เนื่องจากวิวัฒนาการของผู้ฝึกสมาธิเปลี่ยนไป มีความเร็ววงรอบของน้ำในสมองเร็วมาก มีความเป็นสนามแม่เหล็ก ขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง เส้นสายมีความหนาแน่นมากขึ้น จากวิวัฒนาการที่เกิดขึ้น ทำให้การตีตะเกียบนั้นเปลี่ยนไป คนที่อยู่ในรูปของประจุไฟฟ้า เมื่อตีตะเกียบ จะทำให้ประจุไฟฟ้ากระจายตัว จึงบรรเทาอาการตึงดึงรั้งได้แค่ระดับนึง แต่ถ้าอยู่ในรูปของสนามแม่เหล็ก ที่ขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติ เราจะใช้ตะเกียบในการตีและเกาะติดชั้นของเส้นสาย ซึ่งจะเกิดความเร็ววงรอบที่สูง มีการแยกประจุและอนุภาคอย่างรวดเร็ว การพัฒนาเส้นสายจึงใช้หลักการ Vibration ในการดึงประจุไฟฟ้า และควบคุมพร้อมรวมเส้นสายภายในทีเดียว
ขั้นตอนการตีตะเกียบเซียน มี 8 ขั้นตอน
1.ตีบริเวณฝ่าเท้า เพราะบริเวณฝ่าเท้าจะเชื่อมโยงอวัยวะภายใน ที่ไหนมีการสั่นสะเทือน ประจุไฟฟ้าตามส่วนต่างจะไปรวมกันอยู่ตรงนั้น ส่งเสริมให้ซีรีเบลลัมลงไปดูดซับประจุไฟฟ้าที่จุดที่ตี และเป็นตัวที่กระตุ้นในส่วนของช่องท้อง ที่มีไฟฟ้าสูงอยู่แล้ว
2. ตีบริเวณปลีน่อง จะเห็นได้ว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่ปรับสภาพฮอร์โมน เป็นส่วนที่ประจุไฟฟ้ามีจำนวนมาก อาจเกิดการหดของกล้ามเนื้อส่วนนี้จนเป็นตะคริวตามมา เมื่อตีแล้วจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณนี้มีความแข็งแรง ยืดหยุ่น สามารถรับพลังงานได้
3.ตีบริเวณต้นขา เมื่อตีพลังงานจะขึ้นสู่สมองทันที เป็นการพัฒนาจิตวิญญาณ เมื่อขึ้นสู่สมองทำให้น้ำในสมองมีอัตราความเร็ว เกิดการแยกประจุและอนุภาค มีความเป็นสนามแม่เหล็ก จึงมีการรับรู้ถึงพลังงานได้
4. ตีบริเวณตันเถียนล่าง จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญ เพราะเป็นศูนย์รวมของพลัง เมื่อตีจุดนี้ จะทำให้เกิดการดูดซับพลังงานอย่างมหาศาล จาก Cord ที่ยาวมากขึ้นเพื่อดูดซับพลังงาน วงขามีความเร็วสูง
5. ตีบริเวณท้อง ช่องท้องนี้ก็เป็นจุดที่สำคัญ การตีให้ตีรอบๆ ช่องท้องเป็นวงกลม ยิ่งตีมากเท่าไหร่ ทำให้ดูดซับประจุไฟฟ้ามาที่ช่องท้องมากขึ้น เมื่อเข้าสู่ภาวะสมดุล จะทำให้ซีรีเบลลัมลงมาอยู่บริเวณช่องท้องหรือจุดพักจิต การเข้าสมาธิจึงง่ายดายและมีความสุขอยู่กับการฝึกปฏิบัตินั้น
