ในไฟมีตา เป็นสื่อนำพามรรคผล
ในน้ำมีจ้กรวาล นำพาไปสู่พระเจ้า
ทั้งไฟและน้ำ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน
นำพาไปสู่ ความไร้ขีดจำกัดในฤทธี
ทำไมไฟถึงมีตา ไฟในที่นี้คือไฟแห่งพระผู้เป็นเจ้า เป็นไฟของพลังกุณฑาลินี เมื่อมีไฟนี้จะทำให้เกิดการรับรู้ ตาหมายถึงการรับรู้ เกิดจากดูดซับ ปริมาณประจุไฟฟ้าเข้ามาได้อย่างมหาศาล เกิดการเปลี่ยนแปลง การรับรู้จะไม่ได้ผ่านเซลประสาท แต่รับรู้ผ่านเส้นสายสนามแม่เหล็ก ซึ่งไร้ระยะทาง มีความไวในการรับรู้ ซื่งเป็นการรับรู้ที่เหนือสามัญ
โดยการใช้ไฟนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการบรรลุคุณธรรมอันวิเศษ เพื่อเป็นหนทางสร้างเหตุปัจจัยถึงพร้อมในความสำเร็จทางจิตต่อไป
ในน้ำมีจักรวาล นำพาไปสู่พระเจ้า เกิดอะไรขึ้น เมือมีไฟของพลังกุณฑาลินี ซึ่งอยู่ในรูปประจุไฟฟ้า จะลอยตัวขึ้นแนวกระดูกสันหลัง ที่ไหนมีประจุไฟฟ้า ที่นั้นย่อมมีน้ำลอยตัวขึ้นแนวกระดูกสันหลังตามไปด้วย ไปยังสมองส่วนกลางในช่องน้ำเลี้ยงสมอง น้ำที่ลอยตัวขึ้นมานี้ จากการฝึกปฏิบัติทั้งหลายเพื่อสร้างเหตุปัจจัยถึงพร้อม
ทำให้น้ำนี้มีการสั่นสะเทือนสูง เกิดการดูดซับประจุแบบไม่มีขีดจำกัด ทำให้เกิดความเร็ววงรอบสูง เกิดการรวมอนุภาค หรือเส้นแรงไว้ ณ แกนกลางที่เดียวกัน ประจุไฟฟ้าขยายตัวออกตามชั้นพลังงานออกไปกว้างไกล เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ แปรเป็นธาตุไอโซโทป 4 ที่มีความเร็ววงรอบสูง ระยะทางหายไป เวลาก็หายไป จึงสามารถเชื่อมต่อกันทั้งระบบและจักรวาล
เมื่อได้ยินได้ฟังสภาวธรรม จะสามารถรู้แจ้งแทงตลอด และบรรลุธรรมนั้นได้โดยฉับพลัน
ทั้งไฟและน้ำจึงส่งเสริมซึ่งกันและกัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าขาดไฟ ก็ไม่สามารถนำน้ำขึ้นมาเปลี่ยนแปลงที่สมองได้ เพราะฉะนั้น ไฟกับน้ำต้องมาด้วยกัน จึงจะสามารถพัฒนาจิตได้ในอัตราเร่ง และสามารถขยายสัญญาหรือคลื่นพลังงานนั้นไปอย่างไม่รู้จบ คือไร้ขีดจำกัดนี่เอง เป็นการดับสัญญาได้
น้ำ : สิ่งมหัศจรรย์ของโลก
น้ำเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจริงๆ เพราะน้ำสามารถเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ น้ำสั่งได้ น้ำเป็นตัวยาอันวิเศษ เป็นอาหารอันวิเศษ วิตามินอันวิเศษ เปลี่ยนแปลงร่างกายได้ก็เพราะน้ำ เพราะอะไรนะหรือ เพราะว่าน้ำสามารถดูดซับประจุได้อย่างมหาศาล และรับสัญญาได้ทุกสัญญาไปในน้ำ คนที่เจ็บป่วยลองหันมาดื่มน้ำ แล้วสั่งให้ตัวยาอันศักดิ์สิทธิ์จงสถิตอยู่ในน้ำนี้ ถ้าคนนั้นมีความเชื่อและศรัทธาในน้ำนี้ น้ำนี้ก็จะเป็นตัวยาอันวิเศษได้เป็นอย่างดี รักษาไปตามอวัยวะต่างๆที่เจ็บป่วย น้ำมีอยู่ทุกหนแห่ง อาหาร ผลไม้ต่างๆ เช่น