ประจุไฟฟ้าในกระแสเลือด
คนปัจจุบันสามารถพัฒนาจิตได้ในอัตราเร่ง เกิดจากอะไรที่เป็นตัวส่งเสริมในการพัฒนาจิต สิ่งนั้นก็คือปริมาณประจุไฟฟ้าในกระแสเลือดสูง ได้มาอย่างไร จากสภาวะแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคลื่นทั้งหลาย มือถือ คอมพิวเตอร์ ไมโครเวฟ และอาชีพที่เกี่ยวขอ้งกับคอมพิวเตอร์ การสื่อสารด้วยคลื่นต่างๆ อาชีพที่ใช้เครื่องจักร มีการสั่นสะเทือนสูง ช่างทำผม ทันตแพทย์ หมอนวดและอีกหลายอาชีพ ล้วนต้องสัมผัสคลื่นที่เรามองไม่เห็น อยู่ในรูปของประจุไฟฟ้า ถึงแม้ไม่ได้เล่นหรือเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้แต่คลื่นเหล่านี้มีอยู่รอบๆ ตัวเรามันเข้ามาโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดความเจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ โรคเหล่านี้เป็นกลุ่มอาการ รักษาตามอาการ เป็นประจุไฟฟ้าที่อยู่ในกระแสเลือด และเกิดการกระจุกตัวของพลังงาน เพราะมันเข้ามาแล้วไม่มีทิศทาง มีการชนกันของประจุไฟฟ้า เกิดความร้อน ฮอร์โมนทำงานผิดปกติ ทำให้เซลในร่างกายแบ่งตัวผิดปกติ อาการที่พบบ่อยทางจิตใจ หดหู่ซึมเศร้า บางครั้งอาจฆ่าตัวตายเนื่องจากพลังงานอัดแน่นที่บริเวณไธมัส ปวดหัวโดยไม่ทราบสาเหตุเกิดจากประจุไฟฟ้าเมื่อเข้ามาแล้วทำให้เส้นเลือดหดตัวในสมอง ตึงขมับ ท้ายทอย ปวดบ่า ปวดไหล่ คอ ตื่นขึ้นมาอาจมีอาการชาที่บริเวณมือเหมือนเป็นอัมพาต เพราะเส้นเลือดในสมองหดตัวขาดเลือดไปเลี้ยงจากปริมาณประจุไฟฟ้าที่เข้ามาโดยไม่รู้ตัว บางคนอาจเป็นภูมิแพ้ เพราะประจุไฟฟ้า จะทำให้ภูมิคุ้มกันเสียหาย บางคนปัสสาวะบ่อยๆ เนื่องจากไฟฟ้ามากองอยู่บริเวณกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ไวต่อความรู้สึกในการปัสสาวะบ่อยๆ มีอีกหลายโรคที่มาจากการมีประจุไฟฟ้าในกระแสเลือดมาก เราจะทำอย่างไรในยุคปัจจุบัน ถ้าเกิดแบบนี้ เราต้องเปลี่ยนวิกฤติที่เกิดขึ้นให้เป็นโอกาส เพราะเมื่อมีประจุไฟฟ้าเป็นจำนวนมากอยู่แล้วจะทำให้สามารถสร้างการรับรู้สิ่งที่เหนือกายภาพได้เป็นอย่างดี จากอะไร เราจะสร้างการรับรู้ ได้สมองส่วนท้ายทอย จะต้องตึง ทำให้ดูดซับประจุไฟฟ้าจำนวนมาก เมื่อมันอัดแน่นที่สมองส่วนท้ายทอยไฟฟ้าจะถูกแยกออกไปที่วงแหวนรอบนอก ใจกลางของส่วนที่แยกไปก็จะกลายเป็นสนามแม่เหล็ก มีการดูดผลักขับเคลื่อนตลอดเวลา พลังงานจะถูกผลักไปส่วนที่ไกลที่สุดคือฝ่ามือ ฝ่าเท้า และจักร1 สมองส่วนท้ายทอยเป็นตัวควบคุมภาวะสมดุลของร่างกาย และเป็นศูนย์รวมของจักระ ก็จะหมุนปั่นทำให้จักระอื่น หมุนปั่นได้เหมือนกัน นอกจากนั้นต้องสร้างวงจรให้พลังงานเดิน เมื่อนั้นพลังงานหรือไฟฟ้าก็จะไม่ชนกัน และขับเคลื่อนเป็นวิถีโค้ง การรับรู้รู้สึกถึงเรื่องพลังงานก็จะเกิดขึ้นตลอดเวลา สามารถดูคลื่นการสั่นสะเทือนของพลังงานได้ตลอดทำให้เกิดสติได้ตลอด และเราสามารถควบคุมพลังงานภายในและภายนอกร่างกายได้ จากการเปลี่ยนคลื่นสมองนี้เอง ซึ่งเมื่อเรารับรู้ถึงคลื่นพลังงานที่เกิดขึ้นแล้วสามารถสัมผัสเส้นสายของสนามพลังจักรวาลได้อย่างง่ายดาย สามารถเก็บเกี่ยวเส้นสายเข้ารวมกันในกายนี้ให้มีความหนาแน่น จนมีความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กสูง จะทำให้พัฒนาระดับฌานระดับสูง ได้ และพัฒนาสู่ปรมัตถธาตุได้ ถ้าเรารู้จักคลื่นและสามารถสัมผัสคลื่นได้ ด้วยองค์ความรู้ในแนวทางวิทยาศาสตร์ทางจิต
