สมาธิเคลื่อนไหว ศาสตร์พุทโต ชินโต
สมาธิเคลื่อนไหว คือกระบวนการทำงานของจิตในรูปของพลังจิต ทำให้เกิดการผลักดันฝ่ามือ กาย จิต ใจ น้ำเสียง และทุกส่วนของร่างกายให้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องตามทิศทางของวิถีแห่งแรงทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทำให้เกิดความรู้สึก พลังความรู้สึกหรือสติ ให้อยู่ได้ตลอดและต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจในพลวัฏของการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติและพัฒนาเข้าสู่ความเป็นธรรมชาติ
หัวใจของการฝึกปฏิบัติสมาธิเคลื่อนไหวของศาสตร์พุทโตชินโต อยู่ที่การสร้างสภาวะจิตวิญญาณ ซึ่งก็คือสภาวะของการรับรู้ในเรื่องของพลังงานหรือภาวะการรับรู้ที่ส่งเสริมทำให้เกิดพลัง
จิตวิญญาณเกิดจากการดึงพลังจากส่วนต่างๆ ของร่างกายและภายในร่างกายให้มารวมตัวและอัดแน่นในส่วนสมอง ภาวะจิตวิญญาณเป็นผลพวงการผลักดันร่างกายและจิตใจให้เคลื่อนไหวตามสัญญาที่มีอยู่ภายในของแต่ละบุคคล
การสร้างจิตวิญญาณหรือสภาพการรับรู้ในเรื่องของพลัง กระทำได้โดย
- การสูดลมหายใจอย่างเป็นระบบ
- การเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะการสร้างการลอยตัวของพลังงาน
- การดึงลมปราณจากล่างขึ้นสู่บน
เมื่อมีจิตวิญญาณแล้ว การฝึกปฏิบัติสมาธิเคลื่อนไหว กระทำได้ดังต่อไปนี้
- ยกฝ่ามือซ้ายและขวาในระดับหน้าอก หันหน้ามือเข้าหากัน
- ใช้จิต ใช้ความคิด สร้างความรู้สึกตั้งอยู่ที่ฝ่ามือ
- น้อมนำฝ่ามือเข้าและออกอย่างช้าๆ อย่างต่อเนื่อง
- เมื่อเกิดแรงมากระทำที่ฝ่ามือทั้งสองข้างในลักษณะดูดและผลัก ให้ทำตามวิถีแรงนั้นไป
- เมื่อการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นจะต้องปฏิบัติตามความเป็นจริง จากการเคลื่อนไหวร่างกายและน้ำเสียง
- สังเกตการเคลื่อนไหวของร่างกายและน้ำเสียงอย่างต่อเนื่อง
- ปฏิบัติจนกระทั่งการเคลื่อนไหวทั้งหมดสงบนิ่งของมันเอง จึงถือว่าสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ
เมื่อสมดุลแล้วให้นั่งสมาธิสงบนิ่งโดยใช้ลมหายใจตั้งอยู่ที่จุดพักจิต
เมื่อจะเลิกปฏิบัติให้สูดลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ และกลั้นไว้และคายลมหายใจออกอย่างช้าๆ และกลั้นไว้ ทำอย่างนี้ 3 ครั้งแล้วจึงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ถือว่าเสร็จสิ้น
การฝึกปฏิบัติสมาธิเคลื่อนไหว ศาสตร์พุทโต ชินโต มี 2 ลักษณะคือ
- การฝึกปฏิบัติตามวาระจิต โดยอาศัยการผลักดันทางด้านจิตวิญญาณ
- การฝึกปฏิบัติตามรูปบบที่กำหนด ตามแนวทางของศาสตร์
สิ่งที่ได้จากการฝึกสมาธิเคลื่อนไหว
- พัฒนามหาสติได้อย่างรวดเร็ว
- การปฏิบัติการเข้าฌานได้ง่าย
- สุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง
- พัฒนาการสั่งจิตได้รวดเร็ว
- สร้างการรับรู้และรู้สึกได้อย่างฉับพลัน
- บำบัดโรคได้เป็นอย่างดี
- ทำให้เกิดการเรียนรู้ในศาสตร์โบราณที่เกี่ยวข้องกับจิตได้ทุกแขนง
- เชื่อมต่อพลังจากสิ่งต่างๆ และนำมาใช้ได้ทันที
- มีการพัฒนาพลังและภูมิปัญญาได้เป็นอย่างดี
การบำบัดสุขภาพกายและจิตด้วยการเปิดวงจรปรับกระแสพลัง
ก่อนที่จะทำการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บจะต้องรู้สมุฏฐานของโรคภัยไข้เจ็บเสียก่อนว่า มีสาเหตุมาจากสิ่งใด
ก่อนอื่นจะต้องรู้จักกระแสและพลังที่ไหลเวียนภายในร่างกาย ซึ่งอยู่บนเส้นสายของเมอริเดียน ในส่วนของเส้นสายเมอริเดียน มีเม็ดพลังชีวิตเกาะติดอยู่ในลักษณะประจุกระแสไฟฟ้าอันมีหน้าที่ผลักดันและขับเคลื่อนพลังการทำงานของอวัยวะภายใน
ในยามปกติ เส้นสายเมอริเดียนจะมีเม็ดประจุหรือเม็ดพลังชีวิตไหลเวียนเป็นอย่างดี โดยมีกลไกของสมองช่วยผลักดันการไหลเวียนกระแสให้ไหลเวียนได้ตามปกติ ดังนั้นถ้าพลังงานที่เข้ามาในร่างกายไม่เหมาะสมหรือมีภาวะความไม่สมดุล กลไกของสมองจะรับผลกระทบด้วย เมื่อสมองได้รับผลกระทบ กลไกการไหลเวียนของวงจรพลังชีวิตในเส้นสายเมอริเดียนก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน
จึงสรุปได้ว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นโรคภัยไข้เจ็บมีสาเหตุมาจาก การที่เส้นสายวงจรพลังชีวิตหรือเส้นสายเมอริเดียนสูญเสียเม็ดประจุหรือเม็ดพลังชีวิตให้กับระบบประสาทนั่นเอง คือว่า สมองเมื่อได้รับเม็ดประจุหรือเม็ดพลังชีวิตจะผลักดันเข้าสู่เส้นประสาทหรือเซลประสาท ใช้เส้นประสาทลำเลียงเม็ดประจุไปที่กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน กระดูก ช่องว่างของกระดูก หรือทุกส่วนของร่างกาย เมื่ออวัยวะภายในร่างกายทุกส่วนรับพลังงาน ส่งผลให้การทำงานของอวัยวะภายในทำงานผิดปกติ เมื่อพลังงานกองอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ยังผลให้การไหลเวียนของกระแสในระบบเส้นประสาทอาจมีการไหลเวียนที่ผิดปกติเกิดขึ้น ในภาวะปัจจุบันถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเจ็บไข้ได้ป่วย อันเนื่องมาจากการไหลเวียนกระแสที่บกพร่อง
ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้การไหลเวียนของกระแสที่บกพร่อง มีดังนี้ คือ
- บุคคลที่อยู่กับคอมพิวเตอร์เป็นประจำ หรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานาน
- โทรศัพท์มือถือที่แนบเครื่องไว้ที่ช่องหูในขณะที่รับสายเป็นเวลานาน
- เครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิดที่แผ่สนามพลังและรังสีออกมา
- อาคาร สถาน ที่ ที่เข้าไปเกี่ยวเนื่องอันมีเสาไฟฟ้าแรงสูงหรือเสาโทรเลขอยู่ใกล้
- อาหารที่มีการดัดแปลงทุกชนิด เช่นอาหารที่ผ่านรังสี, เนื้อสัตว์ที่ใช้ยาเร่งฮอร์โมน ฯลฯ
- อารมณ์ที่รุนแรงทุกชนิด โดยเฉพาะอารมณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด
- สภาพแวดล้อมและอากาศที่มีธาตุโลหะปนเปื้อนอยู่มาก
- ปัจจัยที่คาดไม่ถึง เช่นการที่เข้าไปคลุกคลีกับบุคคลที่มีอัตราประจุหรือพลังที่ผิดปกติ ฯลฯ
สำหรับการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บโดยอาศัยขบวนการย้อนกลับของสมุฏฐานของโรคคือ การทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของเม็ดประจุหรือเม็ดพลงชีวิตคืนสู่เมอริเดียน โดยดึงจาก ช่องกระดูก กระดูก อวัยวะภายใน ทุกส่วนของร่างกาย กล้ามเนื้อ เซลประสาท สมอง เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว การไหลเวียนของพลังงานจะคืนกลับมาได้ดังปกติเหมือนเดิม
วิธีการฝึกสมาธิเคลื่อนไหวโดยสังเขป
ก่อนที่จะทำการฝึก จะต้องเข้าใจความหมายของคำว่า "สมาธิ" ในแนวทางสมาธิเคลื่อนไหว ศาสตร์พุทโต ชินโต ว่าคืออะไร ซึ่งอาจจะแตกต่างจากสมาธิที่เคยรับรู้มาก่อน สำหรับการฝึกแนวนี้คือ "การมุ่งมั่นที่จะประคองความรู้สึก พลังความรู้สึก ให้อยู่ได้ตลอดและต่อเนื่องหรือความมุ่งมั่นที่จะรักษาอารมณ์นี้ให้อยู่ได้ตลอดและต่อเนื่อง"
เราจะเห็นองค์ประกอบของสมาธิเคลื่อนไหวว่า
- มีการมุ่งมั่นในการกระทำหรือประคองหรือรักษาได้
- มีการรับรู้ของความรู้สึก พลังความรู้สึกหรือสติ รวมทั้งอารมณ์ที่จะเกิดในทางบวก
- ให้อยู่ได้ตลอดและต่อเนื่อง นั่นคือสติหรือความรู้สึกที่จะพัฒนาไปสู่โพชฌงค์
ทั้ง 3 องค์ประกอบ ถือเป็นปัจจัยหลักของการฝึกสมาธิแนวนี้ ต่อจากนั้น มาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสมาธิเคลื่อนไหวว่าคืออะไร มีการฝึกอย่างไร และที่สุดของการฝึกอยู่ที่ใด
จิตมีการพัฒนาการ มีการเรียนรู้ สั่งสม จิตสามารถสั่งได้ จิตมีการเชื่อมต่อและลอกเลียนข้อมูลได้จากการได้สัมผัส ได้ยิน ได้ฟัง การมองเห็น การรู้รส ดมกลิ่น จิตมีการพัฒนาในตัวของจิตเอง จิตเป็นที่สั่งสมข้อมูลที่อยู่ในรูปของพลังงาน ทำงานเมื่อเป็นกระแสไฟฟ้า
จากการฝึก เราใช้จิตนั้น อยู่ที่มือทั้งสองข้าง แสดงว่า มีกระแสไฟฟ้าจะไหลจากสมองผ่านวงแขนไปสะสมอยู่ที่มือทั้งสองข้าง ในขณะที่มีกระแสไหลผ่านกล้มเนื้อของวงแขน ทำให้กล้ามเนื้อหดและคลายและมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น การส่งจิตไปอยู่ที่มือ ก็คือส่งกระแสไฟฟ้าไปอยู่ที่มือนั่นเอง เมื่อมีกระแสสะสมอยู่ที่มือ เราจะรู้สึกหน่วง เหนี่ยวนำ ดูดและผลักเป็นสนามแม่เหล็ก ถ้าเราจะเปรียบมือเหมือนภาชนะที่รองรับ กระแสไฟฟ้าก็คือ น้ำ ภาชนะหรือมือมีขีดจำกัดในการรับปริมาณน้ำ ส่วนเกินหรือส่วนที่ล้น ย่อมทะลักออก สำหรับกระแสแล้ว ส่วนเกินจะไหลคืนสู่สมอง ทำให้เกิดอาการตึงหรือมึนศีรษะ ในส่วนนี้จึงถูกเรียกว่า "พลังงานส่วนเกิน" และพลังนี้เองทำให้เกิด "จิตวิญญาณ" ณ เวลานี้เอง อาจมีการใช้ภาษาที่แตกต่างออกไปจากสามัญ ซึ่งพูดออกมาเอง ในระยะแรกจะควบคุมการพูดไม่ได้เหมือนผีเข้า ภาษาที่เปล่งออกมาอาจมีได้หลายภาษารวมทั้งภาษาไทย ภาษาจิตที่มีความหมายและไม่มีความหมาย แต่จะสามารถพูดโต้ตอบได้ ไม่ว่าจะใช้ภาษาใด การแสดงออกดังกล่าวเหมือนจิตเข้าใจ ในขณะนั้น เราพูดไปอาจจะไม่เข้าใจ ประหนึ่งว่าจะ พรั่งพรูภาษาออกมาหรือคลายออกมา
สำหรับการฝึกสมาธิเคลื่อนไหวนั้น ผู้ที่จะฝึกจะต้องมีความเข้าใจและมีทักษะในเรื่องของจิต สติ สมาธิ สัญญา รหัส พลังงาน การทำงานของกระแสไฟฟ้า การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท รวมทั้งธาตุและมวลสารพอสมควร จึงจะสามารถเข้าใจการเคลื่อนไหวโดยถ่องแท้
