ความสำเร็จทางจิตได้มาอย่างไร
ความสำเร็จทางจิต เราจะเห็นได้ว่ามันไกลตัวเราเหลือเกินสัมผัสไม่ได้ ต้องทำสมาธิอีกกี่สิบปี ต้องสวดมนต์ เค้าบอกให้สวดก็สวด เค้าบอกให้นั่งก็นั่งตามๆกัน แล้วที่นั่งไปแล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าเราเข้าสมาธิได้ และแต่ละครั้งเรารู้หรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เราเห็นหรือไม่ หรือทำซ้ำๆ กันทุกวัน จนกว่าจะสำเร็จ มีหนทางใดบ้างที่เราจะรู้เห็นเป็นขบวนการของจิตในแบบรูปธรรม แต่ถ้าเรารู้กลไกของจิต มันเป็นเรื่องง่าย เพราะจิตอยู่ในรูปคลื่นพลังงาน ทำงานเมื่อมีกระแสไฟฟ้า แล้วเราจะสัมผัสจิตได้อย่างไร เราต้องเปลี่ยนความถี่ของสมอง เคลื่อนไหวให้พลังงานลอยตัว หรือจากการสั่นสะเทือนจากสิ่งแวดล้อม เช่นระฆัง หรือเสียงที่สั่นสะเทือนตลอด คนที่อยู่โรงงานที่มีเครื่องจักรจะได้เปรียบ หรือคนที่สวดมนต์เสียงดังจะได้เปรียบ แต่ก็มีเทคนิควิธีคือถ้าพลังงานลอยตัวแล้วไม่จัดให้อยู่ในวงจร ก็เสร็จอีก เป็นโรคต่างๆตามมา อาจจะวิปลาสก็ได้ แต่ถ้าเราเรียนรู้โดยการกระตุ้นให้พลังนี้ลอยตัวและจัดวงจร ให้กับพลังงานและให้สมองของเราอยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก มีกลไกการทำงานขับเคลื่อนอัตโนมัติ เราจะเห็นจิตได้ในแบบรูปธรรม สามารถดูจิต ซึ่งอยู่ในรูปคลื่นพลังงานได้ตลอดและต่อเนื่อง จะเห็นการสั่นสะเทือนของพลังงานเมื่อมีอะไรมากระทบ เมื่อเราเฝ้าดูสิ่งที่สั่นสะเทือน จะเกิดการขยายตัวของพลังงาน และสลาย ดับไปเปรียบเหมือนการโยนก้อนหินลงน้ำช่วงแรกสั่นสะเทือนแล้วขยายเป็นชั้นๆๆแล้วก็หายไป เป็นอย่างนั้นเสมอไป ถ้าเราทำอยู่เรื่อย ๆเราไม่ต้องคิดแต่ใช้ความรู้สึกติดตามพลังงาน จะเห็นจิตที่ชัดเจนขึ้นและคำที่ว่า ดับแล้ว สิ้นแล้ว ก็จะเกิดกับเราในไม่ช้า
ความสำเร็จทางจิตมาจากไหน ในแนวทางวิทยาศาสตร์
ความสำเร็จทางจิตอยู่ที่น้ำในร่างกายที่เป็นไอโซโทป สามารถเกิดการแปรธาตุของน้ำให้เป็นไอโซโทป โดยการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์มีการรวมอนุภาค และแยกประจุออกไปไกล ทำให้จำนวนนิวตรอนของน้ำมีจำนวนมากกว่าอะตอมมิกนัมเบอร์เป็น 4 เท่า ซึ่งมีภาวะที่เหนือกายภาพ มีผลมาจากการพัฒนาสมองส่วนหลัง ส่วนกลาง และส่วนหน้าให้อยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก จากการฝึกในการที่ทำให้พลังคุณฑาลินีลอยตัวขึ้นมาที่สมองส่วนหลัง เกิดการอัดแน่นของพลังและยุบตัว ขยายประจุออกไปสู่วงรอบนอก เมื่อมีการแยกกันระหว่างอนุภาค หรือนิวตรอนกับประจุแล้ว จะทำให้เกิดความเป็นสนามแม่เหล็ก มีการดูดผลักแบบสืบเนื่อง เกิดการรับรู้ทั้งภายในร่างกายและภายนอกร่างกาย