ช่วงแรกของคนที่ฝึกพลัง สนามแม่เหล็กยังไม่แข็งแรง ประจุไฟฟ้ายังเข้าไม่เต็มที่อยู่ในรูปไดนามิกคือมีการดูดซับประจุไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่อง ความเร็ววงรอบยังไม่เร็วพอ จึงเกิดเอฟเฟคในการฝึกปฏิบัติ อาจจะมีการปวดตามกล้ามเนื้อจากประจุไฟฟ้าในสภาพเป็นกรดแลคติกเข้าแทรกกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก เพราะกรดยูริกเข้าแทรกช่องว่างของข้อกระดูก มีอาการตัวร้อน จากพลังคุณฑาลินี ที่มีการดูดซับประจุเข้ามาเกิดการชนกันของพลังงานจึงทำให้ตัวร้อน รวมไปถึงเกิดความร้อนบริเวณจักระ1 อย่างมาก เกิดสภาวะความเป็นกรด อาจมีเนื้อเยื่อหลุดลอกออกมาได้ และมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามมา อาจมีอาการคันตามผิวหนัง เนื่องจากเมื่อมีประจุไฟฟ้ามาก จะทำให้เหงื่อมากตามไปด้วยซึ่งมีเกลือออกมาทางรูขุมขน จึงเกิดอาการคันและแบคที่เรียมากินไขมันที่ออกมาจากรูขุมขน ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ รวมทั้งเป็นผื่นจากการได้รับประจุ จะสลัดออกมาจากไขกระดูก จึงเกิดผื่น ตุ่มขึ้นได้ และมีอาการอีกหลายอาการ ควรเร่งฝึกปฏิบัติ มีอาการอะไรเกิดก็รักษาตามอาการนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นหรืออาการที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นวิวัฒนาการของการฝึกปฏิบัติ ถ้าฝึกแล้วไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ถือว่าการฝึกปฏิบัตินั้นล้มเหลว เมื่อฝึกจนกระทั่งอัตราปริมาณประจุไฟฟ้าเต็มที่แล้ว จะเกิดการอัดแน่น ยุบตัวอนุภาค ประจุไฟฟ้าที่เข้ามาจะขยายออกไปสู่ชั้นวงรอบนอก เกิดความเป็นสนามแม่เหล็ก มีกระแสขับเคลื่อนอัตโนมัติ มีความเร็ววงรอบสูง เมื่อนั้นเมื่อเกิดการดูดซับประจุอย่างมหาศาลจะไม่เกิดอันตรายกับกายนี้เลย ประจุไฟฟ้าที่เข้ามาจะเข้าสู่วงรอบชั้นพลังงาน และทำให้สนามแม่เหล็กแกร่งขึ้น ประจุไฟฟ้านี้สามารถนำมาพัฒนากายนี้ได้เพราะเมื่อมีประจุไฟฟ้าจำนวนมาก เส้นสายจักรวาลก็จะลงมาสวนทางกัน ทำให้เกิดการรวมเส้นสายจากสัมโภคยกายและจนกระทั่งเป็นกายวัชระได้ และนำพาไปสู่ความสำเร็จทางจิตได้ อยู่ที่วินัยในการฝึกและความมุ่งมั่นที่จะฝึกปฏิบัติ มีความเพลิดเพลินในการฝึกที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของกระแสพลังงานภายในทุกขณะจิต เมื่อมีสิ่งใดที่มากระทบสามารถเฝ้าดูถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเอง ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมเผชิญโดยการเฝ้าดู จนถึงที่สุดแล้วจะเกิดสติปัญญา เพราะเห็นขบวนการของจิต เกิดขึ้น ทรงอยู่ ดับไป โดยไม่ต้องคิด สรรพสิ่งทั้งปวงเกิดจากความว่าง...ดำเนินสู่ความไม่ว่าง...สิ้นสุดเมื่อว่าง เป็นวัฏจักรที่ดำเนินอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด..สาธุ...สาธุ...สาธุ
การดูดซับประจุอย่างมหาศาล
