คนที่มีพรสวรรค์ (บุคคลที่สามารถรับรู้เหนือกายภาพ มีพลังคุณฑาลินีสูง) และคนที่เจ็บป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นเพราะมีจำนวนประจุไฟฟ้าในกระแสเลือด ส่งผ่านไปที่ซีริเบลลัมเป็นจำนวนมหาศาล แต่ไม่มีวิวัฒนาการของซีริเบลลัม ไม่มีการเปลี่ยนคลื่นความถี่ของสมอง ทำให้ประจุไฟฟ้าที่ซีริเบลลัมที่เต็มแล้ว สะท้อนกลับตามอวัยวะภายในร่ายกาย ไปตามเส้นสุขภาพของร่างกาย เกิดการฝังแน่นติดอยู่ตามเส้นสุขภาพ ส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วย มีอาการตึง ดึงรั้งได้ง่ายกว่าคนทั่วไปและส่งผลไปตามอวัยวะต่างๆภายในร่างกายทุกระบบ ใครๆ ก็บอกว่ามันเป็นโรคเวร โรคกรรม แต่เมื่อไปปล่อยกรรม หรือทำบุญอุทิศส่วนกุศลแล้ว ก็ทุเลาได้แค่ระดับหนึ่งและอาการต่างๆก็กลับเข้ามาอีก ไม่มีโอกาสที่หาย การพัฒนาคลื่นความถี่ของสมองจึงเป็นสิ่งสำคัญ คนทั่วไป จะอยู่ในรูปประจุไฟฟ้า มีคลื่นความถี่ที่สั่นสะเทือนสูง อยู่ในย่านความถี่ต่ำ เพราะฉะนั้นจะรับคลื่นความถี่นี้ได้ง่ายทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีพรสวรรค์ จะมีกลุ่มเส้นเลือดดำที่ใหญ่ สามารถดูดซับประจุไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย ยิ่งมีอารมณ์โกรธหงุดหงิด เศร้าหมอง ฟุ้งซ่าน อารมณ์พื้นฐาน พลังงานเหล่านี้จะเข้ามาเพราะมีคลื่นความถี่ที่สั่นสะเทือนตรงกัน คนท้อง หรือคนที่มีประจำเดือน ไม่ควรไปในแหล่งชุมชนที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก เช่นห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ วัด โรงพยาบาล เป็นต้น เพราะคนท้องเส้นเลือดดำช่วงล่างจะขยาย เช่นเดียวกันคนมีประจำเดือนเส้นเลือดดำช่วงล่างก็ขยายเช่นเดียวกัน ทำให้สามารถดูดซับประจุไฟฟ้าเหล่านี้ได้เป็นอย่างนี้ กลับมาอาจมีอาการไม่สบายตัว เวียนศรีษะ อึดอัด คลื่นไส้อาเจียน ปวดตามกล้ามเนื้อ และตามข้อได้ ทำอย่างไร เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของพลังงาน เราต้องเปลี่ยนคลื่นสมองให้อยู่ในคลื่นความถี่สูง มีการจัดวงจรให้พลังงานเดิน และมีการขับเคลื่อนเป็นวิถีโค้ง คลื่นอยู่ในรูปของสนามแม่เหล็ก มีการดูดผลักตลอดเวลา เมื่อนั้นร่างกายก็จะพ้นจากความเจ็บป่วย อีกทั้งยังสามารถพัฒนาจิตได้ เพราะเมื่อซีรีเบลลัมเกิดการพํฒนาจนอยู่ในรูปสนามแม่เหล็กแล้ว จะเกิดการขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงพลังงานจะลอยขึ้นสู่ด้านบน ไม่สะท้อนกับเข้าอวัยวะภายในร่างกาย อีกทั้งยังสามารถรับรู้พลังงานผ่านเส้นสายของร่างกายที่เชื่อมต่อกับเส้นสายของจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกัน เพียงการพัฒนาซีรีเบลลัมให้มีความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กอย่างยิ่งยวด เมื่อได้ยินได้ฟังสภาวธรรมใดๆ ก็สามารถรู้แจ้งในสิ่งนั้นอย่างชัดเจน ด้วยความเร็ววงรอบของพลังงานที่สูงยิ่ง สามารถประมวลทุกอย่างได้โดยฉับพลัน คนที่มีพรสวรรค์ คนที่เจ็บป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุ คิดว่าเป็นโรคเวร โรคกรรม ถือว่าเป็นวาสนา ถ้าเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นวิกฤติ เราต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ที่เราจะสามารถรักษากายนี้และพัฒนาจิต จิตวิญญาณ ให้ไร้ขีดจำกัด ได้อย่างไร การเป็นโรค เป็นลาภ อันประเสริฐโดยแท้ ถ้าเราไม่เป็นโรค เราคงไม่หาสิ่งที่มีค่าในที่สุดของชีวิตของเรา พลังอันยิ่งใหญ่ คือพลังที่ซ่อนไว้ในกายของ เราหมู่มวลมนุษย์นี่เอง...
