แล้วทำไมคนถึงทุกข์หล่ะ เพราะคนใช้แต่ความคิดหรือสมองส่วนหน้าในการปรุงแต่งสิ่งต่างๆ ซึ่งการปรุงแต่งถือว่ามีคลื่นความถี่เฉพาะ ความอิสระของจิตยังไม่มี เมื่อนั้น จึงยึดคลื่นต่างๆ ตามการปรุงแต่ง ทำให้ความเร็วของจิตลดน้อยลง จึงส่งผลต่อสภาพจิตใจ ทำให้เกิดความไม่สบายใจ บางครั้งหดหู่ซึมเศร้า ทำอย่างไรหล่ะถึงจะพ้นทุกข็ ก็ต้องทำให้จิตเรามีความเร็วเหนือกายภาพ ที่สามารถดูความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ เมื่ออะไรเกิดขึ้น เราต้องเฝ้าดูการไหลของกระแสให้ได้ตลอดและต่อเนื่อง เมื่อดูมันไปเรื่อยๆ เท่ากับเราดูจิตเป็น เห็นการทำงานของจิตที่ขับเคลื่อน จนกระทั่งมีความเร็วและหายไปในที่สุด ทุกอย่างในโลกนี้ อยู่ในรูปคลื่นพลังงาน ความคิด ก็เป็นกลุ่มก้อนพลังงาน เมื่อมีความคิด จะเกิดการแปรเปลี่ยนของสัญญาใหม่และสัญญาเก่า ถ้าสัญญาเก่าใหญ่มาก ก็จะทำให้เกิดการทุกข์มาก แต่ะเมื่อเราดูมันเป็น เห็นมันไป สุดท้ายมันเป็นเช่นนั้นเองทุกครั้งไป ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นมายาของจิต มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเป็นวัฏจักร เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติที่เป็นอยู่แล้ว ความทุกข์ย่อมไม่เกิด แต่เราควรเข้าไปยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และเผชิญหรือเฝ้าดูมัน จนกระทั่งมันสามารถดับสัญญา หรือขยายสัญญานั้นออกไปไม่หวนคืนมา ถือว่าดับสัญญาแล้ว...
การจะพ้นทุกข์ในแนวสมาธิพลัง ต้องอยู่ในรูปของความเป็นสนามแม่เหล็กที่เข้มข้น มีอัตราความเร็วของพลังงานที่สูง เมื่ออะไรเกิดขึ้นเพียงเฝ้าดูสิ่งนั้น จะเกิดความเร็ววงรอบที่ปั่นพลังงานที่เข้ามาออกไปอย่างรวดเร็ว ความสุขจึงเกิดขึ้นตลอดเวลา ถือเป็นหัวใจแห่งพุทธะเลยทีเดียว เป็นผู้รู้ เพราะมีวงแหวนที่ขยายสามารถดูดซับข้อมูลหรือประจุไฟฟ้าได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ผู้ตื่นคือกระแสพลังงานที่ขับเคลื่อนเป็นอัตโนมัติ แม้ตื่นหรือหลับกระแสก็ขับเคลื่อนอยู่ตลอด เป็นผู้เบิกบานเพราะกระแสพลังงานที่มีความเร็ว จะสลัดประจุไฟฟ้าตลอดเวลา ทำให้เกิดความสุข ความเบิกบานอยู่ทุกขณะจิต....ศาสนาพุทธจึงให้ลด ละ เลิกจากอุปาทานไปสู่จิตที่ว่าง ก็เพราะฉะนี้นี่เอง