พลังเป็นดาบสองคม
ถ้ามีพลังมากแต่ใช้ไม่เป็น ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย อารมณ์ก็แปรปรวน จิตใจก็หดหู่ซึมเศร้า เป็นภูมิแพ้ง่าย ปวดศีรษะเป็นประจำ เหนื่อยง่าย กระดูกผุ ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งก็เกิดจากการที่มีพลังงานมากเกินไปในกระแสโลหิต พลังงานในที่นี้อยู่ในรูปประจุไฟฟ้าในเลือดดำ คือ ธาตุเหล็กอิออน ทำให้เกิดสภาวะความเป็นกรดในร่างกาย ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ และการแบ่งเซลล์ผิดปกติ เพราะเกิดการกระจุกตัวของพลังงาน และพลังงานเข้ามาแบบไร้ทิศทาง ทำให้เกิดการชนกัน ทำให้เกิดความร้อนภายในร่างกาย อีกทั้งพลังงานไม่มีการเคลื่อนตัว ในเมื่อคนในปัจจุบันมีพลังงานหรือประจุไฟฟ้าในกระแสเลือดสูงอยู่แล้ว โรคต่างๆ ก็ตามมาและเป็นกันมากขึ้นเป็นทวีคูณ โดยไม่รู้เลยว่าเกิดจากอะไรกันแน่ ในเมื่อเป็นอย่างนี้เราควรมารู้จักพลังงานที่เข้ามา พลังงานนี้มีประจุและอนุภาคอยู่ชิดกัน เราก็ต้องทำการแยกประจุและอนุภาคออกจากกัน ต้องมีการเคลื่อนตัวของประจุ เพื่อให้เกิดสนามแม่เหล็ก จะทำให้มีการขับเคลื่อนได้ตลอดเวลา และสร้างวงจรให้จิตเรียนรู้ ทำวงจรซ้ำๆ บ่อยๆ จนกระทั่งแอกซอนในสมองแตกกิ่งก้านสาขา และรู้จักวงจรแล้ว มันจะขับเคลื่อนไปได้เอง เหมือนเราทำทางเดินให้ประจุไฟฟ้าเดินตามทางที่เราสร้างวงจรไว้ เมื่อพลังงานเข้ามา ก็จะสามารถเข้าสู่ทางเดินของวงจรไม่เกิดอันตรายแทรกตามอวัยวะต่างๆ อีก เมื่อเป็นสนามแม่เหล็กแล้วและรับรู้ถึงวงจรภายในร่างกายแล้วก็สามารถบำบัดคนอื่น ๆ ได้จะทำให้สนามแม่เหล็กยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเพราะเมื่อเราบำบัดใครเราจะรับพลังงานของคนที่ถูกบำบัดเข้ามาแต่แทนที่จะเข้ามาแบบไร้ทิศทาง แต่เรามีทางเดินให้กับพลังงานที่เข้ามาเดิน ยิ่งมีพลังงานเข้ามามาก ประจุก็จะขยายชั้นของพลังงานออกไปสู่วงรอบนอก ใจกลางก็จะเป็นสนามแม่เหล็กอย่างยิ่งยวด ยิ่งบำบัด ผู้ป่วย ยิ่งจิตวิญญาณเกิด การรับรู้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย และนำมาใช้ในการดูจิตได้อย่างดีเยี่ยม เพราะเราจะรับรู้รู้สึกถึงการขับเคลื่อนของพลังงานได้อย่างต่อเนื่อง ถือว่าเราได้ฝึกสติได้ตลอดเวลา ทำให้จิตเรากล้าแกร่ง เผชิญได้ทุกอารมณ์ ทุกสถานการณ์ ช่างเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ของจิต ที่ใช้พลังในการส่งเสริมและเป็นตัวสำคัญในการพัฒนาจิตโดยแท้ แบบรูปธรรม..