ใครนะที่สามารถเข้าสมาธิ ไม่ใช่แต่ละคนจะเข้าสมาธิได้ทุกคน ต้องมีเหตุผลบางอย่าง การที่จะเข้าสมาธิได้บุคคลนั้นต้องมีปริมาณประจุไฟฟ้าในกระแสเลือดอย่างมาก ซึ่งทำให้ซีริเบลลัมมีประจุไฟฟ้าเต็มที่ สมองส่วนนี้จะตึง พื้นฐานหรือจักระหนึ่ง ทำงานดูดซับประจุไฟฟ้า ทำให้บริเวณช่องท้องหรือ Solar plexus มีก๊าซมากจากอัตราปริมาณประจุที่ดูดซับเข้ามา ซึ่งจุดนี้เป็นศูนย์กลางกายที่สามารถล๊อคพลังงานไว้ใน การเข้าสมาธิก็จะเข้าได้อย่างล้ำลึกถึงระดับฌาน อีกอย่างนึงคือซีรีเบลลัมตึงเต็มที่ จะทำให้จักระ 6 ทำงาน จักระทุกจักระก็ทำงานตามไปด้วย จึงเกิดการดูดไปรวมอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ซี่งมีปริมาณประจุไฟฟ้าที่มากที่สุด คนที่มีพรสวรรค์ คนที่มีปริมาณประจุไฟฟ้าสูงทุกคน ใช่ว่าจะเข้าสมาธิได้ ต้อง มาจากการฝึกฝนด้วยตนเอง มีความขยันในการเข้าสมาธิบ่อย ๆ จนมีเทคนิคเป็นของตนเองในการเข้าสมาธิ แต่บางส่วนไม่มีเทคนิคในการเข้าสมาธิ ถึงแม้มีปริมาณประจุไฟฟ้ามาก ก็ไม่สามารถเข้าได้เลย คนที่มีประจุไฟฟ้าจำนวนน้อย จะไม่สามารถเข้าสมาธิได้เลย เนื่องจาก ความเร็ววงรอบจากปริมาณประจุไฟฟ้าไม่เพียงพอในการล๊อคพลังงานเพื่อเข้าสู่จุดนิ่ง ส่วนคนที่ฝึกพลังสมาธิ มีการดูดซับพลังงานอยู่ตลอดเวลา การขับเคลื่อนอยู่ในรูปกระแสอัตโนมัติ มีการดูดผลักตลอดเวลา ยิ่งมีความเป็นสนามแม่เหล็กมากเท่าไหร่ การดูดซับประจุไฟฟ้าก็มากขึ้นตามไปด้วย จึงไม่ยากแก่การเข้าสมาธิได้อย่างล้ำลึก......มีอีกอย่างนึงคนที่มีปริมาณประจุไฟฟ้าสูงแต่มีอัตราความไวในด้านความคิด คำพูด และการกระทำ คืออยู่ไม่นิ่งถึงแม้จะมีปริมาณประจุไฟฟ้าที่ถึงพร้อมมีความเร็วแต่ก็ไม่สามารถเข้าสมาธิได้เช่นเดียวกัน การทำสมาธิจึงอยู่เทคนิคที่ทำอย่างไรให้เกิดความเร็ววงรอบสูง พลังงานถึงพร้อม จึงจะสามารถล๊อคพลังงานให้อยู่จุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์ สำหรับผู้ที่ต้องการหวังผลในการฝึกสมาธิที่เร็วและล้ำลึก เมื่อมีปริมาณประจุจำนวนมากมีความเร็ววงรอบสูงแล้ว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ประจุไฟฟ้าทำร้ายจากการที่ดูดซับประจุไฟฟ้าจำนวนมากในการเข้าสมาธิ ต้องทำให้กล้ามเนื้อช่องท้องแข็งแรง กล้ามเนื้อยืดหยุ่น โดยการทำท่าซิทอัพ ยกปลายเท้าขึ้น เกร็งท้องค้างไว้ ให้นานที่สุด ถ้าต้องการประสิทธิภาพควรเปิดจุดโดยการใช้นิ้วจิ้มตามจุดต่าง ๆ บริเวณช่องท้อง ก็จะสามารถดูดซับประจุไฟฟ้าได้มากขึ้น ส่งผลการเข้าสมาธิได้อย่างรวดเร็วและฌานอย่างล้ำลึก ล้ำลึก ล้ำลึก จริงๆจ้า..