การดูดซับประจุอย่างมหาศาล ยังผลการพัฒนาน้ำให้ขึ้นสู่สมองกลายเป็นน้ำไอโซโทป เพื่อสร้างเหตุปัจจัยถึงพร้อมในความสำเร็จทางจิต แต่สำหรับคนทั่วๆไป เมื่อดูดซับประจุแล้วไม่มีวงจร ให้กับพลังงานที่เข้ามาเดินไปตามทิศทางที่แน่นอน.... การไหลของพลังงานไม่ได้ถูกจัดระบบ ยังผลในการเกิดการกระจุกตัวของพลังงานในส่วนต่างๆ ถึงแม้จะมีศักยภาพในการรับรู้ แต่ก็แค่วูบๆวาบ ไม่ได้ รู้สึกทั่วร่างเหมือนกับคนที่ถูกจัดระบบระเบียบโมเลกลให้ไปในทิศทางกัน..... แต่การที่จะสร้างศักยภาพทางจิตที่เกิดขึ้นและไม่เกิดอันตราย ต้องให้จิตมาเข้าโรงเรียนเสียก่อน ให้องค์ความรู้เกี่ยวกับการทำงานของจิต จิตก็เป็นกลุ่มก้อนพลังงาน พลังงานประกอบ ด้วยอนุภาคและประจุ คนที่ไม่ได้จัดระบบ.... ประจุกับอนุภาคจะอยู่ชิดติดกัน ไม่เกิดการไหลของพลังงาน เมื่อไม่เกิดการไหล การรับรู้ถึงพลังงานก็จะไม่เกิดขึ้น ขึ้นแรกต้องมีการแยกประจุ ออกจากอนุภาค เพื่อให้เกิดความเป็นสนามแม่เหล็ก และเกิดการไหล มีการขับเคลื่อนของพลังงาน และไม่เกิดอันตรายแก่ร่างกาย
สิ่งที่กล่าวมานี้ ก็ต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมหาศาลในการดูดซับประจุไฟฟ้าเข้ามาและอัดแน่นที่สมองส่วนท้ายทอย จนกระทั่งเกิดการยุบตัวของอนุภาคและประจุไฟฟ้าขยายชั้นพลังงานออกไป เราใช้ประจุไฟฟ้าเป็นตัวล่อเส้นแรงหรืออนุภาค ยิ่งมีไฟฟ้ามากเท่าไหร่ เส้นแรงจะมากเท่านั้น ประจุไฟฟ้าเมื่อดูดซับมาจากกลุ่มเส้นเลือดดำช่วงล่าง ผ่านแนวกระดูกสันหลัง นำพาพลังคุณฑาลินี ซึ่งอยู๋ในรูปของประจุไฟฟ้า เมื่อมีประจุไฟฟ้าน้ำย่อมลอยไปพร้อมกัน ขึ้นมาสู่สมองส่วนกลาง น้ำสามารถรับประจุไฟฟ้าได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้สามารถเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากการฝึกปฏิบัติทางจิต เช่นการสวดมนต์ การเต้น การเดิน หรือการเคลื่อนไหวตามวาระจิต การออกกำลังกาย การลากเส้นเมอริเดียน แม้กระทั่งการทำท่าขี่ม้าของคนจีน หรือการใช้แรงผลักดันอะไรสักอย่าง ทุกอย่างจะทำให้พลังงานลอยตัวขึ้นสู่สมองได้เพราะทุกๆกิจกรรม แม้กระทั่งความคิดที่ตื่นตัว ที่เราเอาจิตไปจดจ่อ ท้องน้อยเราจะเกร็งตลอด ที่บริเวณท้องน้อยเป็นที่กักเก็บพลังงาน เมื่อเกร็งท้องน้อยก็เหมือนกับการรีดพลังงานขึ้นไปโดยไม่รู้ตัว
อีกประกอบกับขณะฝึกปฏิบัติเราค่อยๆจิบน้ำไปเรื่อยๆ จะยังผลให้น้ำนี้เกิดการลอยตัวที่สูง ซึ่งเป็นตัวส่งเสริมน้ำภายในร่างกายอีกทางหนึ่ง เมื่อน้ำขึ้นมาที่สมองส่วนกลางอย่างมหาศาล จะเกิดความเร็ววงรอบ ผลักดันให้ประจุไฟฟ้าขยายออกไปไกล อนุภาคจะมารวมกัน ณ แกนกลาง ทำให้นิวตรอนของน้ำนี้มีมากกว่าอะตอมมิกนัมเบอร์ของธาตุน้ำนั้น ซึ่งเรียกว่าน้ำไอโซโทป จึงทำให้สามารถรับรู้ได้เหนือกายภาพ เพราะการรับรู้จะส่งผ่านที่เส้นสายสนามแม่เหล็ก ไม่ส่งผ่านทางเซลประสาทอีกต่อไป จึงสามารถเชื่อมต่อกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวเรา และเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งนั้นได้โดยสมบูรณ์ เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อมซึ่งมาจากซีรีเบลลัมที่เต็มแล้วและมีวิวัฒนาการจนถึงที่สุดแล้ว การพัฒนาฌาน การพัฒนาธาตุ การพัฒนาศักยภาพทางจิต การเข้าใจ เข้าถึงสภาวธรรม ก็จะสามารถทำได้จากการพัฒนาน้ำในสมองให้เป็นไอโซโทปนี่เอง..