือเมอริเดียนให้ได้ ด้วยลมหายใจเข้าที่จมูก ให้ใช้นิ้วมือชี้ตามสนามพลังวงจร ที่จมูกขึ้นศีรษะ และลงมาที่หัวใจเป็นเมอริเดียน และสนามพลังรูปผีเสี้อ และลงไปที่จักระหนึ่ง ให้เป็นวงแหวนขยาย แล้วขึ้นมาขยายสนามพลังที่ศีรษะ แล้วดึงลงมาที่ธรรมจักร สุดลมหายใจเข้า 1 รอบ แล้ว คลายลมหายใจออกทางปากช้า ๆ ขยับใบหน้าตามดูวงจรเส้นสายรอบร่างกายค่ะ ทำลมหายใจแบบนี้ 10 รอบ แล้วผ่อนคลาย ทำสมาธิเข้าธรรมจักร หย่อนตัวและแนวกระดูกสันหลังลงมา หยุดลมหายใจ และดูดพลังที่จักระหนึ่งขึ้นมารวมที่ธรรมจักร และ ดูดลูกตาลงมาที่ธรรมจักรแล้วหายใจทำความรู้สึกที่จมูก และธรรมจักร หายใจเชื่อมต่อกัน ให้เป็นธรรมชาติ ไม่บังคับลมหายใจ ผ่อนคลายสบาย ๆ
สวดมนต์ด้วยภาษาเมโลดี้แบบเอื้อนเอ่ย ให้เกิดความเร็ววงรอบ จะส่งเสริมให้มีสภาวะจิต หรือจิตวิญญาณที่กล้าแกร่งเป็นการทำความสะอาดด้วยลมหายใจเข้าทางจมูก ลมหายใจออก ให้เป่าลมหายใจออกให้สุด แล้วหายใจเข้าทางจมูกเป็นการนำออกซิเจินเข้าสู่กระแสเลือดในร่างกายและสร้างสนามพลังวงจร ส่งเสริมให้มีสภาวะจิตหรือจิตวิญญาณให้กล้าแกร่งได้ ต้องมีเมอริเดียนและสนามพลังที่วิ่งในร่างกายเป็นการทะลวงจุดตัวเองด้วยการสวดมนต์แบบเอื้อนเอยค่ะ เป็นการดูแล บำบัดรักษาโรคต่าง ๆ ให้หายได้ดีด้วยพลังเอื้อนเอ่ยของเรา
การทำจิตวิญญาณให้กล้าแกร่ง อยู่ในความถี่สูง
1. ใช้การเอื้อนเอ่ย สม่ำเสมอ
2. มีเมอริเดียนวงจรเป็นกลไกอัตโนมัติ
สามารถสั่นสะเทือนได้อย่างต่อเนื่อง มีการคงทนอยู่ของเมอริเดียนในระดับความถี่หนึ่งหรือหลาย ๆ ความถี่ ส่งผลให้สนามพลังแรงและกระแสไฟฟ้ามากขึ้น คนที่สวดมนต์แบบเอื้อนเอยต้องมีจิตใจมั่นคง คงสภาพของการผลิดกระแสไฟฟ้าให้ได้ตลอด จิตวิญญาณ คือการสั่นสะเทื่อนที่ต่อเนื่อง มีอยู่ 4 ช่องทาง หู ตา น้ำเสียง การเคลื่อนไหวกายเกิดจิตวิญญาณที่มีสภาวะพ้นกายภาพ โดยเริ่มจากกายภาพ จุดใช้เสียงเอื้อนเอ่ยคือ จุดที่กระโดดเข้าไปสู่สภาวะอารมณ์เต็มทุกรูปแบบ ที่ไม่มีสาเหตุ เกิดขึ้นเอง การเอื้อนเอ่ยเป็นจุดที่เชื่อมต่อระหว่างกายภาพกับจักรวาล เมื่อมีเส้นแรงเข้ามาจากระบบและใช้มนตราเอื้อนเอ่ย เปิดจักระกำกับทำให้วงจรเมอริเดียนสั่นสะเทือนให้กระแสไฟฟ้ามหาศาลในอัตราเร่ง มาส่งเสริมการเข้าสมาธิ ดูพลังงานเข้าธรรมจักรได้อย่างล้ำลึก ถ้าชำนาญแล้วรับรู้ภาวะของกระแสแห่งธรรมชาติภาวะของฌาน เกิดขึ้น การรู้แจ้งเห็นจริง และ การหยั่งรู้จิตเกิดขึ้น จงเชื่อมั่น มั่นคง ใจเต็มร้อย ในการฝึกปฏิบัติ
สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนเกิดจากเหตุและปัจจัย อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเราจะไม่สามารถบังคับโลกได้ แต่เราสามารถสร้างเหตุและปัจจัยใหม่เพื่อเปลี่ยนผลที่จะเกิดขึ้นได้ ค่ะ