คนที่ทำสมาธิได้ไม่ใช่อยู่ๆ จะนั่งสมาธิแล้วเข้าสมาธิได้ มันต้องสร้างเหตุปัจจัยถึงพร้อมเสียก่อน คือการทำให้สมองมีความเร็ววงรอบที่สูง จากน้ำที่ลอยตัวขั้นสู่สมองอย่างสูง ทำอย่างไรหล่ะ เทคนิคไม่ยาก การทำสมาธิอย่างล้ำลึก เหมาะสำหรับคนที่มีประจุไฟฟ้ามาก ถึงจะเข้าสมาธิได้ เพียงแต่ทำให้ไฟฟ้าหรือพลังคุณฑาลินีลอยขึ้นมาผ่านแนวกระดูกสันหลังพร้อมน้ำตามขึ้นมาที่สมอง จะทำให้เกิดความเร็ววงรอบ การที่จะให้พลังลอยตัวมาจะต้องทำให้เกิดการสั่นสะเทือนเสียก่อน ขณะที่เตรียมตัวนั่งสมาธิ ก่อนหน้านี้อาจจะสวดมนต์ด้วยการออกเสียงและเขย่าตัวเล็ก น้อยไปด้วย จะเกิดการลอยตัวของพลังงานขึ้นมาสู่สมอง ใช้เวลาสวดควรเกิน 30 นาที ไม่งั้นน้ำจะยังไม่ลอยตัวขึ้นมา หรือการออกกำลังกายเคลื่อนไหวไปพร้อมกับสวดมนต์ก็จะยังผลให้น้ำลอยตัวขึ้นสู่สมองได้เร็วขึ้น หลังจากนั้นจึงนั่งทำสมาธิ อาจจะเขย่าตัวเล็กน้อย ไปเรื่อย ๆ การเขย่าตัวจะยังผลให้พลังคุณฑาลินีขับเคลื่อนพร้อมน้ำลอยตัวขั้นมาสู่สมองได้ จนกระทั่งตกอยู่ในภวังค์ ความเร็ววงรอบในสมองก็จะสูงขึ้น เกิดการขยายวงรอบของชั้นพลังงานออกไปสู่วงรอบนอก จนกระทั่งสามารถล๊อคอนุภาคไว้ที่แกนกลาง ที่สมอง จนกระทั่งสามารถลงมาอยู่ที่ Solar plexus คือบริเวณช่องท้อง หรือจุดพักจิตได้โดยสมบูรณ์ ซึ่งจุดนี้จะเชื่อมระหว่างซีรีเบลลัมกับ Solar plexus ที่มีจำนวนประจุไฟฟ้าอย่างมหาศาล จึงสามารถล๊อคอนุภาคไว้ ณ ที่นี้ได้อย่างสมบูรณ์ การทำให้น้ำลอยตัวขึ้นมาที่สมองไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ให้เกิดการสั่นสะเทือนทางความคิด การเคลื่อนไวทางกาย การใช้เครื่องมือเช่นตะเกียบตีบริเวณ สมองส่วนหน้า จะทำให้เกิดการลอยตัวของพลังงานขึ้นมาได้อย่างสืบเนื่อง จึงต้องมีการเคลื่อนไหวให้มาก เพื่อดูดซับประจุไฟฟ้ามาใช้ในการล๊อคพลังงานให้นิ่งโดยสมบูรณ์ การเข้าสมาธิก็จะล้ำลึกได้โดยไม่ยาก....
เมื่อเรารู้จักคลื่นและเข้าใจเรื่องคลื่นแล้ว เราสามารถเข้าใจถึงจิตที่เกิดขึ้นได้อย่างถ่องแท้ เพราะจิตอยู่ในรูปของคลื่นพลังงาน ทำงานเมื่อมีกระแสไฟฟ้า แต่ต้องมีการรับรู้รู้สึกถึงคลื่นนั้นเสียก่อนถึงจะพัฒนาจิตได้ในอัตราเร่ง และมีหนทางในการเดินไปให้ถึง เพื่อสร้างเหตุปัจจัยให้ถึงพร้อมในความสำเร็จทางจิต …
มีคนถามอาจารย์เป๋า ว่า ระหว่างทำสมาธิลืมตา กับทำสมาธิหลับตา อันไหนมันมีข้อดี ขอเสียอย่างไร... ตอบว่า ต้องมาดูกันก่อนว่าการทำสมาธิในแนวทางวิทยาศาสตร์ทางจิตคืออะไร.. การทำสมาธิคือการทำให้คลื่นสมองลดระดับลงจนเกือบหยุดนิ่ง การทำสมาธิโดยการลืมตาจึงถือว่าคลื่นสมองที่ยังไม่ลดระดับลง แต่เราสามารถใช้ ตาดู หูฟัง สมองคิด จิตรับรู้ ถึงสิ่งที่มากระทบขณะที่เราลืมตาแต่ต้องเป็นสิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้น ตื่นกลัว ประจุไฟฟ้าจะเข้ามามหาศาล เกิดความเร็ววงรอบสูง อีกกรณีเครื่องช่วยฝึกที่เราคาดไม่ถึง คือพัดลม การที่เราลืมตามองพัดลม เมื่อมองผ่านรูม่านตาไปที่เรตินาที่อยู่ติดกับจักระ 6 จะทำให้จักระ 6 หมุนปั่นด้วยความเร็วเช่นเดียวกับพัดลม เมื่อนั้นจึงหลับตาและตะหนักถึงสิ่งที่มากระทบที่เกิดขึ้น จะทำให้ยิ่งเกิดความเร็ววงรอบของคลื่นสมอง มากกว่า 60 รอบ/วินาที จำนวนประจุไฟฟ้าจะมีจำนวนมาก และสามารถล๊อคอนุภาคเข้าสู่แกนกลาง ทำให้เกิดการนิ่งอย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าสมาธิอย่างลำ้ลึกคลื่นสมองจะต้องอยู่ในช่วง 1/2-1 รอบ/นาที ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับทุกสิ่งทุกอย่างในระบบและจักรวาล ประหนึ่งเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล และเกิดการผ่องถ่ายองค์ความรู้ในจักรวาลได้เพราะเข้าสู่จุดนิ่งโดยสมบูรณ์ การทำสมาธิในช่วงแรก ควรลืมตาก่อน เพื่อให้เกิดการดูดซับประจุไฟฟ้าเข้ามา ทำให้เกิดความเร็ววงรอบแล้วจึงหลับตาเพื่อเข้าสมาธิ การทำสมาธิจะดำดิ่งได้นาน และเข้าสมาธิได้เร็วขึ้นกว่าเดิม..
ต้องมีองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 5 science เป็นองค์ประกอบ แต่เมื่อมีองค์ความรู้แล้วยังไม่พอ เมื่อพลังมากขึ้นจากการฝึกฝน การที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอดได้จากพลังที่มาก ต้องมีศิลปะในการทำให้พลังงานมีการขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็ว และเส้นสายสนามแม่เหล็กไม่แข็งจนเกินไป เพราะอาจทำร้ายร่างกายของผู้ฝึกได้ จึงมีหนทางที่จะรักษากายนี้ให้อยู่รอดได้ ด้วยความมีสุนทรียภาพ โดยใช้เพลงเข้ามาประกอบในการฝึกสมาธิสำหรับผู้ที่ฝึกพลัง
เพลงแรกที่จะแนะนำคือเพลงของอินเดีย ที่บูชาพระศิวะ พระนารายณ์ หรือบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์อื่นๆ ซึ่งมีดนตรีที่มีจังหวะกระตุ้นพลังคุณฑาลินีให้ลอยตัวขึ้นสู่สมองส่งผลเกิดจิตวิญญาณ ขณะฟัง ให้โยกตัว ใบหน้า ลำคอ ไปมาตามจังหวะเสียงเพลง ตามความรู้สึก จะเกิดการสะบัดของพลังงานดูดซับพลังงานให้ลอยตัวได้มากขึ้น และไม่เกิดการบาดเจ็บ เพราะขับเคลื่อนด้วยความเร็วและปลดปล่อยได้ดี ประกอบกับการร้องคลอตาม ขณะร้องเราจะเกร็งท้องตลอด ทำให้เป็นตัวส่งเสริมให้พลังงานลอยตัวได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน การขับเคลื่อนของพลังงานจะขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง และต้องฟังด้วยใจ เคารพ บูชา ศรัทธาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้ฟังอยู่ ยิ่งทำให้ความเร็ววงรอบของพลังงานมากขึ้นจนเชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธ์ได้อย่างสมบูรณ์....
เพลงที่ต้องฟังต่อมา คือเพลงจีน ที่มีเส้นสายเช่น กู่เจิ้ง ซอจีน เพลงเหล่านี้ใช้ฝึกหลังฟังเพลงอินเดีย บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ดูดซับประจุไฟฟ้าเข้าไปเต็มที่อย่างมหาศาลแล้ว นำมาถักทอเข้าสู่แนวกระดูกสันหลัง โดยใช้ใบหน้าคลิ๊กไปตามเส้นสายที่เราชนเส้น รอบแนวกระดูกสันหลัง เป็นการทะลุทะลวงจุดที่ดี และเป็นการรวมเส้นสายให้เข้าสู่แกนกลาง ใช้ความรู้สึกคล้อยตามพลังงานที่เกิดขึ้นที่แนวกระดูกสันหลัง จนกระทั้งเส้นสายเริ่มละเอียดเนียน
เพลงสุดท้ายใช้เพลงที่บ่งบอกความจริงของธรรมชาติ คือเพลงที่เป็นธรรมะ เช่นเพลงธรรมจักรกัปวัตนสูตร เป็นเพลงที่ดี เมื่อเรามีความเร็ววงรอบจากการฟังเพลงที่กล่าวมาข้างต้น จะทำให้เราสามารถเข้าสู่จุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ประจุไฟฟ้าจำนวนมหาศาล สามารถล๊อคอนุภาคไว้ที่แกนกลาง การเข้าสมาธิจะล้ำลึก และสามารถเข้าใจสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจากการฟังเพลงได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม ....
สุนทรียภาพจึงเป็นส่วนที่สำคัญ ทำให้สนามแม่เหล็กไม่แข็งเกินไป ป้องกันการเกิดอันตรายจะประจุไฟฟ้าที่เข้ามาอย่างมหาศาล อีกทั้งยังสามารถพัฒนาจิตได้ในอัตราเร่งอีกด้วย
เราควรทำสมาธิกันตอนไหนดี และที่ไหนที่ควรทำในยุคปัจจุบันนี้
