คนที่ฝึกพลัง ทำไมต้องยุ่งเกี่ยวกับคนถึงจะพัฒนาจิตได้ดี
เพราะคนที่ฝึกพลัง ถ้าอัตราความเร็ววงรอบของพลังงานช้าลง แต่อัตราการเข้าพลังงานยังสูงอยู่ จะเกิดการคั่งค้างพลังงานภายในร่ายกาย บริเวณไธมัส ทำให้หดหู่ซึมเศร้า กล้ามเนื้ออ่อนล้าอ่อนแรง ท้อแท้ เบื่อหน่าย แต่เมื่อยุ่งกับคนแล้ว โดยการบำบัดรักษาผู้อื่น อัตราความเร็วของผู้ฝึกพลัง จะขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง เกิดการสลัดประจุ สารเอนโดรฟินหลั่ง ร่างกายจะรู้สึกมีพลัง สดชื่น เพราะฉะนั้นคนที่ฝึกพลังจึงต้องทำตัวเป็นโพธิสัตว์ เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ ทั้งกายและใจ คนที่ฝึกพลัง จึงต้องมีความรักเป็นที่ตั้ง ไม่มีอคติแก่ใคร เมื่อนั้นอัตราความเร็ววงรอบจะมีความเร็วสูง ไม่มีอะไรที่ติดขัด ไม่ยึดติดในคลื่นความถี่เฉพาะ จิตเป็นอิสระ เมื่อนั้น ผู้ที่ฝึกพลังจึงจะพ้นภัย ในคัมภีร์บทเริ่มต้นสู่ตันตระ ทรรศนะแห่งความบริบูรณ์กล่าวไว้ว่า "จงอุทิศตนให้ผู้อื่น เมื่อนั้นจะทำให้เกิดการขยายตัวของพลังงานไม่จบสิ้น" การดูดซับพลังงานจะมากขึ้นแต่ไม่เกิดเอ็ฟเฟ็คใดๆ เนื่องจากการเป็นผู้ให้ มองเห็นผู้อื่นก่อน กระแสภายในตัว จะออกไปสู่วงรอบนอก ความเร็ววงรอบสูง
คนที่ฝึกพลัง ถ้าไม่มีความรัก ความเมตตาที่จะช่วยเหลือคน จะเกิดกระแสพลังงานที่ช้าลง ทำให้ไม่สามารถบรรลุธรรม หรือสำเร็จทางจิตได้เลย เพราะเมื่อดูแต่ตนเอง ไม่ได้ดูผู้อื่น กระแสภายในจะไม่เกิดการขยายตัว จะอยู่ภายในตัว จึงได้ความเร็วแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ยิ่งอยู่กับผู้คนเป็นจำนวนมาก ซึ่งทุกคนมีปริมาณประจุไฟฟ้าสูง จากยุคโลกไอที ก็จะสามารถส่งเสริมสนามพลังของผู้ที่ฝึกพลังได้เป็นอย่างดี เส้นสายของผู้ฝึกพลัง จะเข้าไปดูดซับพลังงาน พัฒนาเส้นสายให้มีความหนาแน่นมากขึ้น
คนที่ฝึกพลัง เมื่อพัฒนาจนกระทั่งกระแสละเอียดเนียน มีอนุภาคมากแล้ว เมื่ออยู่กับตัวเอง พลังจะขับเคลื่อนไม่เร็วพอ แต่ถ้าไปอยู่กับผู้คนทั้งหลาย สนามแม่เหล็กจะทำงาน เข้าหาประจุไฟฟ้าที่มีอยู่ในผู้คน กระแสพลังงานภายในจะรุนแรงมากขึ้น และชัดเจน เมื่อเฝ้าดูจะเกิดความเร็ววงรอบของพลังงานสูงขึ้น จนกระทั่งเข้าสมาธิได้ไปในที่สุด
คนที่ฝึกพลัง ถ้าฝึกเป็นหมู่เป็นเหล่า จะเกิดอนุกรมพลังงานที่ยิ่งใหญ่ เพราะทุกคนต่างมีศักยภาพ เมื่อมาอยู่รวมกัน ยิ่งทวีคูณพลังมากขึ้น เส้นสายจะแข็งแกร่งและมีจำนวนมากขึ้น และเป็นการพัฒนาจิตเมื่อมาอยู่รวมกันได้ในอัตราเร่ง
คนที่ฝึกพลังคนเดียว ฝึกอย่างหนักแค่ไหน ก็ได้ระดับหนึ่ง วิวัฒนาการของจิตเป็นไปอย่างช้า ไม่เหมือนกับการฝึกเป็นหมู่เป็นเหล่า เพราะน้ำในสมองของแต่ละคนจะขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง เมื่อมาอยู่รวมกัน จึงขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงยิ่งขึ้นไป จิตวิญญาณภายในก็จะเติบโต สามารถรับรู้ได้ตั้งแต่หัว จรดเท้า และภายนอกร่างกาย จนกระทั่งเชื่อมต่อระบบและจักรวาลได้ในที่สุด การฝึกเป็นหมู่เหล่า และการอยู่กับผู้คน บำบัดผู้คน จะยังผลให้เกิดอัตราความเร็ววงรอบของน้ำในสมอง อยู่ในรูปของไอโซโทปมากขึ้น เกิดการแปรธาตุ แตกตัว เป็นปฏิกิริยานิวเคลียร์ ซึ่งยังผลไปสู่ความสำเร็จทางจิตเมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม