คนที่จะเข้าใจธรรมชาติของจิต จะต้องเป็นผู้ที่เฝ้าดูในสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ตลอด
แม้มีการสั่นสะเทือนทางความคิด ส่งผลกระทบกับจิตใจ สัญญานั้นเป็นสัญญาที่ใหญ่ อาจต้องใช้เวลาในการดู เมื่อเราดูคลื่นที่เป็นสัญญานั้นไป เราต้องทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าดูที่ดี คอยสังเกตถึงสิ่งที่เกิด ขึ้น ทุกอย่างเป็นมายา ทำให้เราปรุงแต่งจิต แต่ถ้าเราไม่ใช้ความคิดปรุงแต่ง ดูมัน เห็นมันไปในรูปคลื่นพลังงานแล้ว ต้องยอมรับ และเผชิญ ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าสุข หรือทุกข์ มันไม่มีอะไรแน่นอน นี่แหละคือความจริงของธรรมชาติที่เกิดขึ้น การรับรู้เฝ้าดู ติดตามในสิ่งที่เกิดขึ้น ในรูปของคลื่นพลังงาน รับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของคลื่นพลังงาน เมื่อนั้นจะเกิดความเร็ววงรอบจากการที่เราเฝ้าดู สิ่งนั้นจะถูกขยายสัญญาที่เกิดขึ้นออกไป จนกระทั่งสัญญานั้นอยู่ในภาวะสมดุล จึงไม่เกิดความคิดอะไรขึ้นมาให้เราทุกข์อีก ต้องดูความรู้สึกบ่อยๆ จนกระทั่ง เมื่อเกิดอะไรขึ้นเราจะเฝ้าดูมันอย่างกระหายที่อยากจะรู้ว่าเราชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า เวลาเกิดเหตุการณ์ใดๆ ก็ตาม ควรมีคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยให้เราสามารถมีสติในการดูได้และคอยเตือนเรา เพื่อให้เราสามารถเข้าสู่สภาวะจิตว่างและคลายความยึดติดได้
ข้อแรก เราต้องรับรู้ เฝ้าดู สิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ตลอดและต่อเนื่องโดยการเผชิญ และยอมรับ
ข้อที่สองคือ จงอย่าบังคับ ข่มขู่ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของกาย จิต จิตวิญญาณ จงปล่อยให้อิสระ อย่าเพ่ง อย่าเกร็ง อย่าเคร่ง อย่าเครียด ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของกายหรือสมองเป็นอันขาด จงคล้อยตามความรู้สึกในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่ออยากคิดก็คิดไป แต่ต้องดำรงความรู้สึกอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งให้ตลอดและต่อเนื่อง
ข้อที่สาม จงทำใจ ให้เป็นกลางไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ยินดี ยินร้าย ตั้งสติดำรง ณ ปัจจุบัน ไม่ประหวัดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ณ เวลานั้น จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดอะไรขึ้น อย่าตัดสินว่าสิ่งนั้นไม่ดี ดี แต่ให้รับรู้เฝ้าดูในสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ตลอดและต่อเนื่อง
ข้อที่สี่ จงอย่าวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้น เกิดหรือไม่เกิดก็แล้วไป เป็นหรือไม่เป็นก็แล้วไป เห็นหรือไม่เห็นก็แล้วไป เคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวก็แล้วไป หายหรือไม่หายก็แล้วไป สำเร็จหรือไม่สำเร็จก็แล้วไป ในยามที่มีความวิตกกังวล ข้อสี่นี้จะผุดขึ้นมา ให้มาเตือนสติแก่เรา ทำให้เราคลายการยึดติดในสิ่งยังไม่เกิดขึ้น
ข้อที่ห้า จงทำจิตใจให้สบาย ปลอดจากความคิด ปลอดจากตัวกูของกู เพราะตัวกูของกู ต้องดำเนินสู่ความว่างเปล่า หาสาระแก่นสารไม่มี ถ้าเรายังยึดอยู่ เราจะรู้สึกอึดอัด หดหู่ซึมเศร้า เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ เมื่อละจากตัวตนเมื่อนั้นเราจะไม่มีการปรุงแต่งทางความคิดเข้ามาอีกเลย ข้อที่ห้าจะผุดขึ้นเพื่อให้เรามีสติในการดูสิ่งที่เกิดได้มากขึ้น
ข้อที่หก จงละจากอุปาทานทั้งปวง จงปล่อยวางเรื่องราวทั้งปวง สรรพสิ่งทั้งปวงไม่สามารถยึดมั่นถือมันได้เลย ถ้าเรายังยึดอยู่ เท่ากับติดอยู่ในคลื่นหรือสัญญาที่ทำให้เราเจ็บปวด กระแสพลังงานจะขับเคลื่อนช้าลง ทำให้อัดแน่นที่ไธมัสเกิดอาการหดหู่ซึมเศร้า แต่ถ้าเราปล่อยวางได้ กระแสพลังงานจะขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง ไม่ติดค้างที่ใด เราจะไม่เกิดทุกข์อีกเลย ข้อที่หกจะเกิดขึ้นเพื่อเตือนให้เรามีสติในการเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นให้ได้ตลอดและเนื่องและปล่อยวางได้ ทำให้จิตเราอิสระคลายความยึดติด ความทุกข์ก็จะไม่เกิดขึ้น
ข้อสุดท้าย ข้อที่เจ็ด จงละจากกิเลสทั้งปวง ละจากความอยากทั้งปวง ความไม่อยากทั้งปวง ไม่หวังอะไร ไม่เอาไม่เอาอะไร...เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อมทางจิต ข้อที่เจ็ดจะเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ โดยไม่ได้ใช้ความคิด แต่มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเอง
เราจะเป็นพุทธะที่สมบูรณ์แบบเมื่อเราฝึกการรับรู้เฝ้าดูในสิ่งที่เกิดขึ้นทุกขณะจิต และเห็นความจริงของธรรมชาติของจิต ทำให้คลายความยึดติด ละความเป็นอัตตาตัวตน จึงเกิดเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้ตลอดเวลา
สำหรับผู้ที่ฝึกพลังสมาธิ ควรใช้หลัก 7 ข้อนี้ในการเดินทางเพื่อความสำเร็จทางจิต ยิ่งมีอัตราความเร็ววงรอบที่สูงแล้ว จะเกิดการผุดหลัก 7 ข้อที่จะไขปัญหาและคลายความทุกข์ลงได้ และสามารถนำพาเข้าสู่สภาวะจิตนิ่ง พร้อมเข้าสู่ความเป็นพุทธะที่สมบูรณ์