ในระยะเริ่มแรก ต้องจับกระแสของแรงที่ฝ่ามือทั้งสองให้ได้เสียก่อน เมื่อจับกระแสแห่งแรงหรือกลุ่มก้อนพลังงานได้แล้ว การพัฒนาหรือเปิดกลไกสมอง 96 ก็จะเริ่มทำงาน การเคลื่อนไหวจากไร้รูปแบบสู่การพัฒนาการเคลื่อนไหวที่มีรูปแบบตายตัวและพัฒนาขึ้นตามลำดับ และเปลี่ยนแปลงไปตามวิถีแห่งการพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณ ตลอดระยะของการเคลื่อนไหว เสมือนหนึ่งการปลดปล่อยและผ่อนคลายสัญญาที่สะสมทั้งในทางดีและไม่ดี ให้เข้าสู่สภาวะสมดุลหรือภาวะแห่งความเป็นกลาง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอุเบกขาทางอารมณ์ การเคลื่อนไหวก็จะสงบนิ่งเอง แสดงว่าร่างกายปลดปล่อยเข้าสู่สมดุลเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะทราบถึงพลังจิตและอำนาจจิต จะต้องทราบโดยพื้นฐานก่อนว่า ร่างกายของคนเราทุกคนและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ทำงานด้วยกระแสไฟฟ้าที่สะสมอยู่ในส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น มันสมอง ไขสันหลัง เซลประสาท กล้ามเนื้อ ข้อกระดูก เส้นเลือดและอวัยวะภายในทุกส่วน การสะสมนั้นอยู่ในรูปของพลังงานหรือกลุ่มก้อนประจุ ซึ่งมีสภาพเป็นกรดและเบส ตามความเหมาะสมของการทำงานของร่างกาย และพลังงานเหล่านี้ทำงานอย่างเป็นระบบทั้งภายในและภายนอก การทำงานของพลังงานขึ้นอยู่กับระดับของการสั่นสะเทือน ไม่ว่าการสั่นสะเทือนนั้นจะมาจากภายนอกและภายในร่างกาย ภายนอกได้แก่ เสียง สี แสง ฯลฯ ภายใน ได้แก่ การเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจ เช่น การหายใจ เดิน วิ่ง นั่ง นอน ความคิด อารมณ์ ฯลฯ การสั่นสะเทือนของพลังงานทั้งหมด อยู่ในรูปของคลื่นที่มีความแตกต่างกันในเรื่องของพลังงาน เพื่อให้ง่ายแก่ความเข้าใจและเรียนรู้ จึงแบ่งตามความถี่เป็น 2 ลักษณะคือ ความถี่ต่ำ และ ความถี่สูง แต่ถ้าจะแบ่งโดยละเอียดนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละบุคคล เมื่อศึกษาในเรื่องของพลังงานโดยเฉพาะพลังจิต จะต้องรู้คุณสมบัติของความถี่ทั้ง 2 ลักษณะเสียก่อนว่า จะให้พลังานไปในทิศทางใด
- ความถี่ต่ำ เป็นความถี่พื้นฐาน มีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ส่วนของคลื่นจะกว้างและใหญ่ มีคุณสมบัติของการดูดซับเม็ดประจุ พลังงานจะอยู่ในรูปกระแสไฟฟ้า ในย่านความถี่นี้ จะมีความร้อนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถ้าจะมองความถี่ต่ำในลักษณะของชั้นวงแหวนที่เป็นชั้นๆ ในแต่ละวงกลม ความถี่ต่ำจะอยู่ชั้นนอก และชั้นถัดไปของชั้นถามความถี่สนามแม่เหล็ก ความถี่ต่ำเป็นรากฐานของความถี่ในทุกๆ สัญญา ดังนั้น อารมณ์ อำนาจ ความรู้สึก บ่อเกิดแห่งทิพยอานาจทั้งหมด รวมถึงโรคภัยไข้เจ็บ ฯลฯ จึงอยู่ในย่านความถี่นี้
- ความถี่สูง เป็นความถี่ที่ผ่านวิวัฒนาการการสะสมอารมณ์ ความรู้สึก การฝึกอำนาจจิต มีการสั่นสะเทือนในระดับเล็กน้อยจะกระทั่งหยุดนิ่ง มีคุณสมบัติในการผลักดันประจุ สร้างสนามแม่เหล็ก มีอำนาจกระแสไฟฟ้าเป็นศูนย์ ถ้ามองความถี่สูงในลักษณะของชั้นวงแหวนที่เป็นชั้นๆ ในแต่ละวงกลม ความถี่สูงจะอยู่ในชั้นถัดจากความถี่ต่ำเข้ามา จะเห็นว่าชั้นความถี่สูงจะมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อมีความถี่สูงเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งและความยิ่งยวดของสนามแม่เหล็กจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความถี่สูงเป็นใจกลางของความถี่ต่ำในทุกๆ สัญญา ความถี่สูงใช้ในการปลดปล่อยประจุ เกาะยึดทุกสรรพสิ่งและทุกสัญญา เข้าไว้ให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ความถี่สูงจะอยุ่ในลักษณะเส้นสายแกนกลางของเส้นแรง หรือสนามพลัง และจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากเมอริเดียนมิได้ จะต้องอยู่ควบคู่ กันเสมอ ความถี่สูงจะอยู่แกนกลางของร่างกาย เชื่อมทุกจักระไว้ด้วยกัน
- ทดสอบกระแสพลังจากข้อกระดูก มีหลายวิธี เช่น
- ใช้นิ้วมือขวา ชี้ไปตามข้อกระดูกนิ้วมือและข้อมือ
- ใช้นิ้วมือทำท่ากรงเล็บไฟ คือ งอปลายนิ้วกลางและปลายนิ้วหัวแม่มือห่างกันเล็กน้อยหรือเกือบชิดกันก็ได้ เหยียดนิ้วชี้และนิ้วก้อยตั้งตรง ให้สังเกตความร้อนและสะเก็ดประจุที่วิ่งผ่านปลายนิ้วมือ ถ้าไม่รู้สึกอะไรเลย ให้ใช้นิ้วมือของอีกข้างวนรอบวงของมือที่ทำท่ากรงเล็บไฟอย่างช้าๆ กระแสพลังจะเคลื่อนตัวเอง ใช้นิ้วหัวแม่มือของมือเดียวกันให้อยู่เกือบชิดข้อกระดูกนนิ้วของทุกนิ้ว จะมีความรู้สึกถึงกระแสพลังงานไหลเวียนไปทั้งตัว อาจเกิดความร้อนในร่างกายขึ้น
