โดยปกติทั่วไปคนทุกคน ไม่สามารถที่จะสัมผัสหรือรับรู้ถึงความรู้สึกที่เกี่ยวกับพลังงานได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย มีระบบประสาทรับรู้ได้ทางกายภาพเท่านั้น ดังเช่น การรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือเรียกว่า การรับรู้โดยวิญญาณ อันประสาทสัมผัสอายตนะ ที่รับรู้สี แสง เสียง กลิ่น รสสัมผัส ร้อน หนาว เย็น เป็นต้น แต่การรับรู้ต่อไปนี้ เป็นการรับรู้ในเรื่องพลังงาน ที่อยู่นอกเหนือระบบประสาทสัมผัส เป็นการรับรู้ทางจิตวิญญาณ ส่งผลให้เกิดอาการหน่วง เหนี่ยวนำ ตึง ดึงรั้ง ผลัก ดัน ที่เกิดจากสนามพลังที่มีอยู่ทั้งภายนอกและภายในร่างกาย ที่มีระดับความถี่ของคลื่นแตกต่างกัน จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในการแยกระดับความถี่ของคลื่น ในกลุ่มก้อนพลังงานที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้กระทั่งในมวลสารทุกชนิด จึงจำเป็นต้องมีการฝึกฝนในการเรียนรู้ในเรื่องพลังงาน หรือการรับรู้ที่ส่งเสริมทำให้เกิดพลังงาน จิตที่จะรับรู้ในเรื่องของพลังงานนั้นก็คือ จิตวิญญาณ โดยรูปนัยสำหรับการฝึกสมาธิเคลื่อนไหว จิตวิญญาณจึงมีความหมายต่อการรับรู้ในเรื่องของพลังงาน หรือการรับรู้ที่ส่งเสริมทำให้เกิดพลังงาน จิตที่จะรับรู้ถึงเรื่องพลังงาน โดยประสาทสัมผัสทางจิต เรามาทำความเข้าใจถึงพื้นฐานของสสาร และมวลสารเสียก่อนว่า สรรพสิ่งทั้งปวงประกอบด้วยคลื่นและพลังงาน ดังเช่น การเปลี่ยนแปลงภายในตัวสสารเอง จะมีลักษณะสสาร มวลสารเป็นการเคลื่อนไหวของอิเลกตรอน อนุภาคของมวลสารและโมเลกุลของสสาร ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของมวลสารมาเป็นพลังงาน และพลังงานเปลี่ยนแปลงมาเป็นคลื่นหรือพลังงาน จิตอยู่ในรูปของคลื่นอยู่แล้ว เป็นการกลับไปกลับมาของวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงของสสาร และมวลสารทุกชนิด อาจเขียนโครงสร้างง่ายๆ ดังต่อไปนี้
สสาร มวลสาร <--------> พลังงาน <--------->คลื่น
เป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เพราะการเปลี่ยนแปลงของสสาร มวลสาร จึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวหรือการไหลของพลังงาน หรือมีการถ่ายเทของพลังงาน จิตเป็นบ่อเกิดของพาหะของย่านความถี่ ที่เรียกว่าคลื่นพลังงาน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายผูกพันกับคลื่นพลังงานอยู่ตลอดเวลา โดยที่ไม่รู้ตัว อันเนื่องมาจากความเคยชินของแรง หรือสนามพลังงาน รอบกายเรามีแหล่งกำเนิดของพลังงานคลื่นอยู่มากมาย หลายย่านความถี่ แต่สิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์มีขีดจำกัดในการรับรู้สัมผัสความถี่คลื่นของสิ่งต่างๆ อย่างจำกัด เช่น แสง เสียง เนื่องจากการรับรู้จำกัด จึงทำให้มนุษย์มีกลไกรับรู้ของสมองได้อย่างจำกัด เป็นการรับรู้ได้ทางกายภาพเท่านั้น อย่างเช่น มืด สว่าง ดัง เบา ค่อย ร้อน หนาว เย็น เจ็บ ปวด ฯลฯ มนุษย์จัดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสมองใหญ่ที่สุด และพัฒนาการดีที่สุด
เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณของสมองต่อน้ำหนักตัวมนุษย์ที่มีปริมาณสมองขนาด 1400-1500 ซีซี. มนุษย์มีการรับรู้ทางกายภาพหรือถูกกระตุ้นทางกายภาพตลอดเวลา ส่งผลให้สมองมีประสิทธิภาพได้ 3-4% เท่านั้น ขาดหายไป 96% ซึ่งส่วนที่ขาดหายไป 96% นี้จะต้องกระตุ้นด้วยการฝึกฝนการรับรู้ทางกายภาพและพลังงาน การรับรู้ทางพลังงานเป็นการรับรู้ของจิต หรือ จิตวิญญาณ โดยมีจิตและสมองทำงานที่สอดคล้องกัน ดังมีคำกล่าวว่า "จิตว่าง บางเบา สมองผ่อนคลาย กล้ามเนื้อไม่ตึงไม่รั้ง ร่างกายรู้สึกสบายๆ" ก็คือ จิตดี สมองดี ร่างกายแข็งแรง ถ้าจิตไม่ดี สมองเกร็งด้วย หรือมีสภาวะความเครียด ร่างกายก็ผิดปกติ คือไม่แข็งแรงตามไปด้วย
การรับรู้ของสมองทางกายภาพ เป็นการรับรู้ทางระบบประสาท โดยมีตัวรับและส่ง ยังผลให้มีการบันทึกและสะสมในรูปพลังงาาน นำมาซึ่งสภาวะก่อเกิดอารมณ์ อารมณ์จึงเป็นสัญญาในทางพุทธศาสตร์ ในหลายๆ สัญญาที่ผ่านการบันทึก จึงรวบรวมเป็นจิต สรุปก็คือ จิตเป็นการบันทึกเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากกรรม หรือการกระทำ อันมีเหตุปัจจัยมาจากสภาวะธรรม หรือธรรมชาติที่ดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง จิตเป็นเรื่องของการสะสมพลังงานที่ดำเนินอยู่ในรูปของพลังงานคลื่น มีการบันทึก และสะสมในสมอง เสมือนว่า บ้านของจิตอยู่ที่สมอง จิตเป็นพลังงานคลื่นที่รวมอยู่เป็นกลุ่มก้อน ก่อเกิดจิตวิญญาณขึ้น ดังนั้น จิตเป็นเส้นคลื่นที่รวมเป็นกลุ่มก้อน และทำงานไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ในลักษณะกระแสไฟฟ้าที่มีผลกระทบต่อกล้ามเนื้อโดยตรง ในลักษณะหดและคลาย ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของร่างกาย เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน การดำเนินการในลักษณะนี้ จะมีการสะสมของกระแสไฟฟ้าที่กล้ามเนื้อโดยตรง ตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อบริเวณใด มีการเจ็บปวด ตึง ดึงรั้ง ปวดร้าว เมื่อย เป็นผลพวงของการกระจุกตัวของกระแสไฟฟ้า ส่งผลให้มีการไหลเวียนกระแสไฟฟ้า กระแสโลหิต รวมทั้งกระบวนการหายใจในเรื่องพลังงานชีวิตผิดปรกติไป อวัยวะภายในจะได้รับผลกระทบต่อการทำงานของกระแสไฟฟ้า อาจนำมาซึ่งขบวนการทำงานของร่างการผิดปรกติ เช่น กระบวนการหายใจ ก่อเกิดความดันโลหิตในร่างกายที่ผิดปรกติ กระบวนการย่อยอาหาร ดูดซับอาหาร รวมทั้งระบบขับถ่ายผิดปรกติ อันมีสาเหตุมาจาก ความผิดปรกติของจิต