คนมีพรสวรรค์ทำไมถึงสามารถดูดซับพลังงานได้มากกว่าคนทั่วไป และส่งเสริมการพัฒนาจิตได้ในอัตราเร่ง ที่คนทีพรสวรรค์เป็นอย่างนี้เพราะความคิดของคนที่มีพรสวรรค์ จะเป็นคนช่างคิด สร้างสรรค์งานได้ดี และอารมณ์ความรู้สึกถึงพร้อม ทำให้กลุ่มเส้นเลือดดำที่จักระ 1 ดูดซับพลังงานได้อย่างมหาศาล ซึ่งก็คือพลังคุณฑาลินีที่เป็นวัตถุดิบในการพัฒนาจิตขั้นสูง แต่คนที่มีพรสวรรค์ บางครั้งโทษตัวเอง ว่าเราทำไมเป็นคนแบบนี้ เมื่อเกิดอารมณ์ความรู้สึก ฉันเป็นคนไม่ดี คิดอย่างนี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่มีความรู้สึกที่เป็นธรรมชาติ การยอมรับตนเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าคนที่มีพรสวรรค์ไม่ยอมรับตัวเอง จะเกิดภาวะที่พลังงานไม่สามารถปลดปล่อยออกจากร่างกายได้ เกิดการสะท้อนกลับของพลังงานไปตามอวัยวะร่างกายต่างๆ การรักษาทางการแพทย์ก็เป็นไปได้ยาก ไปหาแพทย์ ก็ไม่ทราบสาเหตุ แต่ถ้าสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดและยอมรับทุกสิ่งที่เข้ามา และเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะไม่เกิดการสะท้อนกลับของพลังงาน จะเกิดความเร็ววงรอบของพลังงานอย่างอิสระ จะสามารถปลดปล่อยพลังงานได้อย่างสูง และถ้ามีการได้เรียนรู้เรื่องวงจรของพลังงานให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน แล้ว เมื่อนั้นคนที่มีพรสวรรค์ จะเหมือนเสือติดปีกในการพัฒนาจิต การสร้างการรับรู้ในเรื่องพลังงานหรือเรื่องคลื่นจะง่ายกว่าคนปกติ การขับเคลื่อนของพลังงานก็จะรวดเร็ว เพราะคนมีพรสวรรค์สามารถดูดซับประจุไฟฟ้าเข้ามาอย่างมหาศาล การพัฒนาจิตระดับสูง การเข้าฌาน การแปรธาตุ ความสำเร็จทางจิต การบรรลุธรรม ก็มาจากปริมาณประจุไฟฟ้าที่เข้ามาอย่างมหาศาลจากพลังคุณฑาลินีที่เหลือล้น จนกลายเป็นคุณอันวิเศษ และเมื่อฟังสภาวธรรม จะสามารถเข้าใจ เข้าถึงสภาวธรรมได้อย่างถ่องแท้ จนกลายเป็นคุณธรรมอันวิเศษ...ไปในที่สุด
สิ่งที่คนมีพรสวรรค์ได้เปรียบกว่าคนทั่วไปคือการรับรู้ที่เหนือกายภาพ แต่ยังอยู่ในรูปของประจุไฟฟ้า สามารถดูดซับประจุได้อย่างไม่จำกัด ถึงแม้ไปรับพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ช่วงแรกจะเกิดความเร็ววงรอบของพลังงาน จากใจที่มีความรักความศรัทธาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้จักระ4 ขยายดูดซับประจุไฟฟ้าเข้าสู่วงรอบของพลังงาน เป็นจำนวนมาก ความเร็ววงรอบของพลังงานจึงสูงตามมา มีการสลัดประจุ สารแห่งความสุขจึงหลั่ง แต่พอกระแสความเร็ววงรอบพลังงานช้าลง จะเกิดการกองของประจุไฟฟ้าที่เข้ามาตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยเฉพาะที่ไธมัส จะเกิดการอัดแน่นของพลังงานบริเวณหน้าอก หดหู่ซึมเศร้าแบบไม่ทราบสาเหตุ เบื่อหน่าย