- ให้กางแขนเป็นไม้กางเขน ใช้นิ้วมือขวากรีดผ่านวงแขนซ้ายไปขวาอย่าง ช้าๆ อย่าโดนผิวหนัง เมื่อถึงหัวไหล่ให้สลัดแขนขวาออกไปอย่างเร็วและค้างไว้ ทำอย่างนี้หลายๆ ครั้ง ให้สังเกตพลังและแรงเฉื่อยที่พุ่งออกไปจากปลายนิ้วมือหรือแขน
- ใช้ฝ่ามือลูบขึ้นโดยผ่านแขนและขา ลำตัว ขึ้นสู่สมอง ด้วยการเกร็งฝ่ามือเล็กน้อย อย่าให้โดนผิวหนังและร่างกาย อย่างช้าๆ หลายๆ ครั้ง ให้สังเกตการตึงขมับและศีรษะ ตาหน่วง ต้นคอตึง
- ทดสอบกระแสพลังจากเส้นเลือดดำ การปฏิบัติ ให้ใช้นิ้วชี้มือขวา กรีดผ่านเส้นเลือดดำ โดยเข้าที่ปลายนิ้วก้อยมือซ้ายอย่างช้าๆ ให้สังเกตกระแสพลัง จะซ่าไปทั้งตัว
- ทดสอบพลังที่มีอยู่ในสมอง ด้วยการปฏิบัติที่เรียกว่า การอมลูกอม โดยอมอากาศพอประมาณ ฟันหน้าอย่าชนกัน ริมฝีปากปิด กดช่องปากเล็กน้อย สังเกตกลุ่มก้อนพลังงานที่ช่องปากว่า แข็งหรือตึงเป็นก้อนหรือไม่
- ดึงพลังจากจักระ และปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า การปฏิบัติ ถ้าดึงจากจักกระใช้มือซ้ายหงายและกางออก ใช้มือขยุ้มหรือบีบตามตำแหน่งด้านหน้าของจักระ ในขณะบีบนั้นให้หยุดลมหายใจ อมลูกอม ยุบท้องเล็กน้อย แล้วจึงดึงมือขวา เลื่อนออกอย่างช้าๆ ให้สังเกตเส้นสายพลังงานภายในร่างกาย ถูกดึงรั้งเหมือนถูกฝูกกันไว้ด้วยเชือกเส้นเดียว รับรู้ทั้งร่างกาย ส่วนมือ นิ้วมือ และนิ้วเท้า ปฏิบัติเช่นเดียวกัน
- ใช้การตั้งฝ่ามืออยู่ทางด้านหน้าของลำตัว โดยการหันหน้ามือเข้าหากัน ห่างกันประมาณ 1 ฟุต เลื่อนฝ่ามือทั้งสองข้าง เข้าออกอย่างช้าๆ สังเกตปฏิกิริยาสนามแม่เหล็กที่ฝ่ามือ ที่มีลักษณะดูด ผลัก เหมือนแท่งแม่เหล็ก
- ใช้จิตเพ่งไปที่จักระหรือพื้นฐาน กระแสพลังและทิพยอำนาจทั้งหลายจะเกิดขึ้นเอง แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเราเลย ทิพยอำนาจทั้งหมด จะใช้เป็นอย่างไม่คาดฝัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกระแสพลังในแต่ละบุคคล
บารมี พรสวรรค์ หรือเทคนิคทางด้านวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เกิดการรับรู้กันแน่
การรับรู้และรู้สึก เป็นหัวใจสำคัญของสติ แต่นั่นเป็นเพียงรับรู้ผ่านอายตนะทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย การรับรู้ชนิดนี้เป็นการรับรู้ทางด้านกายภาพ เป็นการรับรู้โดยสามัญทั่วไปของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด จะแตกต่างกันบ้างในแต่ละชนิดและสายพันธุ์ การรับรู้ในระดับกายภาพเป็นการรับรู้ผ่านกลไกระบบประสาท ถ้ามีสมองเป็นส่วนบังคับควบคุมการทำงานการรับรู้และรู้สึกทั้งหมด
ดังนั้นการรับรู้และรู้สึกที่นอกเหนือกายภาพหรือการรับรู้ถึงพลังงานก็ยังต้องใช้ระบบประสาทและสมองเป็นหลัก และทำงานร่วมกับเส้นเลือดดำที่มีอำนาจประจุและสะสมกันอย่างหนาแน่นที่อยู่ในรูปของ cosmic และกระแสไฟฟ้า ยังผลการรับรู้และรู้สึกถังพลังภายนอกและภายในร่างกายได้เป็นอย่างดี ใกล้และไกลหรือแม้กระทั่งไร้ขีดจำกัดของการรับรู้ เมื่อมีการรับรู้ถึงพลัง เราจึงใช้การรับรู้ถึงพลังมาสร้างพลังและสนามพลังให้ยิ่งยวด เราเรียกการรับรู้ในลักษณะนี้ว่า จิตวิญญาณ
จิตวิญญาณเป็นกลุ่มก้อนพลังงานหนาแน่นในส่วนของสมองและท้ายทอย ความหนาแน่นของพลังงานในส่วนนี้ใช้ในการขับเคลื่อนการไหลเวียนกระแสพลังงานภายในร่างกาย ทำให้เกิดวงจร เมื่อมีการพัฒนาเพิ่มขึ้น การพัฒนาวงจรมีทั้งภายในและภายนอกร่างกาย จะเริ่มชัดเจนเพิ่มมากขึ้น การรับรู้และรู้สึกก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จะเห็นว่าร่างกายของคนเราที่มีการพัฒนาทางจิต จะมีการส่งและรับคลื่นทั้งภายในและภายนอกร่างกายโดยผ่านจุดสำคัญอยู่ 2 จุด คือ จุดส่งคือกลางหน้าผาก จุดรับคลื่นและข้อมลงอยู่ที่จุดใต้ตันเถียนล่าง การทำงานของการรับรู้และรู้สึกถึงพลังงานจะทำงานเป็นวงรอบของวงจรทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ผ่านแนวแกนสันหลังขึ้นสู่สมองและเชื่อมกับเส้นเลือดที่ผิวหนังทั้งหมด
เมื่อกล่าวถึงวงจรของการรับรู้พลัง เราจะต้องรู้ว่าวงจรจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีปริมาณประจุในร่างกายสูง ถ้าอัตราปริมาณประจุมีน้อย การเกิดวงจรย่อมเป็นไปได้ยาก การรับรู้ก็ยากเช่นเดียวกัน คนโดยทั่วไปไม่รู้เลยว่า เขาสามารถรับรู้ถึงพลังงานได้ ทั้งๆที่บางท่านมีพลังงานหรือจำนวนเม็ดประจุสูง เพียงแต่ขาดเทคนิคการทำให้เม็ดประจุหรือกลุ่มก้อนพลังงานเคลื่อนตัว การทำให้เม็ดประจะเคลื่อนตัวมีเทคนิคมากมาย ทั้งนี้ขึ้นอยุ่กับจริตความชอบของแต่ละบุคคล ในสถาบันศาสตร์พุทโต ชินโต สมาธิเคลื่อนไหว มีการแนะนำ การปฏิบัติไว้หลายอย่าง โดยพิจารณาจริต อารมณ์ ความรู้สึก รวมถึงอัตราปริมาณประจุในแต่ละบุคคล เหมาะสมกับการใช้วิธีไหน สำหรับผู้ที่มีการรับรู้และรู้สึกถึงพลังอย่างละเอียดและฉับพลัน จะเห็นว่าเขาเหล่านั้นจะมีความไวต่อพื้นฐานทั้งเบื้องหน้าและหลัง หัวใจ เส้นเลือด กระแส ผิวหนัง สมอง ฯลฯ ดังนั้นการรับรู้ถึงพลังนั้นจะเป็นบารมีหรือพรสวรรค์ขึ้นอยู่กับมุมมองของบุคคล แต่ที่แน่ๆ ถ้าทุกคนรู้เทคนิคการทำงานของจิต และมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม ก็สามารถรับรู้ถึงพลังและสร้างทิพยอำนาจโดยฉับพลันได้เช่นเดียวกัน
