เพราะพลังคุณฑาลินีหรือพลังแรงขับ ทำให้เกิดการดูดซับประจุไฟฟ้าจำนวนมหาศาลแบบไม่จำกัดได้ ทำให้เกิดความเร็ววงรอบของพลังงาน เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ ฟิสิกส์ เมดิเตชั่น เกิดการขยายตัวของพลังงานออกไปสู่วงรอบนอก ทำให้เกิดสติปัญญาแบบฉับพลัน เนื่องจากก่อนที่จะมาเป็นพลังคุณอันวิเศษ ต้องมีพลังคุณฑาลินีมาก่อนเพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนของพลังงาน ยิ่งคนที่สามารถเข้าสมาธิระดับฌานแล้ว ต้องมีพลังคุณฑาลินีที่สูงมาก เพื่อให้เกิดความเร็ววงรอบและสามารถล๊อคอนุภาคให้สู่จุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อมีความนึกคิดเข้ามาในสมาธิ จะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้พลังคุณฑาลินีลอยขึ้นมาที่สมองอย่างสูง เมื่อจิตในสำนึกหรือสมองส่วนหน้ามีกำลังที่จะเฝ้าดูคลื่นพลังงาน ที่เรารับรู้ได้จากการพัฒนาสมองส่วนหลังให้มีการรับรู้ถึงคลื่นพลังงาน เส้นสายพลังจักรวาล จะทำให้เกิดความเร็ววงรอบเร็วอย่างมาก เกิดการแตกระเบิดและขยายตัวออกไปวงกว้าง จนเห็นการเกิดดับที่ชัดเจน เกิดสติปัญญาในการรู้แจ้งเห็นจริงได้ในขณะนั้น การแปรธาตุ ก็ได้มาจากพลังคุณฑาลินีที่เข้ามาอย่างมหาศาล แต่ไม่เกิดอันตรายใดใด เพราะ เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม สมองส่วนหลัง มีเส้นสายอย่างหนาแน่นและมีความเป็นสนามแม่เหล็กอย่างยิ่งยวด รวมถึงสมองส่วนหน้าที่มีความเป็นสนามแม่เหล็ก มีกำลังที่จะดูสิ่งที่เกิดขึ้นในรูปคลื่นพลังงานนั้น โดยใช้การรับรู้ เฝ้าดู ติดตามให้ได้ตลอดและต่อเนื่อง มันเป็นมรรควิธีในการดูจิต ในรูปคลื่นพลังงาน ที่เราสามารถทำได้ทุกคน มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในตัวทุกคน เพียงแต่เราจะหาวิธีหนทางอย่างไรที่จะสามารถพัฒนาจิตโดยอัตราเร่ง โดยใช้การรับรู้เรื่องคลื่นพลังงาน จากการพัฒนามาจากพลังคุณฑาลินีที่มีกันอยู่ทุกคน...ให้เกิดศักยภาพในการพัฒนาจิต การเคลื่อนไหวก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะพัฒนาพลังคุณฑาลินี ให้เป็นพลังคุณอันวิเศษ เคลื่อนไหวอย่างไร.... เคลื่อนไหวให้พลังคุณฑาลีนีลอยตัวขึ้นมาอย่างมหาศาล แนะนำการลากเส้นเมอริเดียน จะสามารถดูดซับประจุได้อย่างมหาศาลและลอยตัวขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนความถี่ของสมอง ให้เกิดจิตวิญญาณ คือการรับรู้เรื่องพลังงาน และจิตวิญญาณนี้ ก็คือคุรุภายในซึ่งจะเกิดก็ต่อเมื่อมีการเคลื่อนไหว คล้อยตามความรู้สึก โดยใช้ความคิดเกาะติดความรู้สึก พัฒนาความเป็นสนามแม่เหล็กของสมองส่วนหลัง มีการขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติ และมีวงจรที่แน่นอน ยิ่งพลังคุณฑาลินีลอยตัวสูงมากเท่าไหร่ จะสามารถแยกอนุภาคกับประจุไฟฟ้าออกไปได้ไกลจากความเป็นสนามแม่เหล็กนั่นเอง แต่ไม่เพียงพอ ความเป็นสนามแม่เหล็กต้องเกิดที่สมองส่วนหน้า ด้วย เพื่อมีกำลังในการเฝ้าดูจิต จนกระทั่งเมื่อเฝ้าดู จะเกิดความเร็ววงรอบ และเกิดการขยายตัวของพลังงานออกไปสู่วงรอบนอก จึงจะสามารถดับสัญญาต่างๆได้ แต่แท้จริงแล้ว สัญญานั้นไม่ได้หายไปไหนเพียงแต่ได้ถูกขยายออกไปไกลจนไม่หวนกลับคืนมา ถือว่าดับแล้ว สิ้นแล้วในสัญญา.....คำว่ารับรู้ เฝ้าดู ติดตามอยู่เฉยๆ ถึงจะเป็นคำอันศักดิ์สิทธิ์เพราะมีเหตุปัจจัยถึงพร้อมแบบนี้นี่เอง