ส่งผลทำให้การทำงานของร่างกาย และกล้ามเนื้ออย่างเช่นในกรณีมีภาวะความเครียดสะสม จะมีอาการตึง หรือปวดศีรษะ ปวดร้าวต้นคอ เกร็งแผ่นหลัง ปวดท้อง และขับถ่ายไม่เป็นเวลาหรือผิดปรกติ ดังนั้น สมอง ร่างกาย กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน กระบวนการหายใจ กระบวนการย่อยอาหาร ดูดซับอาหาร ระบบขับถ่าย มีการทำงานเป็นปฏิภาค โดยตรงกับจิต ดังคำที่ว่า จิตดี ร่างกายก็แข็งแรง ประหนึ่งว่า จิตและร่างกายเป็นส่วนเดียวกัน หรือหนึ่งเดียวกัน แต่โดยระบบแล้ว ร่างกายและจิต มีการทำงานที่ซับซ้อนและสอดคล้องกัน มีขบวนการที่แน่นอน และตายตัว เป็นเหตุเป็นผลอย่างมีระบบ
แต่โดยทั่วไปแล้ว จิตจะเป็นเรื่องของนามธรรม ที่ไม่สามารถแตะต้องได้ สำหรับการฝึกจิตอย่างมีทิศทาง จะต้องกระทำในลักษณะรูปธรรมที่สามารถรับรู้ สัมผัสแตะต้องได้ในเรื่องของอาการ ถ่ายเท ถ่ายทอด การไหลเวียนของกระแส และพลังงานในระบบสัมผัสที่พิเศษ ที่นอกเหนือไปจากการรับรู้ทางกายภาพ ส่วนเรื่องของพลังงานจะต้องกระทำหรือรับรู้ทางจิต หรือจิตวิญญาณที่มีการพัฒนาการอย่างมีระบบ ในลักษณะของการเปิดกลไกลของสมอง 96% อย่างเป็นรูปธรรม สังเกตได้จากการไหลของกระแสไฟฟ้าที่มีอาการหน่วง เหนี่ยวนำ ทำให้เกิดอาการ ตึง ดึงรั้ง ของกล้ามเนื้อ ความรู้สึกในขณะนั้นเหมือนกับมีสนามแม่เหล็ก หรือแท่งแม่เหล็กจริงๆ ซึ่งมีปฏิกิริยา ดูด และ ผลัก สลับกันไป ปฏิกิริยาดังกล่าว ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวของร่างกาย ในส่วนของจิต หรือความคิด ความรู้สึกที่ตั้งอยู่ ณ ตำแหน่งนั้น กลไกสมอง 96 เป็นกลไกของจิตวิญญาณ ที่มีการรับรู้เรื่องพลังงาน และมีการทำงานสอดคล้องกับสมองอย่างมีระบบอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งการเคลื่อนไหวอย่างมีรูปแบบและวิถีการเคลื่อนไหว เป็นไปตามการพัฒนาการของจิต ที่รับการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของการฝึกสมาธิเคลื่อนไหว (Movement)
สำหรับการฝึกสมาธิเคลื่อนไหวนั้น ผู้ที่จะฝึกจะต้องมีความเข้าใจ และทักษะในเรื่องของจิต สติ สมาธิ สัญญา รหัส พลังงาน การทำงานของกระแสไฟฟ้า การทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาท รวมทั้งธาตุ และมวลสารพอสมควร จึงจะสามารถเข้าใจการเคลื่อนไหวโดยถ่องแท้
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นพื้นฐานของการฝึกสมาธิเคลื่อนไหว แต่ถึงผู้ฝึกไม่มีความรู้พื้นฐาน หรือไม่เคยฝึกสมาธิมาเลย ก็สามารถฝึกได้ในระยะเริ่มแรก ต้องจับกระแสของแรงที่ฝ่ามือทั้งสองให้ได้เสียก่อน เมื่อจับกระแสแห่งแรงหรือกลุ่มก้อนพลังงานได้แล้ว การพัฒนาการหรือเปิดกลไกสมอง 96 ก็จะเริ่มทำงานการเคลื่อนไหว จากไร้รูปแบบสู่การพัฒนาการการเคลื่อนไหวที่มีรูปแบบตายตัว