หลักการสร้างการรับรู้ถึงพลัง (จิตวิญญาณ)
- การเปลี่ยนแปลงความถี่สมอง เช่น การช้อนบีท ลมปราณสามเหลี่ยม ฯลฯ
- อัตราปริมาณประจุที่สูง ได้โดยพรสวรรค์หรือเทคนิคการปฏิบัติ ท่าทางการฝึก ฯลฯ
- การทำให้เม็ดประจุหรือกลุ่มก้อนพลังงานเคลื่อนตัว เช่น การกรีด การเคลื่อนย้ายด้วยลมปราณจากขวามาซ้าย การวน การเคาะตามวาระจิต รอบวงขาและยกระดับให้สูงขึ้นในลักษณะนี้ จะทำให้เกิดแรงเฉื่อยและการไหลของกระแสโดยอัตโนมัติ ฯลฯ
- การกระทำหลายๆ ครั้ง เพื่อให้บันทึกอยู่ในชุดคำสั่งของจิตใต้สำนึกและทำงานร่วมกับจิตวิญญาณในส่วนของสมองและท้ายทอย พัฒนาออกมาในรูปของวงจร
ขั้นตอนที่ทำให้เกิดการรับรู้โดยชัดเจนของการไหลเวียนของกระแสพลัง
- หยุดลมหายใจเพื่อให้จิตนิ่งและใช้การสังเกตการเคลื่อนไหวของกระแสภายใน
- อมลูกอม เพิ่มสนามพลังให้เข้มข้นหรือเส้นสายของสนามแม่เหล็กให้ยิ่งยวด
- จิตตั้งอยู่ที่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น ในอันดับแรกตั้งอยู่บนฝ่ามือ ฝ่าเท้า จะสร้างการรับรู้ที่ดี
- ทยอยยุบท้อง เพิ่มความเข้มข้นของพลังงานและควบคุมทางเข้าออกของกระแสพลังภายในร่างกาย
- ติดตามเส้นสายของกระแสพลังให้ได้ตลอดและต่อเนื่อง จนกระทั่งลงสมดุล
- ถ้าไม่รู้ถึงพลัง หรือกระแสเริ่มหนืดหรือหยุดนิ่ง ให้อาศัยการกรีดหรือกระทำโดยวิธีอันให้กระแสเคลื่อนตัว
- ความเข้มข้นของความรู้สึกถึงพลัง อยู่ที่การกำหนดความชัดเจนของเส้นสายพลัง อาจจะกำหนดให้เป็นริบบิ้นพันมาตามแขน ตามขา และตัวก็ได้ เพื่อยังผลของการใช้อำนาจจิต
อำนาจพลังจิตยิ่งใหญ่อยู่ที่จิตใต้สำนึกนั้นจริงหรือไม่
ก่อนที่จะรู้ว่าพลังจิตหรืออำนาจจิตอยู่ในจิตประเภทใด มาทำความเข้าาใจในเรื่องของจิตเสียก่อนว่าคืออะไร จิตคือกลุ่มก้อนพลังงานหรือกลุ่มก้อนเม็ดประจุที่ถูกเรียงร้อยหรือยึดเกาะด้วยระดับเส้นสายของเส้นแรง ทุกกลุ่มก้อนพลังงานเรียกว่า
"สัญญา" ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลของสัญญา แหล่งข้อมูลที่แท้จริงอยู่ที่การสั่นสะเทือนของเม็ดประจุ สัญญาที่แตกต่างกันจะมีข้อมูลที่ต่างกัน ถึงแม้ว่าประจุจะเหมือนกันทุกสัญญา แต่ละระดับการสั่นสะเทือนแตกต่างกัน ดังนั้นกลุ่มก้อนของสัญญาหรือพลังงาน
จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวมิได้ จะต้องมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยแรงดึงดูดที่เท่ากัน สัญญาที่เหมือนกันจะอยู่ในหมู่เหล่าเดียวกัน เกาะกลุ่มหรือยึดกันไว้อย่างหนาแน่นและยิ่งยวดกว่าสัญญาที่แตกต่างกัน สัญญาทั้งหมดจะแปรเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงไปตามกระบวนการความคิดและกระบวนการสะสมที่เกิดการรับรู้และรู้สึก
ดังนั้นเมื่อเราพูดถึงคำว่า จิต จะหมายถึง ความคิด การนึกคิด การคิดอยู่ในรูปของพลัง ทำงานเมื่อเป็นกระแสไฟฟ้า เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น ย่อมมีการไหลของกระแสไฟฟ้าไปยังความรู้สึกที่ตั้งอยู่ จึงมีอีกความหมายหนึ่งว่า "จิตคือการตั้งอยู่ที่.... ใช้ความคิด ทำให้เกิดความรู้สึก" ถ้าจิตเป็นแค่ความคิด การพัฒนาจิตอาจจะไม่พัฒนาได้ ถ้าไม่มีการสืบเนื่องอย่างต่อเนื่อง ของกระบวนการบันทึกและสะสมที่เป็นตัวแปรแห่งกลไกการทำงานของชุดรับคำสั่งของกลไกการไหลเวียนของกระแสอย่างอัตโนมัติ ยังผลทำให้เกิดพลังและสนามพลังที่ถูกสั่งการจากความคิด จะเห็นว่าจิตมีขบวนการทำงานอยู่ 2 ส่วนคือ
- จิตส่วนปัจจุบัน คือ การทำงานและการสั่งงานหรือการกระทำในปัจจุบันทั้งหมด ถือว่าเป็นจิตในสำนึก หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า
- ชุดคำสั่ง ดังนั้นความคิด ความรู้สึกและการกระทำในปัจจุบันอยู่ในจิตในสำนึก