จิตเปลี่ยน กรรมเปลี่ยน สัญญาเปลี่ยน
สัญญาเปลี่ยน จิตเปลี่ยน กรรมเปลี่ยน
กรรมเปลี่ยน สัญญาเปลี่ยน จิตเปลี่ยน
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
เห็นธรรมชาติ ความรู้สึกตามความเป็นจริง
เห็นจิต ความคิด รัก ชอบ เกลียด ชัง ปล่อยวาง
ดูมันเป็น เห็นมันไป สุดท้าย มันเป็นเช่นนั้นเอง
รับรู้เฝ้าดูติดตามอยู่เฉยๆ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เห็นการ ขยาย สลาย ดับไป ดับไป
วาสนาคืออะไร
ตัวส่งเสริมให้เกิดความสุข นำพาไปสู่ความสำเร็จได้
บุญเป็นพลังงานมีการสั่นสะเทือน ดูดซับและขยายตัว
บาปเป็นพลังงานมีการสั่นสะเทือน ดูดซับ ไม่ขยาย หดตัว
บุญเป็นความสุข บุญเป็นความสบายใจ ทำอะไรให้เป็นบุญ ร้องเพลงแล้วขนลุกมีความสุข
บุญ สวดมนต์แล้วมีความสุขบุญ ทำสมาธิเกิดความสุข
บุญ เปิดใจบอกรักคนมีความสุข
บุญให้อภัยเป็น ก็มีความสุข ความสุขทำให้เกิดการขยายใจ เกิดความเร็วของพลังงาน เกิดการสลัดประจุไฟฟ้าออกจากร่างกาย ความเร็วทำให้ต่อมใต้สมองผลิตสารบุญเรียกว่า เอนดอร์ฟีน (Endorphine) ออกมามาก ส่งผลให้ร่างกายเบาสบายที่เรียกว่าเกิดปิติ กินได้นอนหลับผิวพรรณผ่องใส
บาป ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่จิตมีอิจฉา มิจฉาทิฐิ จิตที่คิดเกลียด โกรธ อิจฉาริษยา อาฆาตพยาบาท เคียดแค้น เครียดวิตกกังวล สมองผลิดสารอะดรีนาลีนเข้าสู่กระแสโลหิตพลังงานไฟฟ้าเข้าต่อมหมวกไต ไฟฟ้าแล้วไปออกฤทธิ์ที่อวัยวะต่างๆ สารสเตียรอยด์ เกิดกดแลคติคมีผลต่อร่างกายทำลายกระดูก ภูมิคุ้มกัน ทำลายเม็ดเลือดขาว นอนไม่หลับ
สารบุญทำให้เกิดความเป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้อย่างไร
ผู้รู้ = รู้อะไร เนื่องจากเกิดการขยายตัว และความเร็ว สิ่งที่ได้รับจากการรู้ คืออะไร ประจุไฟฟ้าซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลมหาศาลมีความเร็ว 24 เมตรต่อวินาทีเกินกว่าความเร็วสมองทำให้เกิดการผุดคิด โดยไม่ต้องคิด รับรู้เพราะถูกดูดเข้ามา
ผู้ตื่น=ต้องเกิดการไหลของพลังงานต้องมีการผลักดันและขับเคลื่อนต้องเป็นสนามแม่เหล็ก เกิดการแยกประจุจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่ง การเคลื่อนไหววิถีโค้ง ประจุเกิดการไหลแบบแหกโค้ง เกิดการแยกประจุและอนุภาพออกจากกันเรียกการไหลแบบนี้ว่าอยู่ในรูปของ(สนามแม่เหล็ก=จิตวิญญาณ)
ผู้เบิกบาน=เบิกบาน คือ การสลัดประจุเกิดได้เมื่อความเร็วต้องสูง สรุปว่าอัตราความเร็วของกระแสทำให้สลัดประจุไฟฟ้าได้ 1 ต้องมีประจุเยอะ 2 ความเร็วถ้าเร็วมากยิ่งแยกประจุและอนุภาพไปไกลที่สุดให้เบ่งบานไม่จบสิ้น ภาวะความเข้าใจในตนเองใจตนเองให้อยู่ในรูปจิตวิญญาณ
ความคิดยึดติด เป็นตัวตน เป็นอัตตา เป็นมารขัดขวางการฝึกปฏิบัติไปสู่ความสำเร็จ