มะพร้าว มะนาว แอปเปิ้ล องุ่น กล้วย และผลไม้เกือบทุกชนิดประกอบไปด้วยน้ำ ถ้าเรารู้จักการทำงานของจิต เราสามารถสั่งอาหาร ผลไม้ต่างๆ ให้เป็นยารักษาหรือบำรุงร่างกายแบบตรงจุดได้ คนที่นับถือศาสนาคริสต์ ฮินดูจะขอบคุณพระเจ้าที่ได้ประทานอาหารนี้มา เค้ามีความเชื่อว่าสิ่งที่เค้าทานเข้าไป เป็นอาหารของพระเจ้า การที่มีความเชื่อเช่นนี้จะทำให้เกิดความเร็ววงรอบของพลังงานสิ่งที่ทานเข้าไป สามารถสั่งตามที่ต้องการได้ แต่สำหรับคนที่ฝึกพลังแล้วที่อยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก ทุกสิ่งทุกอย่างจะสามารถเปลี่ยนแปลงน้ำให้มีความเร็ววงรอบสูงจนกลายเป็นน้ำไอโซโทปที่มีนิวตรอนมากกว่าอะตอมมิกนัมเบอร์ของน้ำนั้น เกิดการดูด ผลักของพลังงาน จะสามารถเชื่อมต่อสัญญาของสิ่งที่อัญเชิญมา เมื่อมีการสั่งโดยการอัญเชิญให้น้ำหรือผลไม้ชนิดใด หรือผักชนิดใด ก็ตามให้เป็นตัวยาอันศักดิ์สิทธิ์ ธาตุอันศักดิ์สิทธ์ ให้มาสถิตในอาหารที่จะทานนี้ จะเกิดความเร็ววงรอบ เส้นสายในจักรวาลจะมาลงในอาหารนั้น เมื่อทานเข้าไปจะเกิดความเร็ววงรอบขับเคลื่อนแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายได้รวดเร็วกว่าคนที่ไม่ได้ฝึกอะไร ซึ่งจะใช้ความศรัทธาเข้ามาร่วมด้วยเท่านั้น ไม่ใช่แค่น้ำภายนอกที่เราสามารถทำได้ น้ำภายในกายเราก็สามารถทำได้ สำหรับคนที่มีความคิด ที่ฟุ้งซ่าน สับสน คิดในทางที่ไม่ดี และกล่าวโทษตนเองเสมอ ไม่ยอมรับธรรมชาติของตนเอง .... เมื่อนั้นน้ำในร่างกายก็จะแปรสภาพเป็นน้ำเน่า เนื่องจากเกิดการดูดซับประจุไฟฟ้าเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว ทำให้กระแสพลังงานบิด เกิดการสะท้อนกลับตามอวัยวะต่าง ๆซื่งน้ำนั้นจะแทรกไปตามอวัยวะต่างๆ ตามการสะท้อนกลับของพลังงาน เกิดเป็นโรคร้ายต่างๆตามมาได้ ทุกสัญญาหรือทุกคลื่นพลังทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ล้วนมีผลต่อการพัฒนาจิตทั้งสิ้น ซึ่งก็มาจากน้ำในร่างกายที่ส่งผลให้น้ำที่อยู่ตามสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปรสภาพตามกัน....อีกกรณีนึง....การสวดมนต์ เป็นจุดกำเนิดของการทำน้ำให้ลอยขึ้นสู่สมองและมีความเร็วงรอบที่สูง และอีกทั้งยังได้ท่องบ่นถึงสิ่งที่เป็นมงคล เช่น พระคาถาชินบัญชร ซึ่งมีพระอรหันต์ 28 พระองค์ การที่จะเป็นพระอรหันต์ต้องอยู่ในรูปกัมมันตรภาพรังสี เป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ เมื่อท่องบ่นเอ่ยนามของพระอรหันต์ทั้ง 28 พระองค์เท่ากับเราเชื่อมต่อสัญญาของพระอรหันต์ทั้ง 28 พระองค์ จึงทำให้น้ำในร่างกายและสมองอยู่ในรูปกัมมัตรภาพรังสีเช่นเดียวกัน การแปรธาตุ ก็อาศัยน้ำที่มีอยู่นี้พัฒนาธาตุจนเป็นปรมัตถธาตุ คือธาตุอันเป็นที่สุดนี่เอง..