และพัฒนาขึ้นตามลำดับ และเปลี่ยนแปลงไปตามวิถีแห่งการพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณ ตลอดระยะของการเคลื่อนไหว เสมือนหนึ่งเป็นการปลดปล่อย และผ่อนคลายสัญญาที่สะสม ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ให้เข้าสู่สภาวะสมดุล หรือภาวะแห่งความเป็นกลาง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อุเบกขาทางอารมณ์ การเคลื่อนไหวก็จะสงบนิ่งเอง แสดงว่า ร่างกายปลดปล่อยเข้าสู่สมดุลเรียบร้อยแล้ว
ก่อนที่จะทำการฝึก จะต้องเข้าใจความหมายของคำว่า สมาธิ ในแนวทางเคลื่อนไหว ว่าคืออะไร ซึ่งอาจจะแตกต่างจากสมาธิที่เคยรับรู้มาก่อน สำหรับการฝึกแนวนี้คือ
"การมุ่งมั่นที่จะประคองความรู้สึก พลังความรู้สึกให้อยู่ได้ตลอดและต่อเนื่อง หรือความมุ่งมั่นที่จะรักษาอารมณ์นี้ให้อยู่ได้ตลอดและต่อเนื่อง"
เราจะเห็นองค์ประกอบของสมาธิเคลื่อนไหว ว่า
ทั้ง 3 องค์ประกอบ ถือเป็นปัจจัยหลักของการฝึกสมาธิแนวนี้ ต่อไปมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสมาธิเคลื่อนไหว ว่าคืออะไร มีการฝึกอย่างไร ที่สุดของการพัฒนาการฝึกอยู่ที่ใด
จิตมีการพัฒนาการ มีการเรียนรู้ สั่งสม จิตสามารถสั่งได้ จิตมีการเชื่อมต่อ และลอกเลียนข้อมูลจากการได้สัมผัส ได้ยิน ได้ฟัง การมองเห็น การรู้รส การดมกลิ่น จิตมีการพัฒนาการในตัวของจิตเอง จิตเป็นที่สั่งสมข้อมูล ที่อยู่ในรูปของพลังงาน ทำงานเมื่อเป็นกระแสไฟฟ้า เมื่อมีความคิดเมื่อใด ย่อมเกิดกระแสไฟฟ้าเมื่อนั้น
จากการฝึก เราใช้จิตนั้นอยู่ที่มือทั้งสองข้าง แสดงว่า มีกระแสไฟฟ้าไหลจากสมองผ่านวงแขนไปสะสมอยู่ที่มือทั้งสองข้าง ในขณะที่มีกระแสไหลผ่านกล้ามเนื้อของวงแขน ทำ ให้กล้ามเนื้อหดและคลาย และมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น การส่งจิตไปอยู่ที่มือก็คือ ส่งกระแสไฟฟ้าไปอยู่ที่มือนั่นเอง เมื่อมีกระแสสะสมอยู่ที่มือ เราจะรู้สึก หน่วง เหนี่ยวนำ ดูดและผลัก เป็นสนามแม่เหล็ก
ถ้าเราจะเปรียบมือเหมือนภาชนะที่รองรับ กระแสไฟฟ้าคือน้ำ ภาชนะมีขีดจำกัดในการรับปริมาณน้ำ ส่วนเกินหรือส่วนที่ล้นย่อมทะลักออก สำหรับกระแสแล้ว ส่วนเกินจะไหลคืนสู่สมอง ทำให้กิดอาการตึงหรือมึนศีรษะ ในส่วนนี้จึงถูกเรียกว่า พลังส่วนเกิน และพลังส่วนเกินนี้เอง ทำให้เกิดจิตวิญญาณ
ณ เวลานี้เอง อาจมีอาการใช้ภาษาที่แตกต่างออกไปจากสามัญ ซึ่งพูดออกมาเอง ในระยะแรก จะควบคุมการพูดไม่ได้ เหมือนผีเข้า ภาษาที่เปล่งออกมาอาจมีได้หลายภาษา รวมทั้งภาษาไทย ภาษาจิตที่มีความหมายและไม่มีความหมาย แต่จะสามารถพูดโต้ตอบได้ ไม่ว่าจะใช้ภาษาใด การแสดงออกดังกล่าวเหมือนจิตเข้าใจ ในขณะนั้น เราพูดไปอาจจะไม่เข้าใจ ประหนึ่งว่า จะพรั่งพรูภาษาออกมาหรือคลายออกมา รวมทั้งการบอกภพชาติของตนเอง