ช่วงที่ดีที่สุดคือช่วง ตี4-6 โมงเช้า เพราะช่วงที่ตื่นนอน คลื่นสมองยังไม่สั่นสะเทือนการเข้าสมาธิจึงง่าย อีกทั้งในช่วงเช้ามืดอาการค่อนข้างเย็น ความชื้นสูง ปริมาณประจุไฟฟ้าบริเวณรอบๆจึงมีมาก เหมาะแก่การให้ภายในของเรานิ่งได้ ส่วนในยุคปัจจุบันเป็นช่วงที่เร่งรีบ คนต้องไปทำงานกันแต่เช้า เราควรทำสมาธิระหว่างที่รออะไรสักอย่าง ขณะที่รอจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด จะเกิดความระแวดระวังสมองตื่นตัว คลื่นสมองมีวงรอบที่เร็วมาก ดูดซับพลังงานขึ้นสู่สมองเป็นจำนวนมาก ทำให้สามารถล๊อคพลังงานเข้าสู่แกนกลางดำดิ่งได้เป็นระยะ อีกกรณีนึง ที่อึกทึก จะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนภายนอก ทำให้เราดูดซับประจุไฟฟ้าเข้ามาในร่างกายของเรา วงรอบพลังงานที่สมองก็จะเร็วเช่นเดียวกัน ก็จะสามารถล๊อคพลังงานเข้าสู่จุดศูนย์กลางได้เช่นเดียวกัน กฎของธรรมชาติมีอยู่ว่า ถ้าข้างนอกวุ่นวาย ข้างใน จะนิ่ง ถ้าข้างนอกนิ่งสงบ ข้างในจะวุ่นวาย มันเป็นกฎตายตัว อีกกรณีนึงคือคนที่สับสน ว้าวุ่น ฟุ้งซ่าน เสียใจอย่างรุนแรง ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนทางความคิด ประจุไฟฟ้าจะเข้ามาอย่างมหาศาล ยิ่งคิดยิ่งเข้า ถ้าช่วงนั้นเราหาโอกาสทำสมาธิ และดูวงรอบของพลังงานที่สมอง จะเห็นพลังงานหมุนปั่นเร็วขึ้น จะคิดอะไรก็คิดไป แต่เราดูความรู้สึกของพลังงานที่หมุนปั่นไปเรื่อยๆ สุดท้าย ก็เข้าสมาธิได้อย่างนานแสนนาน นี่เป็นเรื่องจริง ที่อยากบอกกับคนทั่วไป การทำสมาธิถ้าทำบ่อยๆ เรื่อยๆ จะมีความชำนาญในการทำสมาธิและเข้าสมาธิได้ง่าย ไม่ต้องไปบังคับ เพียงแต่หลับตาแล้วดูความรู้สึกไปเรื่อยๆ สุดท้ายจะลงที่ธรรมจักรได้แต่ก็นานเหมือนกันกว่าจะเข้าสมาธิได้ ต้องอาศัยความเพียรในการเข้า ไม่ต้องมุ่งหวังว่าจะเข้าได้หรือไม่ได้ เพียงแค่หลับตาเฉยๆ เท่านั้นและดูความรู้สึกที่ปรากฏอยู่ ดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันสามารถกำหนดเป็นจุดได้ ดำรงความรู้สึกอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งให้ต่อเนื่อง จะคิดอะไรก็คิดไป สุดท้ายลงเข้าสมาธิได้เองในไม่ช้า..
การทำสมาธิสำหรับคนที่จิตใจฟุ้งซ่าน ว่าวุ่น สับสน
คนที่เป็นอย่างนี้คลื่นสมองจะอยู่ในช่วงที่สั่นสะเทือนสูง พยายามที่จะทำสมาธิอย่างไรก็คงทำไม่ได้ แต่เราต้องรู้ธรรมชาติของคลื่นสมอง การหลับตาสักพัก ไม่ต้องดูอะไร ดูความรู้สึกรอบๆตัวเรา อยากคิดอะไรก็คิดไป อย่าเพิ่งกำหนดเป็นจุด เพราะขณะที่เริ่มหลับตา คลื่นสมองยังมีการสั่นสะเทือนยังไม่ลดระดับคลื่น ถ้าเราพยายามกำหนดเป็นจุด ก็จะไม่สามารถเข้าสมาธิได้ แต่ตามธรรมชาติแล้ว คลื่นสมองจะลดระดับลงเอง ไม่ต้องบังคับ แนะนำให้หลับตาดูความรู้สึก และบอกกับตัวเองว่าทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้เป็นสมาธิ ประมาณ 2 นาที ทุกต้นชั่วโมง หรือถ้าว่างเมื่อไหร่ก็ทำเมื่อนั้น หลับตาเป็นช่วงๆ มันจะรู้สึกอยากหลับตามากกว่า 2นาที ทำบ่อยๆ จะทำให้เราอยากนั่งสมาธิมากขึ้นเพราะจะเริ่มมีความสงบและสุขมากขึ้น เมื่อจิตเริ่มสงบแล้วจึงค่อยกำหนดเป็นจุด โดยการหยุดลมหายใจที่จุดนั้นให้นานที่สุด จนมีความรู้สึกอยู่ที่จุดนั้นแล้ว จึงหายใจตามปกติแต่ต้องดำรงความรู้สึกให้ได้ตลอดและต่อเนื่อง ประหนึ่งลมหายใจ กับจุดที่กำหนดนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน สุดท้ายเมื่อเข้าสมาธิได้จะรวมจิตอยู่ที่จุดพักจิต หรือธรรมจักร และดำรงอยู่อย่างนั้น การทำสมาธิที่ดี ควรอยู่สถานที่ที่เราระแวดระวัง หรือตื่นตัว เวลารออะไรสักอย่าง ที่ที่อึกกะทึก จะทำให้เราเข้าสมาธิได้เร็ว เพราะขณะที่เรารออะไรสักอย่าง หรือตื่นตัว จะทำให้คลื่นสมองมีความเร็ววงรอบสูง ทำให้สามารถล๊อคพลังงานให้สู่จุดนิ่งได้เร็วขึ้น แต่ถ้าเราอยู่ในสถานที่เงียบ กว่าจะเข้าสมาธิอาจใช้เวลานาน เพราะไม่มีสิ่งเร้าที่ทำให้สมอง ดูดซับพลังงานเข้ามาทำให้วงรอบของคลื่นสมองเร็ว คนเราที่บอกทำสมาธิได้ อาจจะไม่ใช่ก็ได้เพราะในช่วงที่คลื่นสมองอยู่ในช่วงเดลต้า 1-3 รอบ/ วินาที จะหมดความรู้สึก ก็คือหลับนั่นเอง ประมาณ 15-20 นาทีหลังจากนั้นคลื่นสมองจะเพิ่มความเร็ววงรอบเป็น 3-7 รอบ/วินาที เป็นช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือว่าคลี่นทีต้า อาจจะฝัน หรือเห็นนิมิตได้ คนที่ถูกสะกดจิตคือช่วงทีต้านี้ แล้วทำอย่างไรเราถึงจะเข้าสมาธิระดับคอสมิกได้ เราต้องมีปัจจัยถึงพร้อม ต้องฝึกสมองส่วนหน้าโดยการตื่นตัวทางความคิด ใช้ความกลัว ความรัก และอารมณ์ความรู้สึก จะทำให้คลื่นสมอง มีการสั่นสะเทือนสูง อย่างมาก การดูดซับพลังงานก็จะมาก มันจึงสามารถล๊อคอนุภาคไว้ที่แกนกลาง ทำให้สู่จุดนิ่งได้ นี่แหละเรียกว่าฌาน และสามารถเห็นการขับเคลื่อนของพลังงานได้ตลอด ไม่ได้หมดความรู้สึกใด ใด เพียงแต่มีจิตใจที่สงบนิ่ง อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอด ความเข้าใจของคนโดยทั่วไป อาจคิดว่าไร้ความรู้สึก แต่จริงแล้ว ยังมีระบบกระแสประสาททำให้เรารับรู้ได้ทั่วร่างตลอดเวลา อีกกรณีคนที่ฝึกให้มีเส้นสายสนามพลังที่สมองส่วนหลังอย่างหนาแน่นแล้ว การเข้าสมาธิยิ่งง่ายมากกว่าคนทั่วไป เนื่องจากยิ่งเส้นสายมาก น้ำหนักมวลรวมก็มาก ความเร็ววงรอบของพลังงานสูงอยู่แล้ว การที่จะล๊อคอนุภาคให้นิ่ง ก็จะเร็วกว่าคนทั่วไป การพัฒนาจิต จึงเป็นการพัฒนาสมองเพื่อให้มีภาวะถึงพร้อมในการสำเร็จทางจิต การศึกษาเรื่องจิต เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในแบบรูปธรรม เมื่อสัมผัสคลื่นพลังงานได้ จากการเปลี่ยนแปลงคลื่นความถี่ของสมองให้เป็นสนามแม่เหล็ก มีการขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติ มีการดูด ผลักตลอดเวลา มีการเคลื่อนตัวเป็นวิถีโค้ง และมีวงจรให้พลังงานเดินอย่างมิทิศทาง จึงไม่เกิดการบาดเจ็บ เกิดโรคต่างๆสามารถพัฒนากาย จิต จิตวิญญาณ ได้ในอัตราเร่ง สำหรับคนในยุคปัจจุบันนี้
การเข้าถึงสมาธิในแนวทางวิทยาศาสตร์ทางจิต
การทำสมาธิคืออะไร คือการทำให้คลื่นสมองลดระดับการสั่นสะเทือนลง ขบวนการทำสมาธิ ตั้งแต่ลืมตา คลื่นจะอยู่ในช่วง 13-50 รอบ/วินาทีมีความเร็วพอประมาณ แต่เมื่อหลับประมาณ 5 นาทีคลื่นจะเริ่มลดระดับลง อยู่ในวงรอบ 7-13 รอบ/นาที จะรู้สึกสบาย ผ่อนคลายเรียก Alpha wave หลังจากนั้นไปแล้วจะอยู่ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่น ช่วงนี้ อาจฝันหรือสะกดจิตได้ช่วงนี้เรียกว่าTeta wave บางคนอาจเห็นนรก สวรรค์ ได้ที่ช่วงนี้ หลังจากหลับตาไปสักพัก จะทำให้หมดความรู้สึกแต่คลื่นสมองทำงานช้าลงมากเรียกว่าDelta wave อยู่ในวงรอบ 1-3 รอบ/วินาที คนบางคนคิดว่าขณะนี้เราหมดความรู้สึก เราเข้าสมาธิได้แต่จริงๆ ไม่ได้เกิดประโยชน์ทางจิต เพราะคือการหลับทำให้ไม่รู้เรื่องเพียงทำให้ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเท่านั้น คลื่นสมองที่นิ่งสุดถึงหยุดนิ่ง ½-1 รอบ/วินาที คืออันดับต่อไปที่เป็นอันที่สุด จะนิ่งแบบสมบูรณ์ อันนี้แหละจะสามารถเชื่อมต่อกับระบบและจักรวาล และมีความสงบอย่างล้ำลึกภายใน การที่จะนิ่งแบบนี้ได้ต้องมีปัจจัยถึงพร้อม มีการเปลี่ยนคลื่นความถี่ของสมอง ให้เป็นสนามแม่เหล็กอย่างเข้มข้น มีการดูดผลักและขับเคลื่อนของพลังงานอยู่ตลอด