มีคำกล่าวไว้ว่า ในไฟมีตา เป็นสื่อนำพามรรคผล ในน้ำมีจักรวาล นำพาไปสู่พระเจ้า ทั้งไฟและน้ำส่งเสริมซึ่งกันและกัน นำพาไปสู่ความไร้ขีดจำกัดในฤทธิ น้ำนำพาไปสู่พระเจ้าได้ก็เพราะน้ำสามารถดูดซับประจุได้อย่างมหาศาล จนกระทั่งเกิดความเร็ววงรอบ ล๊อคอนุภาคไว้สู่แกนกลาง รวมเส้นสายของจักรวาลไว้ ณ จุดเดียวกัน..
ไฟช่วยพัฒนาจิตได้อย่างไร
ในที่นี้นอกจากไฟที่มาจากพลังคุณฑาลินี ยังมีไฟอีกไฟคือไฟธาตุ เช่นแสงเทียน เป็นต้น อีกทั้งไฟนี้ยังสามารถบำบัดกายได้อีกด้วย ในยามที่ประจุไฟฟ้ามีจำนวนมาก ทำให้ร่างกายเกิดความร้อนจากประจุชนกัน เมื่อเราใช้ไฟนี้โดยการมองที่จักระ6 จะเกิดการเชื่อมต่อ ไฟ ทำให้จักระ6 มีความเร็ววงรอบเท่ากับไฟ เกิดการหมุนปั่นที่จักระ 6 ด้วยความเร็วสูง จักระทุกจักระ จะขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็วหมุนปั่นเช่นเดียวกัน เกิดการลอยตัวของประจุที่อยู่ช่วงล่างขึ้นมา ที่จักระ 6 ขยายวงรอบของพลังงานออกไปเมื่อมองไฟ คนที่มีประจุไฟฟ้ามากในกระแสเลือด เมื่อมองไฟ จะเกิดการลอยตัวของพลังงานขึ้นสู่สมองทำให้ ง่วงนอนในทันที อีกส่วนหนึ่ง เป็นตัวที่แยกประจุและอนุภาคออกไปได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กระแสพลังงานที่หยาบ กลายเป็นกระแสที่ละเอียดเนียน และขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็ว ไฟธาตุหรือแสงเทียนที่เราใช้ฝึกปฏิบัติ จึงเป็นตัวเร่งอนุภาคได้เป็นอย่างดี เพราะมีความเร็ววงรอบเป็นแสง 186,000 ไมล์/วินาที เพียงแต่เราเกาะติดแสงไฟที่เราใช้ฝึก เราใช้ไฟเมื่อสวดมนต์ ทำให้พลังหรือประจุไฟฟ้าและน้ำลอยตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง หรือทำพิธีกรรมใดๆ ควรจุดไฟไว้ใกล้ๆ โดยตั้งให้ทับกับเส้นสายสนามพลังจักรวาล เมื่อทับเส้นสายแล้วจะทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยความเร็วสูงได้เช่นเดียวกัน โดยการเกาะติดชั้นวงรอบของพลังงานของไฟ ขณะฝึกปฏิบัติจะเกิดการสลัดประจุได้ตลอดเวลา การรวมเส้นสายก็จะทำให้สามารถรวมได้หนาแน่นขึ้น จนกระทั่งอยู่ชิดกัน จนไร้ระยะทาง ไร้กาลเวลา การเชื่อมต่อทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ก็จะสมบูรณ์ จนเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยอาศัยความเร็วของไฟนี่เองเมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม .....การเข้าใจและเข้าถึงสภาวธรรมก็จะเกิดขึ้นได้จากการสร้างเหตุปัจจัยถึงพร้อมที่มีไฟคอยส่งเสริม..