ความคิดดีก็เป็นมาร ความคิดไม่ดีก็เป็นมาร เพราะยึด เราสร้างปมให้ตัวเรา มีปมเก่า มีปมใหม่
เรามาเข้าใจคำว่าปมทุกคนมีปมเป็นของตัวเองความหมายคำว่าปมคืออะไร อะไรคือปม ? ความคิดที่ขัดแย้ง ไม่เป็นธรรมชาติของความรู้สึก หาแต่เหตุผล ความไม่พอใจ ไม่ถูกใจ น้อยใจ เสียใจ โกรธ ต้องการความรัก คิดว่าพ่อ แม่ ไม่รักเรา สามีไม่รักเรา ลูกไม่รักเราเพื่อน ๆไม่รักเรา เพราะฉันจน ฉันไม่สวย ฉันมันโง่ และอะไรอีกมากมายที่เราคิดและตอกย้ำตัวเราเองจนเกิดเป็นปมเป็นสัญญา จดจำได้หมายรู้ เก็บกดไว้ทำให้ความคิดจิตใจ ทำให้เราไม่เป็นอิสระ เราคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆน้อย ๆ เป็นธรรมดา แต่เป็นการสะสมจนร่างกายเกิดเจ็บป่วยเกิดโรคที่หาสาเหตุไม่พบ เจ็บป่วยทางจิตใจและร่างกายได้เพราะว่าไปขัดขวางหรือบล๊อคสัญญาหนึ่งๆ ความคิดความรู้สึกเป็นพลังงานที่ไม่ขยายออกจากร่างกายเรา เรารู้สึกอย่างหนึ่งแต่ ไปทำอีกอย่างอีกอย่างหนึ่ง ใจรู้สึกรักเธอมาก แต่จิตความคิดมันมีอัตตาว่า ทำไมฉันต้องรักเธอ ข้อควรระวังเพราะนิสัยของการตกอยู่ในสภาวะโง่งมและสับสนที่ยึดติดถูกผิด ก็เป็นมารตัวใหม่เข้ามา ความไม่พอใจนั้นฝ้งลึกเป็นมารในตัวเรา ไม่มีเหตุผลที่จะจินตนาการว่าตัวเราถูก ตัวเขาผิด
แต่เราสามารถเปลี่ยนพลังความอยากความต้องการที่รุนแรงให้เป็นปัญญาอันกว้างขวางให้กระจ่างแจ้งและบริสุทธิ์ได้ทันทีด้วยการเอาจิตความคิดเข้าไปดูพลังงานที่สะเทือนเข้ามาที่สมองในร่างกายเรา และจัดเป็นวงจรพลังงานด้วยความรู้สึกที่เป็นสุขรับรู้ เฝ้าดู เราต้องพัฒนาเป็นลำดับตามความสามารถ มิฉะนั้นเราอาจเป็นมารไม่รู้ตัวเพราะสร้างปมให้เติบโตในจิตใจเราแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ได้ โดยเรารับเอาหลายสิ่งหลายอย่างเข้ามามากมายอย่างรวดเร็วเกินไป บ่อยครั้งที่มีผลร้าย คือ ชีวิตที่เรียบง่ายและสมดุลถูกสลัดทิ้งไป ถึงแม้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่ผลลัพธ์จริง ๆ คือ ทุกข์และไม่พอใจกว่าแต่ก่อน ถ้าเราฝึกจิตก็จะมีการเปลี่ยนแปลงกับระดับอารมณ์ และ ความสุขทางจิตใจ โดยเราคิดที่จะรับพลังความรู้สึกอยากให้มาทะลวงจุดสร้างวงจรเปลี่ยนแปลงร่างกายเราให้ไร้ขีดจำกัดได้ ใช้ปม เห็นใจ
ใช้ปม .. เห็นใจ ? เห็นความคิด เห็น ความรู้สึก
ใช้ใจ .. เห็นมาร ? เห็นปัญหาที่เกิดขึ้น อุปาทาน
ใช้มาร .. เห็นธรรม ? เห็นธรรมชาติตามความจริง
ใช้ธรรม .. เห็นเรา ? เห็นเทพ เห็นมารในตัวเรา
ใช้เรา .. พ้นอุปาทาน ? เห็นแล้วไม่ติดในดี เทพ
ไม่ติดในชั่ว มาร ปล่อยวางรับรู้เฝ้าดูติดตามสิ่งที่เกิด
ขึ้นจากวิถีของสายธารแห่งธรรมชาติที่แท้จริง
เมื่อนั้น จิตย่อมค้นพบครู และ ผู้รู้ที่แท้จริง