คนที่วิปลาสเกิดจากอะไร ก่อนอื่นต้องมาดูกันก่อนว่าวิปลาสคืออะไร คือการคิดคลาดเคลื่อน พูดคลาดเคลื่อน กระทำคลาดเคลื่อน เกิดจากจำนวนประจุไฟฟ้าในกระแสเลือดมีสูง มาจากคนที่มีพรสวรรค์ มีพลังคุณฑาลินีสูง จะสามารถดูดซับประจุไฟฟ้าเข้าสู่กระแสโลหิตได้มากกว่าคนทั่วไป และพลังคุณฑาลินีไม่ถูกจัดเรียงโมเลกุลไปในทิศทางเดียวกัน มีการขับเคลื่อนแบบไร้ทิศทาง เมื่อพลังคุณฑาลินีลอยตัวขึ้นมาที่สมองส่วนท้ายทอย ซึ่งยังไม่มีการจัดระบบระเบียบทิศทางของพลังงาน จึงทำให้เกิดการเห็นภาพ ที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง การเปลี่ยนแปลงของพลังงานไม่เกิดภาวะสมดุล เกิดการดูดซับพลังงานตลอดเวลา สิ่งที่เห็น สิ่งที่พูด หรือสิ่งที่คิด มาจากจิตใต้สำนึกหรือสมองส่วนหลัง ที่เคยถูกบันทึกเรื่องราวหรือข้อมูลต่างๆมา ทำให้สมองส่วนหน้าเกิดการปรุงแต่งเพื่อเชื่อมโยงกับสมองส่วนหลัง ทำให้จินตนาการเหมือนสมจริง แต่จริงแล้วมันเป็นภาวะการกระจุกตัวของพลังงาน แล้วเราทำอย่างไรให้ภาวะนี้หายไป ต้องมีการสร้างวงจรให้กับพลังงาน เมื่อลอยตัวขึ้นมาที่สมองส่วนท้ายทอยแล้ว เปลี่ยนคลื่นความถี่ในสมองให้อยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก โดยการให้พลังคุณฑาลินีหรือพลังงานลอยตัวขึ้นมาอัดแน่น ยุบตัว และขยายวงรอบของชั้นพลังงานออกไป แยกประจุกับอนุภาคออกจากกัน เกิดการขับเคลื่อน สร้างทางเดินให้พลังงานงานขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน เมื่อนั้นเราจะเข้าสู่สภาวะที่เห็นตามความเป็นจริง และไม่เกิดภาวะการกระจุกตัวของประจุไฟฟ้า นำพาไปสู่โลกร้ายในที่สุด เมื่อสามารถปรับเปลี่ยนจากภาวะวิปลาสจะทำให้ถูกยกระดับวิวัฒนาการของจิตได้เร็วกว่าคนปกติ เนื่องจากมีทุนเดิมจากจำนวนประจุไฟฟ้าที่มีอยู่อย่างมาก จะเกิดความเร็ววงรอบของพลังงานสูง ทำให้อนุภาคถูกล๊อคเข้าสู่แกนกลาง จนกระทั่งนิ่งในที่สุด จึงสามารถเชื่อมต่อกับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลได้ เป็นการพัฒนาซีริเบลลัมจากภาวะที่มีประจุไฟฟ้าที่ยังไม่มีวิวัฒนาการเพื่อสร้างเหตุปัจจัยถึงพร้อมในความสำเร็จทางจิต...เมื่อเราสามารถสัมผัสจิตในรูปคลื่นพลังงานแล้ว อุปทานหรือการปรุงแต่งจะไม่เกิดขึ้น เพราะคลื่นไม่ได้เป็นของใคร มันเป็นธรรมชาติของมันเอง ตราบใดที่คนยังมีคิด จะทำให้หยุดยั้งความสำเร็จทางจิต เพราะจิตไม่เป็นอิสระ เมื่อยึดติดอยู่ในสัญญาใดสัญญาหนึ่ง จะทำให้ความเร็ววงรอบช้าลง การพัฒนาจิตก็ไม่สามารถสำเร็จได้เลย....เกิดอะไรขึ้นให้รับรู้...เฝ้าดู....ติดตาม อยู่เฉยๆๆ ดูให้ถึงที่สุด และจะพบกับธรรมชาติของจิตที่แท้จริง...