และต้องผ่านการตื่นตัว ตื่นเต้นทางความคิด ทำให้พลังงานนั้นดูดซับเข้าอย่างมหาศาล เกิดการผลักดันไปวงแหวนรอบนอก ใจกลางถึงเป็นสนามแม่เหล็ก เพราะวงแหวนรอบนอกล๊อคอนุภาคไว้ที่ใจกลางจึงนิ่งแบบสมบูรณ์ การผ่องถ่ายองค์ความรู้ก็จะได้ในขณะนี้และการเกิดสติปัญญาอย่างฉับพลันก็เกิดในขณะนี้ด้วย นี่คือคุณสมบัติกลไกของจิตที่เราสร้างได้จากธรรมชาติของจิตที่เกิดขึ้นตามแนวทางวิทยาศาสตร์ทางจิต การเปลี่ยนคลื่นความถี่สมองเพื่อให้เกิดปัจจัยถึงพร้อมในการเข้าสมาธิอย่างล้ำลึก ต้องใช้วิธีการหลายอย่างเข้ามาผสมผสานกัน เช่นการเคลื่อนไหวให้พลังงานกุณฑาลินีลอยตัว และการเคลื่อนไหวให้ประจุแยกกับอนุภาค การเต้นตามวาระจิตเพื่อเก็บเกี่ยวเส้นสายสนามพลังให้มีความหนาแน่น การสวดมนต์ เพื่อให้พลังงานลอยตัวไปพร้อมกับน้ำเป็นน้ำในกายให้เป็นไอโซโทป การฝึกกับไฟ เพื่อให้เกิดความเร็ววงรอบสูง เพื่อพัฒนาอนุภาคให้มากขึ้น การออกกำลังกายให้มีความแข็งแกร่งเพื่อรองรับพลังงานอย่างมหาศาลที่จะเข้ามา เมื่อคลื่นสมองมีความถี่ที่เปลี่ยนแปลง การขับเคลื่อนเลื่อนไหลของพลังงานจะเกิดขึ้น สมองทั้ง 3 ส่วนจะกลายเป็นสนามแม่เหล็ก ขณะที่เข้าสมาธิอย่างล้ำลึกเราจะสามารถเห็นภาวะการขับเคลื่อนเลื่อนไหลแบบสืบเนื่อง ทำให้ดูสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถือได้มหาสติโดยแท้ จิตใจก็จะสงบนิ่งดิ่งดื่มดำกับการขับเคลื่อนนั้น ถ้าเกิดอะไรขึ้น มีสิ่งมากระทบจะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และหายไปในที่สุด นี่แหละความมหัศจรรย์จิตที่เราสามารถพัฒนาได้...
คนบางคนเวลาทำสมาธิมักเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ในสมาธิ... หรือสิ่งที่เหลือเชื่อไม่มีตัวตน เรารู้หรือไม่ว่าเกิดจากอะไร เกิดจากคลื่นสมองช่วง ทีต้า คือครึ่งหลับครึ่งตื่น อยู่ในคลื่นสมอง 3-7 Hz... พลังงานลอยตัวอยู่ที่สมองส่วนกลาง ทำให้เกิดภาพต่างๆไ้ด้ ตามจิตใต้สำนึกที่มีอยู่... หรือบางคนมีความเข้าใจว่าทำสมาธิได้เพราะหมดความรู้สึก แต่หารู้ไม่ว่าหลับซะแล้ว... เพราะสมองอยู่ในคลื่น 3-1 Hz คลื่นสมองช้ามาก ซึ่งมีประมาณ 20 นาทีแล้วจะกลายเป็นทีต้า อาจทำให้ฝันได้ ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าสมาธิล้ำลึกระดับฌานได้ (คลื่นระดับ Cosmic 1-1/2 Hz) เพื่อเชื่อมต่อกับระบบและจักรวาล คลื่นสมองระดับคอสมิคเป็นอย่างไร เป็นคลื่นสมองที่นิ่งมากที่สุดจนกระทั่ง สามารถผ่องถ่ายองค์ความรู้จากจักรวาลได้ การที่จะเข้าถึงได้ต้องรู้กลไกของจิต และธรรมชาติของจิต ต้องทำให้เกิดการตื่นกลัว ตื่นเต้น ความวิตกกังวลอย่างรุนแรง ( Awaken thinking meditation) ทำให้ปริมาณไฟฟ้าในสมองมีจำนวนมาก เกิดวงรอบสูง.... เมื่อเราเกิดเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญอย่างนี้ ควรเข้าสมาธิและเฝ้าดูคลื่นพลังงานที่มีความสั่นสะเทือนสูง จะเกิดการขยายตัวของชั้นพลังงานอย่างรวดเร็ว ที่จุดศูนย์กลางของสมองส่วนหน้าจะกลายเป็นสนามแม่เหล็ก เกิดปฏิกริยานิวเคลียร์ในสมอง สามารถแปรธาตุได้ จึงทำให้นิ่งได้อย่างล้ำลึก เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราต้องรับรู้รู้สึกถึงพลังงานที่เกิดขึ้น และมีกำลังในการเฝ้าดู ทำอย่างไร.... ก็ต้องเปลี่ยนคลื่นสมองให้มีความเร็ววงรอบสูง มีการขับเคลื่อนของพลังงานเป็นวิถีโค้ง และสามารถแยกประจุกับอนุภาคออกไป ต้องเอาจิิตมาเข้าโรงเรียน ให้องค์ความรู้เกียวกับวิทยาศาสตร์ทางจิต อธิบายแบบคร่าวๆ อาจไม่เข้าใจ ยังมีรายละเอียด หลายองค์ประกอบที่ทำให้จิตเราพัฒนาได้