มหัศจรรย์ของไฟ
ไฟมีอยู่หลายย่านความถี่อยู่ในแต่ละชั้นพลังงานของไฟ ไฟมีความเร็ววงรอบสูง สามารถขับเคลื่อนได้ตลอดเวลา มีประโยขน์อย่างไร สามารถบำบัดกายได้จากการดึงประจุไฟฟ้าลงไฟตามชั้นพลังงานของไฟ เมื่อเข้าวงรอบชองชั้นพลังงานของไฟ จะทำให้มีความเร็วสูง ประจุที่มีการสั่นสะเทือนสูงเมื่อเข้าสู่วงรอบไฟจะเกิดความเร็วทำให้ประจุที่สั่นสะเทือนละเอียดเนียนได้ และง่ายในการบำบัดรักษา และไฟยังสามารถพัฒนาจิตได้ โดยใช้ร่วมกับพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ จะทำให้เกิดความเร็วของพลังงาน สามารถเชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมต่อระบบและจักรวาลได้ เพราะไฟมีความเร็วเท่ากับแสง 186,000 ไมล์ /วินาที จึงสามารถทำให้เส้นสายเข้าชิดกัน ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กมากขึ้น ระยะทางก็หายไป กาลเวลาก็หายไป บุคคลใดที่สวดมนต์ร่วมกับไฟ จะเหมือนกับการเร่งอนุภาคของพระเจ้า ในศูนย์วิจัยเซิน เพราะการสวดมนต์ทำให้น้ำขึ้นสมองได้ง่ายเกิดความเร็ววงรอบสูงเพราะน้ำมีการสั่นสะเทือนสูง มีความหนาแน่นของพลังงานอย่างมาก ทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์จากน้ำในสมอง น้ำนั้นจะอยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก ขับเคลื่อนได้แบบอัตโนมัติ แยกประจุไฟฟ้าเป็นชั้นๆออกไป ความหนาแน่นของอนุภาคของน้ำก็จะมากขึ้น ประกอบกับการใช้ไฟเข้าร่วม ทำให้เกิดการลอยตัวของพลังงานยิ่งสูงขึ้น เกิดอัตราเร่งของปฏิกิริยานิวเคลียร์ จนกระทั่งสามารถรวมอนุภาคหรือเส้นสายไว้ในที่เดียวกัน เกิดการเชื่อมต่อทั้งจักรวาลจึงเป็นอนุภาคของพระเจ้าได้โดยไม่ต้องลงทุนอะไร นอกจากลงทุนใจและกายเท่านั้น ดังคำกล่าวที่ว่า
ในไฟมีตา เป็นสื่อนำพามรรคผล ….
ในน้ำมีจักรวาล นำพาไปสู่พระเจ้า ….
ทั้งไฟและน้ำส่งเสริมซึ่งกันและกัน…
นำพาไปสู่ความไร้ขีดจำกัดในฤธี....
วิธีการสวดมนต์ต้องทำให้เกิดการลอยตัวของพลังกุณฑาลินีทำให้นำพาน้ำลอยตัวขึ้นสู่สมอง และการสัมผัสเส้นสายของสนามพลังจักรวาลและเส้นสายภายในที่เชื่อมต่อกับจักรวาล ประกอบกับไฟซึ่งมีความเร็ววงรอบสูง
อีกทั้งมีการเปลี่ยนคลื่นสมองให้รับรู้รู้สึกถึงเส้นสายสนามพลังเสียก่อนถึงจะเก็บเกี่ยวเส้นสายให้มีความหนาแน่น จึงจะสามารถเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ กลายเป็นอนุภาคของพระเจ้าที่สมบูรณ์ได้...
มหัศจรรย์ของน้ำ
(ตอนที่ 1) เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะว่า น้ำในจักรวาลนี้มีจำนวนมากมหาศาล และน้ำในร่างกายนี้ก็มีอยู่ถึง 75% ของน้ำหนักตัว แต่เราจะใช้ประโยชน์จากน้ำนั้นได้อย่างไร น้ำประกอบด้วย ไฮโดรเจน และออกซิเจน ไฮโดรเจน เป็นธาตุที่ทำให้เกิดกัมมันตรภาพรังสี เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ เป็นไอโซโทป มีนิวตรอนปริมาณที่มากกว่าอะตอมมิกนัมเบอร์ของธาตุนั้น เป็นสนามแม่เหล็ก มีความเร็ววงรอบสูง แล้วเราจะทำน้ำให้เป็นไอโซโทปได้อย่างไร เพื่อใช้ในการบำบัด รักษา พัฒนาธาตุ พัฒนาจิต พัฒนาฌาน ทำไมน้ำพัฒนาเป็นไอโซโทปได้เพราะน้ำสามารถรับประจุไฟฟ้าได้ไม่อั้น (unlimited) และสามารถใส่ข้อมูลหรือประจุได้จากการสั่นสะเทือนของคลื่นที่มากระทบ สำหรับร่างกายแล้ว เมื่อเราใช้คำพูดที่ดี เช่นรักนะ แข็งแรงนะ ขอบคุณนะ มีความสุขมากๆนะ คิดสิ่งที่ดี ฟังในสิ่งที่ดีเช่นฟังเสียงสวดมนต์ ฟังสิ่งที่ทำให้เกิดสติปัญญา ฟังธรรมมะ และทำในสิ่งที่ดี หรือการสวดมนต์ จะทำให้น้ำนั้นมีรูปร่างสวยงาม น้ำจะแปรสภาพตามการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น โมเลกุลของน้ำจะเรียงตัวไปในทิศทางเดียวกัน เกิดเป็นรูปร่าง หกเหลี่ยม เกิดภาวะเป็นสนามแม่เหล็กในตัว แต่ถ้าเราใส่ความคิดในเชิงลบ พูดในสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา กล่าวว่าคนอื่น หรือตำหนิตนเอง ฟังเพลงร๊อค น้ำในร่างกายก็จะเชื่อฟัง การสั่นสะเทือนหรือคลื่นที่เราคิด พูด กระทำในสิ่งนั้น รูปร่างของโมเลกุลน้ำในร่างกาย จะเป็นโมเลกุลที่ไร้ทิศทาง ดูแล้วไม่น่าพิสมัยเลยมาจากการวิจัยทดลองน้ำของ ดร.มาซารุ อิโมโตะ แล้วน้ำบำบัดโรคได้อย่างไร เราจะทำน้ำให้ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ก่อนอื่นทำให้ตนเองดื่มก่อน เพราะในแนวทางวิทยาศาสตร์ต้องมีการทดลอง พิสูจน์หลายครั้ง จึงจะเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราพิสูจน์นั้นเป็นจริงหรือไม่ เมื่อเรามีน้ำ เราต้องเชื่อมต่อฟ้าดิน อัญเชิญธาตุอันศักดิ์สิทธ์ ตัวยาอันศักดิ์สิทธื และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมาที่น้ำและบอกจุดประสงค์ว่าเราจะทำน้ำเพื่ออะไร เพราะจะได้รู้พิกัดของจิตในการทำน้ำ การที่เราเชื่อมต่อฟ้าดิน เชื่อมต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วทุกอย่างที่เราเอ่ยหรือกล่าวไปจะเกิดการสั่นสะเทือนประจุไฟฟ้าจากชั้นไอโอโนสเฟียร์จะลงมายังน้ำ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เอ่ยถึง จะมีความเร็ววงรอบสูง คุณสมบัติของน้ำสามารถดูดซับประจุแบบไม่อั้นอยู่แล้ว ประกอบการสวดมนต์ที่มีการสั่นสะเทือนของน้ำร่างกายเชื่อมต่อกับน้ำที่เราทำ จะทำให้ประจุไฟฟ้าลงมาที่น้ำและร่างกายของบุคคลนั้นอย่างมหาศาล เกิดความเร็ววงรอบของพลังงานสูง เกิดการยุบตัวและขยายตัวของประจุไฟฟ้าเป็นชั้นๆ นิวตรอนของน้ำจะเข้าไปรวมกันอยู่ที่ใจกลางทำให้มีนิวตรอนมากกว่าอะตอมมิกนัมเบอร์ของธาตุที่เป็นอยู่ ยิ่งประจุไฟฟ้าลงมากเท่าไหร่ เส้นสายของจักรวาล ก็จะลงมามากเท่านั้น เกิดการแตกตัวเป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ เป็นกัมมันตรภาพรังสี ตลอดเวลา เมื่อเราดื่มน้ำที่เราทำ เพียงแค่อมไว้ในช่องปากและอธิษฐานและค่อยๆกลืน น้ำจะไปบำบัดทั่วร่างกายตามส่วนต่างๆที่มีการกระจุกตัวของพลังงานมีการขับเคลื่อนของพลังงานให้รู้สึกได้ มีกลุ่มก้อนพลังงานที่ไหน น้ำก็จะไปจัดการปั่นให้เกิดความเร็วและดูดซับประจุออกไปทางรูขุมขน ทางปัสสาวะได้ด้วย ยิ่งเหลือเชื่อสำหรับคนเจ็บป่วย น้ำสามารถดึงประจุไฟฟ้าของผู้ป่วยลงน้ำได้ ที่ไหนมีประจุ ที่นั่นต้องมีน้ำเข้ามาเกี่ยวข้อง คนที่มีประจุไฟฟ้ามาก ควรใช้น้ำอุ่นจัดๆ ที่พอทนได้ใส่กาละมัง ใส่เกลือนิดหน่อยและแช่เท้า ประจุไฟฟ้าในร่างกายจะถูกดึงลงน้ำได้อย่างง่ายดาย ที่ฝ่าเท้ามีการสั่นสะเทือนของพลังงานสูงอยู่แล้ว ก็จะถูกดึงลงน้ำได้