เราจะเข้าสู่หนทางสู่ธรรมชาติ ซึ่งก็คือหนทางสู่พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าคือทุกสรรพสิ่งที่อยู่ในทุกที่ การจะเข้าสู่หนทางสู่ธรรมชาติ หรือเข้าสู่ความเป็นพระเจ้า ต้องกระทำทุกสิ่งโดยปราศจากความคิด แต่ยังมีความคิดที่เกาะติดความรู้สึกที่มีในขณะกระทำ เพราะความคิดยังมีอัตราความเร็วที่จำกัด ไม่สามารถขับเคลื่อนพลังงานให้มีอัตราความเร็วที่สูง แต่ถ้าเราเข้าใจมรรควิถีหรือทางที่เข้าสู่ธรรมชาติ เพียงแต่ รับรู้ เฝ้าดูการกระทำที่เกิดขึ้น จะเกิดความเร็วและแรงในการขับเคลื่อนพลังงานอย่างไร้ขีดจำกัด การรวมกับทุกสรรพสิ่ง การเชื่อมต่อสัญญากับทุกสรรพสิ่งจึงเกิดขึ้น เส้นสายหรือเส้นแรงของจักรวาลจะมารวมกันเป็นหนึ่ง เมื่อนั้นจะทำให้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ หรือพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งมีความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กอย่างสูงสุด
วิถีของ The way of nature ใช้การเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ปราศจากความคิด จึงมีวิวัฒนาการอย่างสืบเนื่อง จนกระทั่งสู่ความยิ่งยวดของสนามแม่เหล็ก เส้นแรงชิดกันอย่างหนาแน่น ความเร็วเหนือแสง ไร้ระยะทาง ไร้กาลเวลา สามารถเชื่อมต่อทุกสรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อมจากการพัฒนาจิตวิญญาณตามวิถีของธรรมชาติที่เป็นจริง การเคลื่อนไหว คล้อยตามความรู้สึก จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะเป็นวิถีของธรรมชาติ ที่เราค้นหาความจริงของธรรมชาติที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพียงคล้อยตามในสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อนั้นจะเกิดอำนาจพลังอย่างมหาศาล รุนแรงและรวดเร็ว การเข้าใจธรรมชาติของจิต รวมถึงการทำสมาธิ การสำเร็จในธรรมจึงสำเร็จโดยปราศจากความคิดหรืออัตตาตัวตน แต่ใช้ความรู้สึกคล้อยตามในสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะ จะเห็นธรรมชาติของจิตที่เกิดขึ้นได้ชัดเจน เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ จะเกิดการปล่อยวางได้อย่างง่ายดายและสู่ความเป็นพุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน อยู่ตลอดเมื่อมีเหตุปัจจัยถึงพร้อม.....