- ส่วนของการบันทึกและสะสม เป็นเรื่องของการกระทำที่ผ่านมาหรือเป็นเรื่องของการกระทำในอดีตที่มีการสะสมสืบเนื่องและสืบต่อในชุดรับคำสั่ง ในส่วนนี้เราจึงเรียกว่า "จิตใต้สำนึก" เราจึงเห็นว่าจิตใต้สำนึกเป็นแหล่งสะสมข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในระดับกายภาพ คือการบันทึกเรื่องราวตลอดทั้งชีวิตแบบสืบเนื่องสืบต่อ เพราะการบันทึกของการสืบเนื่องและสืบต่อตลอดเวลา ทำให้เกิดเส้นสายของการบันทึกเมื่อมีประจุไหลเวียนในเส้นสาย ยังผลทำให้เกิดพลังและสนามพลัง เมื่อมีสนามพลังยังผลต่อการเชื่อมต่อพลังงาน ทั้งภายในและภายนอก การเชื่อมต่อพลังนี้เองมีผลต่อการเรียงร้อยประจุภายนอก จากระยะใกล้ไปสู่ระยะไกล เมื่อมีความเข้มข้นเป็นสนามพลัง ยังผลต่อการเชื่อมกับระบบหรือจักรวาล ให้สัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน
การทำงานของพลังจะต้องมีภาวะของจิตวิญญาณร่วมอยู่เสมอ จิตวิญญาณเป็นตัวการผลักดัน ทำให้เกิดการไหลเวียนของกระแสเกิดขึ้น การผลักดันและขับเคลื่อนการไหลเวียนของกระแสคือความต่างศักย์ของจิตวิญญาณนั่นเอง จะเห็นว่าการทำงานของจิตวิญญาณจะต้องอาศัยความรู้สึกและความคิดจากจิตในสำนึกและจิตใต้สำนึกเป็นตัวสร้างวงจร การขับเคลื่อนของกระแส ทำให้เกิดพลังงานและอำนาจทิพย์ การทำงานของจิตจะกล้าแกร่งได้จะต้องมีเหตุปัจจัยหลายอย่างเป็นองค์ประกอบที่จะต้องสนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน ดังสูตรของความสำเร็จของจิตว่า "เชื่อมั่น มั่นคง เด็ดเดี่ยว ใจเต็มร้อย" หรือมีกำลังใจอย่างเต็มเปี่ยม
- ในความเชื่อมั่น ได้จากประสบการณ์ของการเรียนรู้
- ส่วนความมั่นคง ได้จากการกระทำที่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นทักษะของความชำนาญ
- ความเด็ดเดี่ยว ได้จากการกระทำในเวลานั้นในเรื่องนั้นเรื่องเดียว ไม่วอกแวกและสงสัย ก่อนเกิดการเรียงร้อยเพียงสัญญาเดียวหรือพลังที่ได้จากอนุกรมในเรื่องนั้นทั้งระบบ
การที่จะให้จิตใต้สำนึกทำงานได้อย่างสมบูรณ์ จะต้องมีเหตุปัจจัย 4 ประการ คือ
- ความคิด เป็นตัวสร้างสัญญาให้เกิดขึ้น ถ้าคิดถึงสิ่งใด การสร้างรูปแบบก็จะเกิดขึ้นในสมอง เมื่อสัญญาเกิดขึ้นในสมอง ก็จะมีการดึงสัญญาที่เหมือนกันหรือใกล้เคียงกันเข้ามารวมกลุ่มกัน ยังผลทำให้เกิดอนุกรมของสัญญานั้นๆ
- ความรู้สึก เป็นตัวบ่งบอกถึงระดับพลังงานที่เพิ่มขึ้น ถ้ายิ่งชัดเจนมากเท่าใด ความยิ่งยวดก็เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพประสิทธิผล จะต้องใช้ความตั้งใจ โดยเอาใจใส่ เพื่อเพิ่มความรู้สึกให้มากขึ้นเป็นทวีคุณ
- การตอกย้ำ เป็นการกระทำซ้ำ เพื่อให้เกิดการทำงานของการสั่นสะเทือน อันมีผลต่อการเรียงร้อยกลุ่มก้อนของสัญญาหรือพลังงานให้มากขึ้น การตอกย้ำควรทำอย่างน้อย 3 ครั้งขึ้นไป
- การคล้อยตามหรือสร้างทัศนคติที่ดีต่อเรื่องนั้น โดยการมองอะไรโดยเชิงบวกและมีการเปิดรับในสิ่งที่กระทำด้วยความเต็มใจ การกระทำสิ่งใดด้วยใจ สิ่งนั้นจะให้ผลดำเนินไปในทิศทางที่ดี
การสวดมนต์มีประโยชน์นั้นจริงหรือ
การสวดมนต์ มี 2 ลักษณะคือ
- สวดแบบใช้เสียง
- สวดแบบไม่ใช้เสียงหรือสวดในใจ
การสวดมนต์แบบไม่ใช้เสียงเป็นการนึกถึงบทที่สวดและติดตามอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ได้มาคือ การสร้างสัญญาจากความคิด และอนุกรมพลังงานของการเรียงร้อยสัญญา การปฏิบัติในลักษณะนี้ จะต้องใช้ความมุ่งมั่นมากกว่าการใช้เสียง คือจะต้องคอยนึกถึงบทที่สวดอย่างต่อเนื่อง จึงจะทำให้เกิดสมาธิอย่างต่อเนื่องและมีสติมั่นคง
ส่วนการใช้น้ำเสียง เสียงจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือน ยังผล ทำให้เกิดการเรียงร้อยพลังงานหรือสร้างพลังงาน เมื่อสวดมนต์จนชำนาญแล้ว การที่จะใช้ความคิด ความอ่าน ย่อมลดน้อยถอยลงอาศัยแต่เพียงการใช้ทักษะของความชำนาญของกระบวนการจิตใต้สำนึกผลักดันออกมาเป็นน้ำเสียง เมื่อใช้น้ำเสียงจะขึ้นตรงอยู่กับจิตในสำนึก จะให้ดัง เบา ค่อย ช้า เร็ว เงียบหรือระลึกอยู่กับการสวดอยู่ภายใน อาการเหล่านี้เป็นการสวดมนต์ที่ทำให้เกิดการผลักดัน และสร้างพลังอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การสวดมนต์โดยใช้น้ำเสียงที่ดี จะต้องมีระดับเสียงให้ครบ 4 จังหวะ ดังต่อไปนี้
- ระดับกลาง มีลักษณะของน้ำเสียงพอประมาณ ไม่ช้า และไม่เร็ว จับระดับการติดตามของน้ำเสียงได้ทัน อาการในลักษณะนี้เป็นการให้จิตเกาะติดกับกายหรือน้ำเสียงได้ทัน เป็นการส่งเสริมการทำงานของจิตให้สัมพันธ์กับกาย(น้ำเสียง) เมื่อจิตสัมพันธ์กับกายเรียบร้อยแล้ว ต่อไปไม่ว่าน้ำเสียงจะเร็วหรือช้า พลังจิตที่เกิดขึ้นจะสัมพันธ์และมีทิศทางที่ยิ่งยวดไปตามน้ำเสียงที่ใช้ในขณะนั้น
- ระดับน้ำเสียงที่เร็วและดัง ซึ่งจัดอยู่ในย่านความถี่ต่ำ ในช่วงนี้เรียกว่าเป็นช่วงที่การสร้างพลังหรือดูดซับพลังเข้ามาสู่ภายในร่างกายได้มากที่สุด น้ำเสียงในระดับนี้ อาจใช้การสั่นเครือของน้ำเสียงหรือเสียงโทนต่ำก็ได้ จะเห็นว่าพลังถูกรีดขึ้นสู่สมองได้ง่าย