ท้อแท้ โลกนี้ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย ปวดเมื่อยล้าตามกล้ามเนื้อและข้อกระดูก ก็เพราะความเร็วของพลังงานไม่คงที่ การที่จะทำให้ความเร็วคงที่ ต้องอยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก คือมีการขับเคลื่อนดูด ผลักของพลังงานเป็นอัตโนมัติ และมีการฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความเร็ววงรอบที่เกิดขึ้นให้ได้ตลอด แต่สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคลื่นสมองให้อยู่ในย่านความถี่ที่สูง และอยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก ควรทุบตีตามร่างกายให้มากๆ เมื่อทุบตีส่วนต่างๆของร่างกาย จะเกิดการกระจายตัวของพลังงานได้ ยิ่งตียิ่งเกิดการสั่นสะเทือนบริเวณผิว มีการเรียกประจุไฟฟ้าที่อยู่บริเวณกล้ามเนื้อ ข้อกระดูก ระบบอวัยวะภายใน ออกมาสู่ผิวหนัง และกระจายตัวออก ส่วนเมื่อสั่นสะเทือนที่ผิวแล้ว จะเกิดการดูดซับพลังงานเข้ามาอีก ทำให้เกิดความเร็ววงรอบในการขับเคลื่อนพลังงาน ยิ่งมีความเร็วมากเท่าไหร่ การสลัดประจุก็จะมากตามไปด้วย ทำให้มีความสุขในการทุบตีตามร่างกายตัวเอง เมื่อทุบตีตามร่างกายจนรู้สึกสบาย ควรออกกำลังกายเพื่อเกิดความแข็งแรงมากขึ้น โดยการแกว่งแขนวันละ 1000 ครั้ง ทำให้ต่อมน้ำเหลือง มีการขับเคลื่อนไปทั้งระบบของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรงขึ้น ภาวะที่มีการกระจุกตัวของพลังงานก็จะน้อยลง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน การเกิดเซลลูไลต์ตามส่วนต่างๆ ก็จะลดลง ส่งผลการนอนหลับได้ดี การออกกำลังกาย จะทำให้ออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดีขึ้น ขณะออกกำลังกายควรหายใจเข้าทางจมูกยาวๆ หายใจออกยาวๆทางปาก เพื่อให้ร่างกายมีขบวนการเผลาผลาญที่สมบูรณ์ ซึ่งการแกว่งแขนสามารถปรับการทำงานของร่างกายทั้งระบบให้อยู่ภาวะปกติสมดุลได้ สำหรับผู้ที่ฝึกที่พัฒนาแล้วมี ความเร็ววงรอบสูง ถ้าไม่ขยันออกกำลังกายและมีวินัยในการฝึกปฏิบัติ ทำให้ความเร็ววงรอบของพลังงานช้าลง อาจมีอาการหดหู่ซึมเศร้า เบื่อหน่ายได้เหมือนกันหรือมีการกระจุกตัวของพลังงานได้เช่นเดียวกัน ก็ต้องใช้การทุบตีตามหน้าอก ศรีษะและส่วนต่างๆของร่างกาย รวมทั้งเคลื่อนไหวบิดตัวไปมาให้พลังงานเคลื่อนตัวเสียก่อน จนมีความเร็ววงรอบแล้วจึงฝึกปฏิบัติได้อย่างมีความสุข และรักษาความเร็ววงรอบที่สูงนั้นไว้ได้เช่นเดียวกัน ......สำหรับผู้ที่ฝึกพลัง จะสามารถแก้ไขสภาวะเช่นนี้ได้เร็วกว่าคนทั่วไป เนื่องจากมีกระแสที่เคลื่อนตัวอยู่แล้ว ......เพียงแต่ความเร็ววงรอบที่ช้าลง ทำให้เกิดการกระจุกของพลังงานได้เหมือนกัน......กายกับจิตต้องไปพร้อมๆกัน กายต้องแข็งแรง จิตจึงจะกล้าแกร่งได้แบบ ไร้ขีดจำกัด