และผู้อื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เหมือนกับการระลึกชาติ เมื่อเกิดอาการเช่นนี้ สามารถเกิดอุปาทาน หรือ ร่วมปรุงแต่งเหตุการณ์ผสมผสานเข้าไปใหม่ ได้เหมือนคนที่สติแตก ในบางเหตุการณ์ที่เกิดในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถบอกได้อย่างแม่นยำ ในบางขณะก็คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง อาทิเช่น การติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว หรือเชื่อมต่อกับจิตจักรวาล เหมือนราวกับว่า รู้บางสิ่งบางอย่างในอนาคต และอดีตชาติ สิ่งเหล่านี้ ยังเชื่อไม่ได้ เพราะเลื่อนลอย หาเหตุผลไม่ได้ ลักษณะนี้เรียกว่า ด่านอุปาทาน หรือวิปลาส ที่คลาดเคลื่อนเช่นนั้นเนื่องจากจิตยังไม่เที่ยงแท้ ยังมีสภาวะของกิเลสครอบงำอยู่ในลักษณะตัวตน ความทะเยอทะยาน อยากได้อยากมี เป็นสิ่งเดียว และเป็นใหญ่กว่าใคร ซึ่งเป็นสามัญทั่วไปของจิตที่ไม่พ้นกิเลส ย่อมมีการปรุงแต่งอยู่ร่ำไป ข้อแนะนำ ณ เวลานี้ก็คือ สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นยังเชื่อถือไม่ได้ แม้ว่า จะบอกอดีตชาติ หรือเหตุการณ์ในอดีต บอกสถานที่ออกมาได้อย่างแม่นยำ อย่ายึดติดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้เป็นอันขาด เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งเสริมให้การปรุงแต่ง และตัวตนที่สูง ย่อมคิดว่า ตัวเองเก่งกว่าใคร มองผู้อื่นอยู่ในระดับต่ำกว่าตนเกือบทั้งหมด นี้คือ สามัญของจิตที่ยังมีกิเลส แต่ถ้าเราไม่ยึดติดเป็นตัวเป็นตน สิ่งเหล่านี้ก็จะหายไป เป็นการก้าวพัฒนาของจิตอีกขั้นหนึ่ง แต่ถ้ายังยึดติดกับสิ่งเหล่านี้แล้ว ตัวตนหรืออุปาทานจะมีค่อนข้างสูง มองผู้อื่นต่ำหมด มั่นใจตัวเองสูง แต่เลื่อนลอยเหมือนคนที่อยู่ในโลกของความเพ้อฝันจากความเป็นจริง และเข้าใจว่า ตนเองแตกต่างจากคนทั่วไปหรืออาจจะเข้าใจว่ามีองค์เทพหรืออวตารจากพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่จุติลงมาเพื่อช่วยเหลือโลกมนุษย์ ให้พ้นภัยพิบัติจากโลกอสัญญีในอนาคต สิ่งที่ทำนายของโลกอนาคตเป็นเรื่องเลวร้ายทั้งหมดว่า เกิดภัยพิบัติอย่างน่าสะพรึงกลัว การติดอุปาทานไม่ว่าจะเกิดจากการฝึกสมาธิในระยะเริ่มต้น หรือเกิดขึ้นเองในภาวะของคนบางคนที่มีระดับสัญญาสูงผิดปรกติ พูดง่ายๆ ก็คือ มีภาวะผิดปรกติทางด้านจิต อันเป็นผลมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น ภาวะของอารมณ์พื้นฐานที่มากผิดปรกติ ภาวะสิ่งแวดล้อมที่จิตรับข้อมูลอย่างมีเงื่อนไขในทางลบ ภาวะความกดดันทางด้านอารมณ์และจิต (เก็บกดมีปมด้อย) รวมทั้งความทะเยอทะยานมักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ยอมละวางตัวตน ชอบคิดและสะสมความยิ่งใหญ่ในตัวเอง เหมือนคนช่างคิดช่างฝันในสิ่งหรือเรื่องราวที่ใหญ่เกินความเป็นจริง