6.ตีบริเวณ หัวใจ เพราะหัวใจอยู่ในรูปของสนามแม่เหล็ก เป็น electo magneto มีไฟฟ้าจำนวนมหาศาลเพียงแต่เราจะอยู่รอดได้ไหม เมื่อจิตเราแข็งแกร่งแต่กายรับไม่ได้จากไฟฟ้าที่เข้ามาอย่ามหาศาล จึงต้องตีบริเวณหัวใจ และทำเส้นสายสนามพลังที่หัวใจ โดยให้สัมพันธ์กับลมหายใจ เพื่อให้มีความเร็วที่สูง ปลายตะเกียบต้องเชื่อมต่อกับชั้นไอโอโนสเฟียร์ ก็จะเกิดความเร็วที่สูงยิ่ง ไม่เป็นอันตราย
7. ตีบริเวณท้ายทอยและต้นคอ โดยการก้มให้มากที่สุดและตีบริเวณนี้ จะสังเกตได้ว่าเมื่อตีพลังงานจะผลักลงไปที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้าและพื้นฐาน และเมื่อหยุดตีใช้สันตะเกียบชี้ให้ชนเรเยอร์ รวมทั้งใช้ข้อมือซ้ายมาประกบกับตะเกียบที่ถืออยู่มือขวา โดยชี้ตะเกียบขึ้น จะมีพลังงานถูกดูดขึ้นมาอย่างรุนแรง เป็นการพัฒนาซีรีเบลลัมให้มีความเป็นสนามแม่เหล็กมากขึ้น
8.ตีบริเวณ บีเทน เป็นส่วนที่สำคัญ ทำให้ความเร็วของน้ำในสมองมากขึ้น เมื่อเร็วแล้ว ใช้ปลายตะเกียบแตะเลเยอร์ มือจะลอยขึ้นมาที่บีเทนและมือซ้ายก็ลอยตามมาที่บริเวณบีเทน เอียงลงจะเกิดการดึงพลังงานขึ้นจากด้านล่าง กดปลายตะเกียบ พร้อมกับปิดข้อศอก นำสันตะเกียบมาที่ไอชีวิต และเอียงพร้อมกับคลิก จะเห็นการดึงพลังงานจากช่วงล่างขึ้นมาที่สมองส่วนกลาง เพื่อพัฒนาเส้นสายอนุภาค ที่บีเทน และซีรีเบลลัมให้มีความเป็นสนามแม่เหล็กอย่างเข้มข้น
การตีตะเกียบเซียนจึงถือว่าเป็นส่วนที่จำเป็นอย่างมาก เพราะยิ่งมีความเข้มข้นของสนามแม่เหล็ก ไฟฟ้าย่อมมากตาม ทำยังไงให้เราอยู่รอด และพัฒนาไปให้สู่ความสำเร็จ ก็ต้องใช้ตะเกียบนี่เอง
ตะเกียบเซียนมีความพิเศษเพิ่มเติม จากโพสต์ที่แล้ว
สามารถใช้ตะเกียบที่ยาว เพื่อต่อให้พลังงานออกไปไกล เมื่อออกไปไกลจะทำให้ซีรีเบลลัมออกมาดูดซับพลังงานที่มหาศาลที่อยู่รอบนอก ส่งผลให้นิวตรอนหรืออนุภาคมีจำนวนมากขึ้น ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กก็มากขึ้นตามมา ความเร็ววงรอบของพลังงานก็จะสูงขึ้น การใช้ตะเกียบ ที่ยาวใช้ควบคุมเส้นสาย ทำให้โควาเลนต์ของเส้นสายอยู่ในวงกว้าง ประจุไฟฟ้าก็จะมากตาม การให้ตะเกียบพุ่งไป