สามารถจับเส้นสายพลังจักรวาล เพื่อเก็บเกี่ยวเส้นสายถักทอให้เส้นสายมีความหนาแน่นจนกระทั้งเส้นสายมารวมกันในที่เดียวกัน เท่ากับเราสามารถรวมเส้นสายทั้งจักรวาลเข้าอยู่ในที่เดียวกัน จำนวนประจุไฟฟ้าที่อยู่วงรอบนอกก็จะมีจำนวนมหาศาล ถือว่าพลังคุณฑาลินีเป็นคุณอันวิเศษ ที่ทำให้สามารถรับรู้ ถึงคลื่นพลังงานที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่เราสามารถสัมผัสได้ ทุกส่วนของสมองต้องสร้างวงจรให้พลังงานเดิน เพื่อให้โมเลกุลเรียงไปในทิศทางเดียวกัน มีการโคจรเป็นวิถีโค้ง ไม่งั้นสนามแม่เหล็กก็จะไม่เกิด ส่วนสมองส่วนหน้าเกิดจากการพัฒนาจากการตื่นตัวทางความคิด ความกลัว ความรัก และอารมณ์ความรู้สึก เกิดประจุไฟฟ้าเข้ามาที่สมองส่วนหน้า คลื่นของสมองส่วนหน้าจะเกิดการสั่นสะเทื่อนอย่างสูง เรียกว่าช่วง Super Beta เกิดการอัดแน่นและยุบตัว แผ่ขยายประจุออกไปสู่วงโคจรรอบนอก เกิดการดูดผลักและการสร้างสมโภคะกาย มีได้ทั้งสมองส่วนหน้าและส่วนหลัง ก่อร่างสร้างกายโดยการใช้เส้นสายจักรวาลเข้ามาถักทอในกายสารเป็นร่างแห ส่วนสมองส่วนกลางที่เกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก ยิ่งมีอารมณ์ที่สุนทรียภาพ น้ำจะนำพามาพร้อมกับพลังคุณฑาลินีที่อยู่ในรูปของประจุไฟฟ้า ที่ไหนมีประจุที่นั่นมีน้ำขึ้นมาจากแนวกระดูกสันหลังนำสู่สมองส่วนกลาง เมื่อมีการสวดมนต์หรือมีการเคลื่อนไหวจะทำให้ประจุไฟฟ้าลอยตัวขึ้นสู่สมองอย่างมหาศาล เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์แตกตัวของอนุภาคและประจุออกจากกัน เป็นกัมมันตภาพรังสี น้ำนี้จะแทรกไปทั่วร่าง เกิดการแปรธาตุทั้งระบบมีความเร็ววงรอบเหนือแสง สามารถเชื่อมต่อกับระบบและจักรวาล และเมื่อมีปัจจัยถึงพร้อมเมื่อสมองส่วนหน้าเป็นสนามแม่เหล็ก และมีกำลังในการเฝ้าดูสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว จะทำให้จิตเป็นอิสระไม่ยึดคลื่นหรือสัญญาใดใดแล้ว ก็จะเข้าไปรวมอยู่กับเส้นสายที่มีความเป็นสนามแม่เหล็กที่สมองส่วนหลัง เกิดการล๊อคอนุภาคของพลังงาน ประจุไฟฟ้าขยายออกไปไกล เมื่อมีสิ่งใดที่สั่นสะเทือนจะเข้าสู่วงรอบนอกของชั้นพลังงานที่แผ่ขยายออกไป โดยไม่สามารถหวนกลับมา ถือว่าได้ดับแล้ว สิ้นสัญญาแล้ว เท่ากับการ ความหลุดพ้นทางจิต ก็มีขบวนการเป็นเช่นนี้ ถ้ายังไม่สามารถหลุดพ้นได้เพราะยังมีการยึดเป็นตัวตนแล้วจิตไม่อิสระ แต่สมองส่วนหน้ามีความเป็นสนามแม่เหล็กอย่างยิ่งยวด ก็จะสามารถเป็นเซียนได้คือเป็นอมตะ...เท่ากับยังไม่สามารถหลุดพ้นได้ ความสำเร็จทางจิตอยู่ที่จิตเป็นอิสระไม่เกาะติดสิ่งใด เมื่อจิตอิสระ ความเป็นตัวตนก็จะไม่เกิดขึ้น เมื่อนั้นจะเกิดมหาสติได้ทุกขณะจิต เป็นวิปัสสนากรรมฐานที่เห็นจิตในแบบรูปธรรม...อย่างเห็นได้ชัด มหาสติเป็นหนทางเดียวที่เข้าสู่นิพพาน สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นนวธรรมล้ำยุคในโลกปัจจุบันที่ผู้คนต่างได้รับคลื่นประจุไฟฟ้า ที่ไม่ได้จัดระบบ วงจร ทำให้เกิดโรคความเจ็บป่วย ถ้าเรารับรู้ถึงคลื่นต่างๆ และนำมาจัดวงจรและเข้าใจถึงกลไกลของจิตแล้ว การพัฒนาจิตจะสามารถพัฒนาได้ในอัตราเร่ง
สิ่งที่ขัดขวางความสำเร็จทางจิต
สิ่งที่ขัดขวางความสำเร็จทางจิต คือการยังใช้ความคิดอยู่ โดยการปรุงแต่งจิตขึ้นมา หรือการยึดความเป็นตัวตนว่าดี ใช่ ไม่ใช่ ซึ่งคนเราต้องคล้อยตามธรรมชาติ อย่างคำว่า คล้อยตามข้า อยู่ ขัดขืนข้า ตาย ธรรมชาติคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นถ้าเราฝืนกับธรรมชาติ โดยใช้ความคิดเป็นเครื่องตัดสิน เมื่อนั้นจากภาวะที่มีความรู้สึก จะขับเคลื่อนของพลังงานด้วยความเร็วสูง แต่ถ้าใช้ความคิดมาหยุดยั้งความรู้สึก จะทำให้ความเร็ววงรอบของพลังงานช้าลง จึงติดอยู่ในวัฏสงสาร ไม่สามารถหลุดพ้นได้ การคล้อยตามความรู้สึกที่เกิดขึ้น ยอมรับและเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น จะทำให้เกิดความเร็ววงรอบของพลังงานได้เร็วขึ้นจนเร็วเหนือแสงถ้ามีเหตุปัจจัยถึงพร้อม เกิดการขยายตัวของสิ่งที่มากระทบออกไปอย่างอิสระ มีการสลัดประจุ อยู่ตลอดเวลา สารแห่งความสุขจะหลั่งออกมาตลอด เกิดการขยายตัวของชั้นพลังงานออกไปไกล จนกระทั่งไม่หวนคืนมา
แต่คนเรามักติดอยู่ที่ความคิด ไม่เคยใช้ความรู้สึกที่แท้จริงในการดูมันให้ถึงที่สุด จึงเป็นอุปสรรคในการบรรลุธรรม แล้วเราจะทำอย่างไรล่ะ เราต้องให้ความรู้สึกนั้นเป็นรูปธรรม ซึ่งอยู่ในรูปของจิตวิญญาณ ซึ่งก็คือการรับรู้ถึงพลังงานที่เกิดขึ้น และสามารถสัมผัสได้ ช่วงแรก ความแข็งแกร่งในการดูความรู้สึกหรือจิตวิญญาณยังไม่ชำนาญ เราจะใช้ความคิดหรือสมองส่วนหน้าด้วยความเคยชิน แม้เราจะมีจิตวิญญาณแล้ว เราต้องทำให้จิตวิญญาณนั้นอยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก โดยขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ มีการดูดผลักของพลังงานให้เรารู้สึกตลอดเวลา เมื่อนั้นเราจะไม่ใช้ความคิดในความเป็นตัวตน ตัวเค้า ตัวเรา แต่เราจะดูการสั่นสะเทือนที่มีสิ่งมากระทบได้ตลอดเวลา รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เฝ้าดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและติดตามความรู้สึกนั้น จนกระทั่งจะเกิดความเร็ววงรอบขยายชั้นพลังงานออกไปไกลแสนไกล สิ่งที่เกิดขึ้นจะถูกดับสัญญานั้นไม่หวนคืนมาอีกต่อไป...