- ระดับน้ำเสียงที่ช้า จะเป็นระดับน้ำเสียงที่เกิด จากการผลักดันทางด้านจิตวิญญาณให้ช้าเอง โดยอัตโนมัติ พลังงานทั้งหมดจะรวมอยู่ที่สมองมากที่สุด จัดว่าเป็นย่านความถี่สูง
- ระดับน้ำเสียงช้าที่สุด หรือ ลากน้ำเสียงเป็นเสียงเดียวในลำคอ เป็นลักษณะของการกระจายพลัง ทำให้เกิดการไหลเวียนเพื่อสร้างสนามพลัง ณ จุดนี้เองทำให้เกิดภาวะสมดุลระหว่างกายและจิตได้ดี ร่างกายจะโล่ง โปร่งสบาย เมื่อถึงที่สุดแล้ว
การใช้น้ำเสียงเพื่อให้เกิดพลังที่ดีที่สุด จะต้องกระทำจากความรู้สึกที่มาจากภายในอันแท้จริงและเล่นไปตามอาการที่เกิดขึ้นในระหว่างที่สวดมนต์ การสวดมนต์ควรเปิดช่องปราณที่ทำให้เกิดการไหลเวียนของพลังด้วยการส่ายศีรษะไปตามจังหวะของน้ำเสียงที่ตกร่องของ
พลังการเคลื่อนไหว ยังผลของการรับรู้การสร้างพลังและการบำบัดโรคที่ดี ในระหว่างการสวดนั้นถ้ามีภาษาแปลกๆ จงอย่าวิตกกังวลใดๆ ทั้งสิ้นให้คล้อยตามถึงที่สุด เมื่อถึงที่สุดจะมีภาวะของความสมดุลทั้งร่างกายและจิตอารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม โรคภัยไข้เจ็บ ศักยภาพพิเศษอาจเปลี่ยยนโดยฉับพลัน แต่ทั้งนี้จะต้องกระทำแบบมีเหตุผลของความเข้าใจในองค์ความรู้อย่างแท้จริง การพัฒนากายและจิตจึงจะมีประทิธิภาพประสิทธิผลอย่างแท้จริง
พลังจิตบำบัดโรคได้จริงหรือ หรือว่าเป็นแค่ความเชื่อ
ถ้าทุกคนสามารถรับรู้พลังในลักษณะรูปธรรมที่สามารถแตะต้องสัมผัสได้ และรู้ทิศทางการไหลเวียนของกระแสพลังที่เข้าออกภายในร่างกายได้ทุกคน คำถามที่ว่าพลังจิตบำบัดโรคได้จริงหรือไม่นั้น
เป็นอันต้องตกไป แต่ความเป็นจริง คนบางคนเท่านั้นที่สามารถสัมผัสพลังได้ ซึ่งในจำนวนนี้ก็มีเพียงน้อยนิด ดังนั้น ทิศทางการบำบัดจึงขึ้นอยู่กับบุคคลส่วนน้อยของสังคมเป็นผู้กำหนดแนวทางและวิถีทางการบำบัด จะเห็นว่าการรับรู้ถึงพลังเป็นเรื่องสำคัญของการบำบัดโรคภัยไข้เจ็บ ในการบำบัดอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล ขึ้นอยู่กับการรับรู้ของผู้ทำการบำบัดและผู้ป่วย ผู้ทำการบำบัดเมื่อมีการรับรู้ถึงพลังแล้ว ยังจะต้องทำให้กระแสพลังของตนเองและผู้ป่วยไหลเวียนได้ดี การไหลเวียนนี้เองทำให้ผู้ป่วยเกิดการรับรู้ ถ้ายิ่งทำการปรับกระแสหรือบำบัดด้วยพลังบ่อยครั้ง การรับรู้จะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ การรับรู้ที่เพิ่มขึ้นบ่งบอกถึงการขับเคลื่อนและการเคลื่อนตัวของพลัง ความชัดเจนนี้เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันของระบบประสาทและเส้นโลหิตที่มีพลังงานสะสมในระดับที่สูง ที่ผิวหนังจะมีการรับรู้ได้ทุกอณูและมีการซึมผ่านของพลังเข้าสู่เส้นเลือด ทำให้เกิดการสะสมพลังทั่วร่างกาย ถ้าการรับรู้ไม่เกิดขึ้น อาจสร้างการรับรู้ถึงพลังอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้
- กางแขนออกเป็นลักษณะไม้กางเขน ใช้นิ้วมือขวากรีดจากปลายนิ้วมือซ้ายไปทางขวา เมื่อถึงหัวไหล่ขวาให้สลัดออกไปอย่างเร็ว ทำอย่างนี้ 3 ครั้ง พร้อมกับส่ายศีรษะเบาๆ เป่าลมหายใจออกทางปากแล้วจึงนิ่ง หยุดลมหายใจ อมลูกอม ยุบท้อง เฝ้าสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้น
- เมื่อมีการรับรู้แล้วจึงเข้าสู่การบำบัด การบำบัดที่ดีที่สุดคือ การบำบัดตามวาระจิตอันมีเหตุแห่งความรู้คอยสนับสนุนความเชื่อมั่นในสิ่งที่กระทำ ทำให้เกิดพลังที่กล้าแกร่ง
- การบำบัดที่ทำให้เกิดพลัง ควรทำการสร้างพลังด้วยการเคลื่อนไหวให้ชำนาญเสียก่อน ด้วยการตั้งฝ่ามือรับรู้ถึงพลังที่เกิดขึ้น ต่อจากนั้นให้หัดการเคลื่อนไหวตามวาระจิตด้วยการลูบตัว ลากเส้นเมอริเดียนและทุบตัวจนกระทั่งหยุดการกระทำหรือลงสมดุล ถือว่าเสร็จสิ้นการบำบัด
- ต่อไปจึงเริ่มกระทำกับผู้อื่นโดยการใช้มือขวากำ ด้วยการทุบที่แผ่นหลังและปล่อยไปตามวาระจิตที่เกิดขึ้น จนกระทั่งหยุดนิ่งหรือลงสมดุล จะสังเกตเห็นว่าผู้บำบัดจะไม่มีปฏิกิริยากับผู้ป่วย
- การบำบัดด้วยพลังจิตก็เหมือนกับการรับประทานอาหาร คือ หิวก็รับประทาน ส่วนการบำบัดด้วยพลังจิตจะต้องกระทำและดูแลตนเองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการปฏิบัติฝึกสมาธิ เป็นประจำ รักษาอารมณ์ให้ปลอดโปร่งอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญที่สุดคือจะต้องรู้จักผ่อนคลายและคลายเครียดที่ทำให้เกิดความสบายทั้งกายและจิตให้เป็น
อีกรูปแบบหนึ่งของการบำบัด
- บิดหัวไหล่ไปทางซ้ายหรือขวาด้วยการทดสอบก่อนว่า ด้านไหนที่รู้สึกโล่ง ให้บิดไปทางนั้น และค้างไว้ให้นาน
- ยืดตัวตรงและยกหน้าอก สังเกตท้องและอาการโล่ง
- บิดใบหน้าไปทางซ้ายหรือขวา ด้วยการทดสอบว่าด้านไหนที่รู้สึกโล่ง ให้หันหรือบิดไปทางนั้น