การเปลี่ยนมุมมองของการทำสมาธิฌานดูดตา
เป็นเรื่องง่ายนิดเดียวแต่ต้องมีองค์ความรู้ตามแนวทางวิทยาศาตร์ทางจิต มีเทคนิคการฝึกปฏิบัติให้เข้าสมาธิฌานได้เร็ว
ฌานเป็นเรื่องของการหย่อนสายสติลง หย่อนความรู้สึกลง หมายความว่า พยายามทำให้สมองใช้งานให้น้อย
ที่สุด ไม่คิดไม่ปรุงแต่งไม่แสดงออกทางด้านพลังงาน ผ่อนความรู้สึกลงให้เหลือเพียงจิตติดตามกระแสเท่านั้น แต่จิตที่ติดตามกระแสจะต้องใช้ศิลปะในการแตะสัมผัส หรือเกาะติดอย่างแผ่วเบาห้ามขะมักขะเม้น เพื่อให้สายธารของกระแสแห่งธรรมชาติไหลเข้าอย่างมาเต็มที่ เข้าสู่ใจความรู้สึกอย่างแท้จริง ถ้าทำได้กระแสภายในจะเปิดหมดทุกจุด ถ้าจะให้ไร้ขีดจำกัดจะต้องให้สายธารของกระแสแห่งธรรมชาติเข้าอย่างเต็มที่
ต่อไปนี้ต้องเปลี่ยนมุมมองของการทำสมาธิฌาน แนวใหม่ต้องเกิดจากภาวะของความสบายใจ ปลดปล่อยอารมณ์ ความปลอดโปร่งของสมอง ความสบายของความรู้สึกทางใจ พยายามให้เพลินกับความรูสึกที่มองสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือธรรมชาติข้างหน้า ให้ใช้สายใยของจิตเชื่อมต่อธรรมชาติ ทุกขั้นตอนของการกระทำต้องใช้ศิลปะของการแตะสัมผัสเส้นสาย จะมีอิทธิพลต่อสมอง ภาวะอารมณ์ของธรรมชาติจะโดดเด่นที่สุด ไม่ว่าจะมองที่จุดไหนเปิดหมดกระแสธรรมชาติเข้าสู่ภายในเส้นสายอย่างเต็มอัตรา โดยที่ไม่ติดขัดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ทุกขั้นตอนต้องมีสติรู้ตัวอยู่ทั่วร่างต้องคอยสแกนอยู่ตลอด สมองอย่าตึงเกินไป กล้ามเนื้อทั้งหมดโดยเฉพาะแขน ขาและที่ธรรมจักรอย่าตึงเกินไปค่ะ ต้องแตะสัมผัสแบบมีศิลปะอย่างแผ่วเบา
ฝึกให้เกิดความชำนาญ ถ้าได้แล้วภาวะของการรับรู้ ภาวะของกระแสแห่งธรรมชาติ ภาวะของฌาน ภาวะของปาฏิหาริย์ ย่อมเกิดกับผู้ปฏิบัติเป็นประจำ เพราะเมื่อสายธารธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของใจ จะเข้าออกดังใจปรารถนา เท่ากับเราใช้แรงธรรมชาติโดยแท้จริง ได้ถ้าแรงธรรมชาตินี้เกิดเท่ากับว่าไม่แตกต่างกับหลุมดำเลย ถ้าเราไม่มีภาวะของพลังอย่างนั้น เราจะไม่สามารถเปลี่ยนมวลสารร่างกายของเราได้เลย เพราะฉะนั้นจุดของฌานจุดนี้ต้องทำให้ชำนาญให้ได้ สมาธิฌานจะทำให้เราเข้าใจกลยุทธ์ของมันมากขึ้น..อยู่ที่การเลี้ยงเส้นแรงอย่าให้มากเกินไปในระดับของสมอง
ท่านั่งสมาธิฌาน
1. ตามองไปข้างหน้ามองเหมือนไม่มอง ทำใจให้สบาย แล้วหลับตาลงอย่างช้าๆ เอาจิตไปอยู่ที่ธรรมจักรอย่างแผ่วเบา พร้อมหลับตาลงอย่างช้าๆ รู้สึกสบายๆๆ
2. ยืดตัวตรงขึ้น สุดลมหายใจเข้าให้สุดๆ และคลายลมหายใจออก หย่อนตัวลงมา ทำแบบนี้ 3 ถึง 5 เซ็ท แล้วผ่อนแนวกระดูกสันหลังให้สบายๆ ใช้มือขวาวาดวงกลมที่ท้อง 5 วง ให้รู้สึกว่าท้องหมุนแล้ว ดำรงความรู้สึกอยู่ที่ธรรมจักร
3. มือซ้ายอยู่ล่างมือขวาอยู่บน ให้นิ้วกลางงอแตะสัมผัสหัวแม่มือแผ่วเบา แล้วงอนิ้วนางนิ้วชี้เข้ามาอย่างแผ่วเบาให้ดูความรู้สึกว่าแตะเส้นสายพอดีแล้วผ่อนคลาย ให้มืออยู่ที่วงขาระดับล่างแบบสบายๆ
4. ทำความรู้สึกดูดพลังงานจักรหนึ่งขึ้นมาที่ธรรมจักร และดูดพลังงานที่ตาลงมาที่ธรรมจักร ดำรงความรู้สึกอยู่ที่ธรรมจักร ดูลมหายใจเข้าและออกตุ๊บๆ ที่ธรรมจักรอย่างแผ่วเบา จะรู้สึกเย็นสงบสบายสุข จากนิ่ง สบายๆ