อาการทางร่างกายของคนเหล่านี้ จะผิดปรกติทางด้านสมอง ปวด หรือตึงศีรษะ ปวดต้นคอ และแผ่นหลัง ผมหงอกเร็ว หรือล้านผิดปรกติ ระบบการย่อยและขับถ่ายผิดปรกติ ฯลฯ สรุปก็คือ เข้าอาการทางจิต หรือเจ็บป่วยทางจิตทั้งสิ้น นำมาซึ่งร่างกายอ่อนแอ อายุสั้น หัวใจล้มเหลวง่าย สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นการกระจุกตัวขอกระแสไฟฟ้า ณ ตำแหน่งนั้นๆ ส่งผลให้อวัยวะภายในล้มเหลวหรือ การทำงานของร่างกายผิดปรกติ ก่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งที่สามารถพิสูจน์ความผิดปรกติทางด้านจิตของคนเหล่านี้ ก็คือการใช้น้ำเสียง ที่มีหลายระดับย่านความถี่อย่างต่อเนื่อง จะแสดงอาการออกมาเหมือนผีเจ้าเข้าทรง อาการทางร่างกาย จะไม่สามารถควบคุมได้ การเคลื่อนไหวผิดปรกติ การรับรู้กึ่งมีสติของความรู้สึกกึ่งการควบคุม จึงเรียกภาวะเช่นนี้อย่างไม่เป็นทางการว่า "ภาวะจิตวิญญาณที่ติดอุปาทาน" คนเหล่านี้จะทำตัวลักษณะเป็นคนทำนายทายทักสิ่งต่าง ๆ เรื่องราวต่าง ๆ จะมีอุปาทานของการมองเห็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ภาวะภายในร่างกาย อวัยวะภายใน ประหนึ่งเหมือนทำการเอ๊กซเรย์โดยจิต เห็นแม้กระทั่งองค์ หรือจิตวิญญาณในแต่ละบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง หรืออาจจะทึกทักตัวเองว่า มีฤทธิญาณอันวิเศษ หยั่งรู้ฟ้าดินให้โทษและให้คุณกับผู้อื่นได้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น ด้วยการหยิบยกอำนาจของพระเจ้าขึ้นมาอ้าง ให้เกิดความขลังและน่าเกรงกลัว โดยที่คนเหล่านี้ไม่รู้ตัว แต่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกตัว อาจมีความรู้สึกตลอดเวลาก็ได้ หรืออาจจะเข้าใจว่าเป็นอำนาจลึกลับ การกระทำการรู้เห็นสิ่งต่างๆ มากมายเกินกว่าสามัญทั่วไป อาการเหล่านี้เป็นความผิดปรกติของการหมุนตัวของเส้นพลังชีวิต (meridian) อันมีภาวะจิต หรืออารมณ์ทำให้เกิดการแกว่งตัวออกนอกระบบที่ควรจะเป็น ส่งผลให้เกิด cord หรือจักระ มีการหมุนหรือเหวี่ยงตัวผิดปรกติออกนอกร่างกาย เหมือนกับเกลียวที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้ทางพลังงานและกายภาพ หรืออาจมีอิทธิพลต่อจิตใจกับคนที่อยู่ใกล้เคียง ส่งผลให้คล้อยตามและครอบงำทางด้านจิต และความรู้สึกได้ด้วย
เมื่อคนเหล่านี้รวมกลุ่มกันอยู่มากๆ จะเกิดอนุกรมของพลังงานเกิดขึ้น มีการเชื่อมต่อของสัญญาหรือ cord กับผู้อื่นได้ตลอดเวลา เมื่อกระทำนานๆ ไป cord หรือสัญญา จะยื่นออกมานอกร่างกายมากเท่านั้น ส่งผลให้เกิดการรับรู้ความคิดของผู้อื่น โรคภัยไข้เจ็บ เรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาได้อย่างแม่นยำ เหมือนกับการบันทึกเทปไว้เรียบร้อยแล้ว