- ก้มหรือเงยด้วยการทดสอบดูว่า ตำแหน่งไหนที่ทำให้โล่ง
- ในระหว่างการปฏิบัติ ให้ค้างการบิดไว้ในลักษณะนั้นให้ตลอด
- ค้นหาตำแหน่งที่ร่างกายผิดปกติ แล้วจึงกำหนดทำวิถีโค้งเป็นวงแหวนออกไปจากตำแหน่งที่ผิดปกติ
- รอ คอย การบิดกลับคืนมาเองเป็นปกติ ในการบิดกลับให้ปฏิบัติอย่างช้าที่สุด
ให้ปฏิบัติการส่งจิตและติดตามเมอริเดียนจากภายนอกร่างกายให้ได้ มีการปฏิบัติดังต่อไปนี้
- หยุดลมหายใจ อมลูกอม จิตตั้งอยู่ที่จุดกิ่งกลางหน้าผาก ทางด้านหน้า
- สังเกตการหน่วงเหนี่ยวนำ ที่จุดกึ่งกลางหน้าผาก
- ใช้ความรู้สึกจากจุดกึ่งกลางหน้าผากและสายตา ท้ายทอย ยุบท้อง วนเป็นวงกลมไปจนกระทั่งเกิดแท่งออกมาจากจุดกึ่งกลางหน้าผาก
- ให้วนแท่งที่จุดกึ่งกลางหน้าผากสักระยะหนึ่งและหยุดนิ่ง
- ใช้สายตาและความรู้สึกติดตามเส้นสาย พลัง ให้ต่อเนื่อง
- เมื่อมีความชำนาญในการติดตามเส้นสายพลังแล้ว ให้ใช้ความรู้สึกติดตามเพียงอย่างเดียว
- การติดตามเส้นสายพลัง จนกระทั่งหยุดนิ่งหรือลงสมดุล
- ข้อย้ำเตือนของการปฏิบัติ ในระหว่างการปฏิบัติทั้งหมด จะต้องเฝ้าสังเกตความรู้สึกภายในร่างกายตลอดเวลา และต่อเนื่อง
ขั้นตอนการส่งจิตในการบำบัด
เมื่อมีความชำนาญในการฝึกขั้นต้นแล้ว ให้มองไปที่คนป่วย สังเกตพลังว่าทำงานหรือไม่ ถ้าทำงานเองให้ใส่ความรู้สึกติดตามให้ตลอดและต่อเนื่อง จนกระทั่งสมดุล ระยะห่างระหว่างคนป่วยกับผู้ทำการบำบัด ควรมีระยะห่างให้เหมาะสม อย่าใกล้เกินไป ระยะส่งที่ดีคือระยะไกล
ถ้าระยะเบื้องต้นไม่มีกระแสไฟฟ้าไหลเอง โดยอัตโนมัติให้ปฏิบัติต่อไปนี้
- หยุดลมหายใจ อมลูกอม จิตตั้งอยู่ที่จุดกึ่งกลางหน้าผาก ทยอยยุบท้อง
- สังเกตที่จุดกึ่งกลางหน้าผากและที่วงขา วงแขน วงศีรษะ
- ติดตามการหมุนวนของพลังงานทั้งภายในและภายนอกร่างกายผู้ป่วย เมื่อติดตามกระแสการหมุนวน ถ้าหยุดนิ่งเมื่อใดให้ยืดลูกอม ดึงพลังเข้าจุดกึ่งกลางหน้าผากของผู้บำบัด และติดตามกระแสหมุนจากภายในตัวของผู้บำบัดเอง จนกระทั่งกระแสการหมุนวนไปทำกับผู้อื่นอีกครั้งหนึ่ง
- การติดตามกระแสการหมุนวนจะต้องติดตามจนกระทั่งหยุดนิ่งหรือลงสมดุล จะสังเกตเห็นอาการโล่ง โปร่งสบาย ร่างกายไม่บิดไปทางซ้ายและขวา ถือว่าเสร็จสิ้นการบำบัด
อรรถประโยชน์ของการฝึกปฏิบัติบำบัดด้วยวงจรกระแส
- บำบัดสุขภาพของตนเองและผู้อื่น
- ทำให้มีสมาธิจิตและพลังจิตแก่กล้าและมั่นคง
- พัฒนาอำนาจจิตและศักยภาพให้สูงยิ่งขึ้นไป
- ทำให้มีการรับรู้และการหยั่งรู้พลังและธรรมชาติได้ง่าย
- ได้ฌานกระแสพลัง ตลอดเวลา
- ติดตามกระแสพลังได้ทุกชนิด
- เรียนรู้และเข้าใจศาสตร์ที่เกี่ยวกับจิตและพลังจิตได้ทุกชนิด
- พัฒนาการใช้จิตได้ทุกรูปแบบ
- รับรู้และมีสติอยู่ทั่วร่าง ตั้งแต่หัวจรดเท้าตลอดเวลา สแกนหัวจรดเท้า ยืดลูกอมในช่องปากโดยปากปิด
- ทำความรู้สึกที่ผิวหนังรอบนอกและท้องแขนอยู่ตลอดเวลา
- ทำความรู้สึกให้ชัดเจนที่ฝ่ามือ ลามไปทั่วทั้งตัว (มีความชัดเจนอยู่ที่ฝ่ามือ) หยุดลมหายใจ อมลูกอม ทยอยยุบท้อง
- รับรู้ถึงพลังที่อยู่ล้อมรอบร่างกายอยู่ตลอดเวลา
- ทำความรู้สึกให้คล้อยตามไปกับเพลง โดยการผูกปมของเรื่องให้โดนใจ
- เชยคางแบบเฉียงนิดหนึ่ง กระทำที่ตา และนึกถึงตนเองให้ขนลุก
- รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตำแหน่งต่างๆ และตามให้ตลอดจนถึงที่สุด
- ขจัดลูกอมโดยการขยับช่องปากหรือเลื่อนน้ำลายให้แบนราบ เพราะการกระทำในลักษณะนี้ จะต้องสแกนไม่ให้สมองตึง (ต้องสแกนอยู่ตลอดเวลา อย่าให้สมองตึงหรือมีลูกอมในปาก)
- ถ้าพลังงานในร่างกายไม่ไหลเลื่อน พยายามกำหนดโดยการน้อมนำใน 3 ระดับ
- ใช้แรงจากการดึงลมปราณ
- ใช้ความรู้สึก (โดยไม่ออกแรง)
- ใช้จิต โดยกำหนดให้มันกระทำเองโดยอัตโนมัติ
- ถ้าจะเล่นกระแสจิตให้แก่กล้า จะต้องขยายวงรอบของกระแสให้ใหญ่ เล็กได้ดังใจปรารถนา (ตามจิตสั่ง)
- ให้สแกนในแต่ละฐานเพื่อขยายฐานให้กว้างไกล สุดขอบจักรวาล (หยุดลมหายใจ โดยไม่ให้มีลูกอม) จิตตั้งในแต่ละฐาน ทำความรู้สึกขยายตัว ฝึกการส่งจิตเป็นวงกลม 3 ระยะ ใกล้ กลาง ไกล และรอบห้อง
- ใช้สิ่งที่เรียนมาทั้งหมด มาใช้ เช่น บิด ไดนามิก วอร์เท็กซ์ ฯลฯ
- เมื่อลงสมดุล ให้ประสานฝ่ามือเข้าหากัน โดย
- กระทำเกจิ (หย่อนตัวลง แต่ศีรษะยังตั้งตรง)
- กระทำสมาธิจักรวาล
- สงบนิ่งที่ธรรมจักร
- ตลอดทั้งการฝึก จะต้องรับรู้อยู่ที่ผิวหนังรอบนอก ท้องแขน พลังงานภายนอกตลอดเวลา (อย่าเร่งรีบ อย่ารีบร้อน และอย่าร้อนใจ)
วิธีการฟังเพลงอย่างมีความสุข
- เปิดตา
- กดตา
- สูดลมหายใจ ยกหน้าอก
- ยืดลูกอม หัวจรดเท้าอย่างช้าๆ
- มองตนเองให้โดนใจกับเพลงหรือมีความรู้สึกขนลุกขนพอง
- ใส่ความรู้สึกให้เต็มที่