5. อย่าให้สมองตึง ถ้ารู้สึกตึงให้ผ่อนโดยการหย่อนตัวหรือนิ้วมือให้ กระแสก็จะไหลเพิ่มขึ้น ถ้าทำได้อย่างนี้ เราจะเห็นเส้นสายเชื่อมต่อทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน
สมาธิฌานดูดตา เข้าสมาธิได้ง่าย ฝึกปฏิบัติได้เร็ว เห็นผลทันใจ ผู้มีพลังงานมาก มีพรสวรรค์ ช่องท้องจะมีประจุไฟฟ้ามาก การดูดตา สนามแม่เหล็กจะลงมาที่ธรรมจักร จะลืมตาไม่ขึ้น เข้าสมาธิได้เอง คนที่มีปัญหาการที่ทำสมาธิไม่ได้ ให้มาทำสมาธิฌาน ดูดตา แต่เราต้องใช้ศิลปะในการแตะสัมผัสความรู้สึกอย่างแผ่วเบาผ่อนคลาย ทำตัวสบายๆ
วิวัฒนาการสมาธิก้นหอย สู่สมาธิดอกบัว
เป็นสมาธิที่ยิ่งยวดมากกว่าเดิม จากความที่เป็นสนามแม่เหล็กมากขึ้นจากสมาธิก้นหอย ทำให้คลื่นความถี่หรือการสั่นสะเทือนภายในน้อยลง ความเป็นสนามแม่เหล็กมากขึ้น การรับรู้หรือการขับเคลื่อนจะมีความละเอียดเนียนจนกระทั้งการรับรู้เรื่องคลื่นจะน้อยลง เนื่องจาก พลังงานหรือประจุไฟฟ้าที่มีความสั่นสะเทือนออกไปสู่วงรอบนอก ทำอย่างไรล่ะ เราต้องทำให้อยู่ในสภาวะที่ไม่สมดุล จะทำให้มีการดูดซับขับเคลื่อนได้ตลอดเวลา เราใช้การเดินพลังเส้นสายให้อยู่ชิดกับเส้นเมอริเดียนให้มากทำให้เกิดไดนามิกเกิดขึ้น จึงจะเกิดการขับเคลื่อนของพลังงาน หรือมีการไหลของพลังงานให้เรารับรู้ได้ และสามารถพัฒนาต่อได้ ก้นหอยจะเป็นเส้นวงกลมที่มีหลายชั้นและกลับไปกลับมาแล้วสู่เข้าแกนกลาง ที่ก้นหอยจะเป็นที่อยู่ของประจุไฟฟ้า เมื่อมีประจุไฟฟ้าย่อมมีเส้นสายสนามพลังเกิดขึ้น แต่เส้นสายสนามพลังจะเปลี่ยนไป จะขับเคลื่อนในรูปของไดนามิก คืออยู่ในรูปของความไม่สมดุล ก็คือกลีบของดอกบัวแต่ละกลีบ โดยการดูดเส้นที่อยู่จุดศูนย์กลางของก้นหอยขึ้นมา เพื่อดูดซับพลังงานเข้ามาออกไปสู่วงรอบนอก และจะกลับเข้าแกนกลาง เพื่อผลักประจุให้ออกไปไกล และเข้าสู่วงรอบของก้นหอย ก้นหอยก็จะขยายออกไปมากขึ้น จุดกึ่งกลางของก้นหอยก็จะเป็นสนามแม่เหล็กมากขึ้นและกลีบบัวนี้เมื่อทำกลีบหนึ่งมันจะขับเคลื่อนด้วยตัวของมันเอง ตามวงรอบของก้นหอยที่ขับเคลื่อนอยู่ ก้นหอยจะเป็นแนวนอนหรือแนวตั้งก็ได้ ถ้าเป็นแนวนอน เส้นสายสนามพลังก็จะอยู่ในแนวตั้ง ยิ่งดูกลีบดอกบัวที่ขับเคลื่อน จะเกิดความเร็ววงรอบมากขึ้น เมื่อเข้าแกนกลางของก้นหอย จะเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ เกิดการแยกชั้นของพลังงานออกไปไกล ถ้าก้นหอยเป็นแนวตั้ง เส้นสายสนามพลังจะพุ่งออกตามแนวนอนเป็นกลีบดอกบัวเช่นเดียวกัน รวดเร็ว และดูดซับประจุไฟฟ้าได้มาก การขับเคลื่อนจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป จนกระทั่งความเป็นสนามแม่เหล็กเข้มข้น สามารถรวมเส้นสายเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ก้นหอยแนวนอนที่มีกลีบบัวที่เป็นไดนามิก ถ้าตั้งอยู่ที่จักระ 1 จะเกิดการดูดซับพลังงานได้อย่างมหาศาล รวมทั้งทำให้จักระ 6 ทำงานเช่นเดียวกันกับจักระ 1 ทุกจักระจะขับเคลื่อนเป็นฟันเฟืองแบบสืบเนื่อง จนกระทั่ง ก้นห้อยที่อยู่ธรรมจักร สามารถรวมอนุภาคหรือรวมเส้นสายไว้ที่เดียวกันเกิดการล๊อคของพลังงาน ทำให้สู่จุดนิ่งอย่างสมบูรณ์ จึงสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล เมื่อเข้าสมาธิได้อย่างล้ำลึก และมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม การแปรธาตุ การเข้าฌานอย่างล้ำลึก ความสำเร็จทางจิต พร้อมทั้งการเชื่อมต่อทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้จึงทำได้อย่างสมบูรณ์..