โดยทำหน้าที่ด้วยการอ่านข้อมูลจากเทปการบันทึกเรื่องราวของคนๆ นั้น เป็นการเชื่อมสัญญาหรือ cord กับผู้เกี่ยวข้อง จะมีการถ่ายเทข้อมูล โดยผ่านคนกลางที่มีสภาวะ cord และมีอำนาจที่มากกว่าด้วยการตึง ดึงรั้ง ที่ตำแหน่งหน้าอก และศีรษะ ทำให้ต้องแสดงออกด้วยการพูด และการเคลื่อนไหวร่างกาย เป็นการปลดปล่อยข้อมูลออกมา ซึ่งจะตรงกับข้อมูลที่มีอยู่ของคนๆ นั้นที่เกี่ยวข้องด้วย จะสังเกตได้ว่า ผู้ที่มีสภาวะ cord หรือสัญญา ที่คนๆ นั้นไปเกี่ยวข้อง เช่น ไปงานศพ โรงฆ่าสัตว์ โรงพยาบาลที่มีคนไข้จำนวนมาก จะมีสภาวะหมดแรง ปวดเมื่อย และหมดสภาพในระยะหนึ่ง
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นความผิดปรกติของจิตพอสังเขป แต่ด้วยธรรมชาติของการดำรงอยู่ย่อมมีการปรับสภาพของจิตได้ จิตก็มีธรรมชาติของการปรับเข้าสู่ความปรกติ หรือสมดุลของมันเองได้ โดยการเคลื่อนไหว หรือ แสดงออกอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ อย่างเช่น สิ่งไหนที่มีมากก็จะปลดปล่อยด้วยการแสดงออก หรือเคลื่อนไหวเป็นการคลาย หรือผ่อนคลายออกมา ส่วนอันไหนที่มีน้อยก็จะรับเข้ามาด้วยการแสดงออกเหมือนกัน ในลักษณะความอยากเหมือนกับการมีปมด้อย ที่ขาดแคลนบางสิ่งบางอย่างและหามาทดแทน
จากสิ่งที่กล่าวมาจะเห็นว่า การเคลื่อนไหว เป็นตัวหลักของการผ่อนคลาย ปลดปล่อย หรือทดแทนให้เข้าสู่สมดุล หรือเป็นปรกติที่ควรจะเป็นของธรรมชาติ ที่จะดำรงอยู่
ในกรณีของการฝึกสมาธิเคลื่อนไหว ในการบำบัดโรคจะมีการเคลื่อนไหว เพื่อปรับสภาพของจิตให้เข้าสู่สมดุล มีการไหลเวียนของกระแสอย่างต่อเนื่องในทิศทางที่ดี ไม่ก่อเกิดการกระจุกตัวของกระแสไฟฟ้า ณ ที่ใดที่หนึ่ง ทำให้ร่างกายหรืออวัยวะภายในทำงานได้อย่างปรกติ เมื่อเข้าสู่สมดุล การเคลื่อนไหวก็จะสงบนิ่งของมันเอง และจะเป็นไปตามวงรอบของการกลับมาหรือรับเข้ามาใหม่ให้กับจิต ทำให้เกิดการส่ายอารมณ์อีกครั้งหนึ่ง จะต้องมีการปรับสภาพอีกด้วยการเคลื่อนไหว โดยมีสมาธิจิตที่รับรู้ถึงความรู้สึกตลอดการเคลื่อนไหว จนเข้าสู่ความสงบนิ่งอีกครั้งหนึ่ง ถือว่าเข้าสู่สมดุลของพลังงานในร่างกาย เมื่อฝึกสมาธิเคลื่อนไหวจนชำนาญแล้ว สามารถที่จะบำบัดโรคให้กับผู้อื่นได้ด้วย การกดจุดตามวาระจิต ดึงเอากระแสส่วนเกินในกล้ามเนื้อ และเส้นสาย meridian ที่ผิดปรกติออกมา ดูเหมือนจะเป็นการกระทำกายภาพบำบัด แต่ที่จริงแล้วเป็นการกระทำทางจิต ทำให้มีการไหลเวียนของกระแสในทิศทางที่ดี การกระทำตามวาระจิต เพื่อบำบัดโรค จะกระทำกับผู้ป่วยหรือผู้ทำการรักษาด้วยในเวลาเดียวกัน เหมือนเป็นคนๆ เดียวกัน ดังคำกล่าวว่า "เราก็คือเขา เขาก็คือเรา" เป็นผลของการเชื่อม cord หรือสัญญา ทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันและผลักดันพลังงาน ให้มีการไหลเวียนสะดวก และต่อเนื่องตลอดเวลา