ช่วงนี้ภาวะจากประจุไฟฟ้าในกระแสเลือดสูงทำให้เกิดภาวะช๊อตตามร่างกายเป็นกันมากขึ้น เดินไปห้างก็ช๊อต จับสิ่งของต่างๆที่เป็นโลหะก็ช๊อต เดินสวนกันยังมีการช๊อตเป็นเสียงดังเปี๊ยะ...ออกมาให้ได้ยิน ขนาดจับกระดาษยังซ๊อต เหมือนไฟช๊อตได้เลย มันเกิดอะไรกับคนในยุคปัจจุบัน ที่หันมาใช้การสื่อสารทางอิเลคโทรนิคกันตลอดเวลา ทำให้เกิดการรับคลื่นพลังงานที่อยู่ในรูปประจุไฟฟ้าเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง และ ภาวะความตื่นกลัวมากๆ การล้มเหลวทางจิตใจ ภาวะเครียด ทุกอย่างล้วนเป็นเหตุปัจจัยที่ส่งเสริมให้ประจุไฟฟ้าเข้าในกระแสเลือดโดยอัตราเร่ง ทุกคนต่างโดนทำร้ายแบบเงียบ ๆ ซึ่งต่อมาอาจเป็นโรคที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้ เพราะอยู่ๆ ร่างกายก็ช๊อต การช๊อตเกิดจากการดูดซับประจุเข้าไปในกระแสเลือดอย่างมหาศาล และเข้าไปแบบไร้ทิศทาง เกิดการชนกัน ของพลังงาน อาจมีผลต่อกล้ามเนื้อทำให้กล้ามเนื้อกระตุก ยิ่งคนที่สมองตึงง่ายๆ จากประมาณไฟฟ้าที่มีอยู่แล้วในสมอง เมื่อเกิดสภาวะที่ล้มเหลวทางด้านจิตใจ หรือมีความเครียด ประจุไฟฟ้าจะเข้ามาอย่างมหาศาล ทำให้เกิดการช๊อต หรือกล้ามเนื้อกระตุกทันที คนที่นั่งสมาธิแล้วบางครั้งเกิดภาวะซ๊อตขึ้นมา เนื่องจากคนที่นั่งสมาธิโดยทั่วไป ไม่ได้มีการเคลื่อนไหว กายและไม่มีวงจรในการรองรับกับประจุไฟฟ้าที่ดูดซับขณะเข้าสมาธิ เมื่อเจอสภาวการณ์บางอย่าง อาจทำให้ดูดซับประจุไฟฟ้าเข้าสู่กระแสโลหิตได้เป็นจำนวนมาก จนกระทั่ง เกิดภาวะช๊อตและระบบอวัยวะต่างๆ มีการกระจุกตัวของพลังงาน ทำให้เกิดโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ สิ่งที่อยากบอกกับทุกคนว่าเราสามารถเปลี่ยนพลังงานที่เข้ามาและทำร้ายเรา ให้เป็นคุณประโยชน์ได้คือต้องมีการสร้างวงจรให้กับคลื่นพลังงานที่เข้ามา ให้เรียงไปในทิศทางเดียวกัน และต้องสร้างการรับรู้ ในเรื่องของพลังงาน (จิตวิญญาณ)เมื่อเราสามารถรับรู้ในเรื่องพลังงานซึ่งมาจากการเปลี่ยนคลื่นสมองส่วนท้ายทอย ให้อยู่ในย่านความถี่ที่สูง และเป็นสนามแม่เหล็ก มีการขับเคลื่อนของพลังงานตลอดเวลา โดยใช้ประจุไฟฟ้าที่อยู่ในกระแสเลือดนี้ปรับเปลี่ยนไห้มีทิศทางในการขับเคลื่อน หลังจากสัมผัสคลื่นพลังงานได้ เมื่อมีเหตุการณ์ใดที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง ทำให้ประจุไฟฟ้าเข้ามาอย่างมหาศาล จะเกิดการสั่นสะเทือนของคลื่นพลังงานให้เรารับรู้รู้สึก เราสามารถเกาะติด และเดินพลังจัดพลังงานเข้าสู่วงโคจรของพลังงาน ก็จะไม่เกิดการบาดเจ็บ หรือช๊อตไปตามอวัยวะต่างๆของร่างกาย เมื่อสิ่งใดที่มากระทบ เราจะเห็นตนเองได้ชัดเจน จะไม่ไปยุ่งเกี่ยวหรือปรุงแต่งจิตว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่จะเฝ้าดูการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจนขยาย...สลาย...และดับไปในที่สุด นี้เป็นขบวนการวิปัสสนากรรมฐาน โดยแบบรูปธรรม โดยไม่ต้องแยกรูป แยกนาม มันเป็นธรรมชาติของจิต ที่มี เกิดขึ้นคือมีการสั่นสะเทือนให้เราเห็น และเมื่อเราดูมัน มันจะขยาย สลาย และดับไป เช่นนี้ทุกครั้ง ดูคลื่นให้เป็น แล้วความทุกข์นั้นจะหายไปเร็วเมื่อดูคลื่นเป็น และเห็นคลื่นเป็น เมื่อเราจะมีความเป็นพุทธะคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบาน อยู่ได้ทุกขณะจิต สิ่งแรกที่ควรกระทำคือการยอมรับตนเอง และกล้าที่จะเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น และดูคลื่นการสั่นสะเทือนไป จนจบสิ้นขบวนความ เราสามารถดูได้ทุกเหตุการณทุกสถานการณ์ ยิ่งดูยิ่งเห็นขบวนการของจิตชัดขึ้น และรวดเร็วขึ้น สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นจะเป็นเครื่องมือที่จะทำให้เราพัฒนาจิต ได้เป็นอย่างดี เท่ากับเราได้เข้าวัดได้ตลอดเวลา คือวัดใจตนเองทุกขณะจิต นั่นเอง