เราสามารถนำตะเกียบมาพัฒนาเส้นสาย โดยใช้ตะเกียบ 2 อัน อันแรก แตะให้ชนเส้นเมอริเดียนที่อยู่รอบเส้นแรงหรือเส้นประธานในแต่ละเส้น แล้วใช้ตะเกียบอีกอัน โดยการใช้สันมาสำทับ คลิกหาองศา บิดลงกระแสจะไหลลงด้าน ใช้ในกรณีบำบัดรักษา พลังงานจะถูกปลดปล่อยลงด้านล่าง บิดขึ้นพลังงานจะถูกดูดขึ้นบริเวณศีรษะ เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณ บิดซ้าย หรือขวา เป็นการทำให้เปิดช่องทางหรือโควาเลนต์ให้กว้างขึ้น ซึ่งอยู่ในภาวะไม่สมดุล พลังงานจะดูดซับและขับเคลื่อนได้อย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ตะเกียบอันใดอันหนึ่งต้องนิ่ง เพื่อให้มีจุดศูนย์กลางที่แน่นอน เมื่อนั้นจะเกิดการทะลุทะลวงภายในร่างกาย จะเกิดความเร็วเพิ่มขึ้นในการขับเคลื่อนของพลังงาน
การตีตะเกียบเป็นการใช้การสั่นสะเทือนเพื่อให้ประจุไฟฟ้ามีจำนวนมากขึ้น ใช้ในการบำบัดและพัฒนา เพียงแต่ตีตัวเราเพื่อดึงประจุไฟฟ้าให้ออกมาที่ปลายตะเกียบ สามารถนำไปทะลุทะลวงจุด รักษาผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว เพราะตะเกียบเป็นแรงส่งที่ดียิ่งให้ผู้ป่วยถือตะเกียบแล้วชี้ไปด้านหน้า ส่วนผู้บำบัดเมื่อตีตนเองแล้ว ใช้ตะเกียบตรงสันขอบ ชี้ไปที่ตะเกียบของผู้ป่วย เมื่อนั้นจะเกิดการไหลของพลังงานได้อย่างรุนแรงและรวดเร็ว ส่วนประจุไฟฟ้าเมื่อออกมาแล้วจะสัมพันธ์กับโควาเลนต์ของผู้ที่บำบัด ทำให้เกิดความเร็วมากขึ้น อนุภาคจะถูกดึงเข้าสู่แกนกลางมากขึ้น สู่ความเป็นสนามแม่เหล็กอย่างยิ่งยวด
การใช้ตะเกียบ ถ้าเราตีแล้ว กระแสไฟฟ้าจะมี เพดานคลื่นที่สูง สามารถนำมาบำบัดรักษาตัวเองและผู้อื่น โดยใช้ น้ำมันเหลือง ร่วมด้วย หรือการใช้หยก กับตะเกียบ จะทำให้เส้นสายภายในและร่างกายภายในเย็นทั้งระบบ จากความเร็วที่เกิดขึ้น
การใช้ตะเกียบ สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพียงจับตะเกียบมือขวา โดยชี้ไปให้ชนเลเยอร์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ส่วนมือซ้าย ให้หาเส้นแรงด้านข้างลำตัว ค่อยๆ บิดมือให้นิ้วก้อยตั้งขึ้น เพื่อให้พลังงานไหลลื่นเข้าที่ง่ามนิ้วก้อยมือซ้าย เมื่อทำแล้วจะมีความเร็วหน่วงเหนี่ยวนำ จะถูกดูดรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ทุกอย่างอยู่ในรูปคลื่น เพียงคุณสัมผัสคลื่น และรู้ทิศทางของคลื่น คุณจะสามารถพัฒนาจิตของเราที่อยู่ในรูปคลื่นพลังงานได้อย่างไร้ขีดจำกัด เพียงต้องมีองค์ความรู้ ที่เป็นธรรมชาติอย่างแม้จริง ซึ่งปราศจากความคิด ใช้แต่ความรู้สึกที่เกิดจากคลื่นพลังงานเข้าไปดูทุกขณะจิต เมื่อนั้นกระแสพลังงานจะมีความเร็วไม่ติดขัด ให้คุณไม่ต้องทุกข์อีกต่อไป เพราะคุณเข้าใจธรรมชาติในรูปคลื่นว่าเป็นเช่นนั้นเอง...