ในขณะที่กระทำจะมีอนุกรมของพลังงานเกิดขึ้น การกระทำของการเคลื่อนไหว จะกระทำรอบนอกของร่างกาย เหมือนหนึ่งว่า มีรังสีสุขภาพอยู่รอบร่างกาย เพื่อการสะสางให้คืนสภาพปรกติ ส่วนการกระทำต่อร่างกายโดยตรง ด้วยการแตะสัมผัสในจักระที่ตั้งบนร่างกาย ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง บนศีรษะ รวมทั้งจักระพื้นฐานที่อยู่ด้านล่างสุด รวมทั้งฝ่ามือฝ่าเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า ใบหน้า ใบหู เมื่อมีการแตะสัมผัสบนร่างกาย จะทำให้กระแสครบวงจร และมีการไหลเวียนเกิดขึ้น การกระจุกตัวของกระแสหรือโรคภัยไข้เจ็บก็จะลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ ตำแหน่งที่มีการแตะสัมผัส คือตำแหน่งที่มีการกระจุกตัวของกระแสไฟฟ้านั่นเอง นำมาซึ่งการเจ็บไข้ได้ป่วย ณ บริเวณที่แตะสัมผัส การกระทำทั้งหมดต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกการค้นหาของจิตที่จะต้องกระทำไปเอง จนสงบนิ่ง และทำสมาธิรับรู้ลมหายใจเข้าออกระยะหนึ่ง แล้วออกจากสมาธิ ถือว่าเสร็จสิ้นการบำบัดโรคโดยใช้สมาธิเคลื่อนไหว
การฝึกสมาธิเคลื่อนไหว สามารถบำบัดโรคทางไกลได้ โดยไม่ต้องเห็นตัว ไม่ว่าจะอยู่ไกลขนาดไหน ก็สามารถถ่ายทอดข้อมูล เชื่อมอาการและสัญญาของโรคภัยไข้เจ็บด้วยอาการหน่วง เหนี่ยวนำ ของผู้กระทำการบำบัด ตรงตามตำแหน่งของผู้ป่วยที่เกิดขึ้น ประหนึ่งนั่งบำบัดอยู่ข้างหน้าผู้ทำการบำบัด การบำบัดจะกระทำเหมือนการบำบัดโรคผู้ป่วยที่อยู่ด้านหน้าเหมือนกัน อาการแสดงออกจะคล้ายกัน หรือกระทำต่อร่างกายของผู้บำบัดเอง
การบำบัดโรคโดยสมาธิเคลื่อนไหว ยังมีการกระทำได้หลายอย่างด้วยกัน โดยใช้จิตชักนำการเคลื่อนไหวให้มีการกระทำ และแสดงออกได้หลายอย่าง เช่นใช้น้ำเสียงหลายระดับย่านความถี่ที่ออกมาจากจิต ใช้การเคลื่อนไหวของนิ้วมือให้เคลื่อนไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือเรียกกันว่า "การลากเส้น meridian หรือเส้นสัญญา" การดึงชี่หรือพลังงานบำบัดโรค ใช้การสวดมนต์ตามวาระจิต กระทำการสะสางรังสีสุขภาพ ทำการหมุน cord หรือสัญญา ก่อเกิดการรับพลังชีวิตเข้าสู่ร่างกาย
การฝึกปฏิบัติเคลื่อนไหว ยังเป็นพื้นฐานให้ กับศาสตร์ต่างๆ อีกมากมาย รวมทั้งการค้นหารากเหง้าของจิตวิญญาณในศาสตร์ต่างๆ ได้ด้วย อาทิเช่น ลมปราณ โยคะ ไท้เก๊ก มวยจีน ชี่กง พลังจักรวาล เต๋า ตันตระ ฯลฯ รวมทั้งการเข้าถึงธรรมชาติ และเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและที่สำคัญที่สุดทำให้เห็นตัวตนหรืออุปาทานได้เด่นชัด ที่มาที่ไปของจิตและจิตวิญญาณกับวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดได้ชัดเจน และเข้าใจสัญญาและดับสัญญาได้ถูกตัองอย่างมีเหตุมีผล มีวิธีการและหลักการ เป็นไปตามวิธีการของวิชาโดยแท้จริง