การสวดมนต์ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนของพลังงาน จากการเปิดช่องปาก ซึ่งก็คือเปิดเพดานคลื่นให้อยู่ในรูปกระแสสลับ หรือ AC จึงทำให้เกิดการขับเคลื่อนของพลังงานที่สูง และการสวดมนต์เมื่อออกเสียง จะเกิดการเกร็งท้องอย่างสืบเนื่องส่งผลให้พลังงานและน้ำขึ้นสมองในอัตราเร่ง ทำให้เกิดการพัฒนาจิตวิญญาณตามมา และการสวดมนต์ถ้าสวดเป็นประจำ ทำให้สัญญาขยายตัวออกไป เป็นสัญญาที่ใหญ่ ซึ่งมีวงแหวนที่กว้างมากขึ้น เพราะฉะนั้นจะสามารถดูดซับประจุไฟฟ้าได้อย่างมหาศาลและสืบเนื่อง การสวดมนต์โดยไม่เดินพลัง จะทำให้พลังงานขับเคลื่อนแบบไร้ทิศทาง อาจได้แต่ประจุไฟฟ้า ไม่มีการแยกประจุและอนุภาค
การเดินพลัง หมายถึงการเดินเส้นสายให้เข้าสู่วงจร ที่เป็นวิถีโค้ง โดยใช้อวัยวะภายในร่างกายที่เชื่อมต่อกับเส้นสายที่อยู่ที่ซีรีเบลลัม ซึ่งสัมพันธ์กับเส้นสายภายในและภายนอก มีการจัดระบบระเบียบ เพียงแต่มันต่างกันตรงที่ การเดินพลัง การเกร็งท้องจะน้อยกว่าการสวดมนต์
เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการพัฒนาทั้งจิตวิญญาณ และเส้นสายให้มีความเป็นสนามแม่เหล็กมากขึ้น ต้องใช้การสวดมนต์และการเดินพลังร่วมกัน การสวดมนต์ถึงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกกรณีหนึ่ง การสวดมนต์ในภาษาจิตวิญญาณ หรือภาษากูโบธ เกิดจากการสมองท้ายทอยตึง มีประจุไฟฟ้าส่วนเกินสูง ทำให้เกิดภาวะควบคุมระบบประสาทคู่ที่ 5 ไม่ได้ จึงต้องสวดมนต์แบบภาษาจิตวิญญาณ เพื่อปลดปล่อยพลังงานส่วนเกินออกมา กระแสพลังงานไม่รุนแรงพอ แต่ถ้าสวดมนต์โดยใช้คาถาต่างๆ เพราะคาถาต่างๆ จะมีสัญญาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดความเร็ววงรอบของน้ำในสมองมากขึ้น รวมถึง จิตมีที่เกาะ ในคาถาที่ได้ท่องบ่น และยิ่งสวด จะยิ่งขยายสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า เกิดการเชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นโดยไม่รู้ตัวด้วยความเร็ววงรอบของพลังงานที่เกิดขึ้น
ที่ฝึกปฏิบัตินี้เป็นแนวทางวิทยาศาสตร์ ที่ได้ถูกทดลอง ทดสอบ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อฝึกปฏิบัติที่ถูกต้อง จากการสัมผัสพลังงานที่เกิดขึ้น เราต้องสัมผัสคลื่นได้ เราถึงจะสามารถพัฒนาจิตให้สู่ความสำเร็จทางจิต ที่เป็นหนทางสู่ธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะทุกอย่างอยู่ในรูปของคลื่นพลังงาน