สำหรับคนที่ไม่ได้รู้กลไกลการทำงานของจิต ก็ได้แต่พนมมือและสวดมนต์ไป แต่อานิสงค์ก็ได้ คือมีการเคลื่อนตัวของพลังงานในระดับหนึ่ง ทำให้โรคบางโรคที่มีการกระจุกตัวของพลังงานเคลื่อนตัว ก็จะหายหรือสบายขึ้นได้ แต่การสวดมนต์ก็เป็นการสั่นสะเทือนจากน้ำเสียงของผู้สวด ทำให้เกิดการขับเคลื่อนและดูดซับประจุไฟฟ้าโดยไม่รู้ตัว บางคนถึงตึงศีรษะ บ่อยๆ การรับรู้เรื่องพลังงานก็จะง่ายกว่าคนทั่วไป ถึงมีการขับเคลื่อนแต่ก็มีการดูดซับประจุไฟฟ้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
การพัฒนาการสวดมนต์อย่างมีประสิทธิ์ภาพ..ขั้นแรกเราต้องสร้างการรับรู้ที่สมองส่วนท้ายทอย โดยการทำให้สมองส่วนท้ายทอยถูกอัดแน่นด้วยประจุไฟฟ้าที่ลอยตัวขึ้นมาอย่างมหาศาล และเกิดการแยกประจุออก ..ณ จุดนี้ สมองส่วนท้ายทอยจึงจะเกิดการขับเคลื่อนและมีการไหลของพลังงาน ทำให้เรารับรู้รู้สึกถึงพลังงานได้ตลอดทั้งร่างกาย ประจุไฟฟ้าจะถูกผลักออกไปไกลที่..ฝ่ามือ..ฝ่าเท้า..และจักระ 1 สามารถดูดซับพลังงานได้อย่างมหาศาล
และที่บริเวณมือนั้นเป็นเส้นสายที่ควบคุมระบบอวัยวะภายในที่เชื่อมต่อกับสมองส่วนท้ายทอยที่ถูกพัฒนาแล้ว พัฒนาการต่อจากการสวดมนต์คือการเคลื่อนไหว..ถักทอโดย..ใช้มือ..ปาก..ฟัน..ใบหน้า..และกาย..ไปตามวาระจิต คือ ตามความรู้สึกรับรู้ของพลังงาน เพื่อสร้างเส้นสายภายในกาย โดยเชื่อมกับเส้นสายจักรกาลที่สามารถรับรู้รู้สึกได้ เมื่อเคลื่อนไหวการสวดมนต์ตามวาระจิตแล้ว การพัฒนาอันดับต่อมา..เพื่อให้เกิดการดูดซับพลังงานมากขึ้น และรวบรวมเส้นสายต้องมีเครื่องมือในการใช้ประกอบสวดมนต์ ..เราใช้ตะเกียบเป็นตัวควบคุมพลังงาน ตะเกียบจะเป็นตัวดูดซับประจุได้ดี เพราะเป็นไม้ไผ่ที่มีท่อน้ำเลี้ยงจำนวนมาก ที่ไหนมีน้ำที่นั่นย่อมมีประจุ จึงสามารถดูดซับประจุได้อย่างมหาศาล และนำมาถักทอเข้ามาในกาย..สานร่างแห..เพื่อพัฒนาไปสู่สัมโภคกาย จนอันเป็นกายอันเป็นที่สุด คือ กายวัชระ ซึ่งมีความหนาแน่นของเส้นสายจนชิดกัน ความเป็นสนามแม่เหล็กในกายนี้จะเข้มข้นอย่างมาก สามารถเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้ การสวดมนต์โดยการเคลื่อนไหวตามวาระจิต ต้องเคลื่อนไหวให้โดนระดับชั้นของพลังงานจึงจะเกิดการดูดซับพลังงานที่ดี และมีการขับเคลื่อนด้วยความเร็ววงรอบสูง มีเครื่องมือหลายชนิดที่นำมาใช้ในการสวดมนต์ ตามแต่ละชนิดของวัตถุก็มีความเร็ววงรอบต่างกัน
จนกระทั่งสวดมนต์แล้วไม่เกิดการพัฒนาต่อ การรับรู้รู้สึกไม่รุนแรงเหมือนเดิม ไม่สามารถขยายชั้นของพลังงานออกไปได้อีก เราก็มีหนทางแก้ไข ขณะเคลื่อนไหว ให้ใช้เส้นเลือดดำในการดูดซับประจุไฟฟ้า ..โดยการหักข้อมือ - ยกแขนขึ้นเพื่อเปิดช่องปราณ - แต่วิธีดังกล่าวก็ทำให้พลังงานเต็มได้
เราได้ค้นพบวิธีที่จะทำให้สามารถดูดซับประจุไฟฟ้าจากการสวดมนต์และพัฒนาเส้นสายได้โดย การทำท่าโพธิสัตว์ ในท่ามหาราชลีลา ขณะสวดมนต์ให้นั่งท่านี้ เพราะจะทำให้เปิดช่องปราณที่ขาได้มาก เกิดการดูดซับประจุไฟฟ้าได้อย่างมหาศาล เคลื่อนไหวโดยการก้มตัวลงไปและดึงตัวขึ้นมา จะเกิดการดูดซับพลังงานเข้ามาจำนวนมาก เมื่อมีประจุมากก็ทำให้เส้นสายนั้นตามมาจำนวนมากเช่นเดียวกัน และเป็นท่าสวดมนต์ที่ให้พลังรุนแรง เพียงแต่คุณต้องมีวาระจิตในการเคลื่อนไหวการสวดมนต์
การสวดมนต์นี้ก็จะพัฒนาได้ในอัตราเร่ง ส่งเสริมการพัฒนาจิตให้เข้าถึงฌาน การแปรธาตุ และเข้าสู่อมตะ 3 อมตะได้อย่างง่ายดาย คือ อมตะรส อมตะฤทธิ์ อมตะธรรม จากการมีเหตุปัจจัยถึงพร้อมด้วยการฝึกปฏิบัติสวดมนต์ตามวาระจิต การพัฒนาการสวดมนต์ก็ยังไม่หยุดยั้ง ยังมีหนทางที่เราต้องปฏิบัติ เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์และกระแสพลังงานที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน..
การสวดมนต์ทำให้โครงสร้างโมเลกุลของน้ำเปลี่ยนแปลง และมีผลต่อการพัฒนาจิตระดับสูงอย่างไร การสวดมนต์เป็นการสั่นสะเทือนของพลังงาน สามารถแปรเปลี่ยนรูปร่างตามคลื่นเสียง
คลื่นเสียงของการสวดมนต์ จะทำให้เกิดการสลัดประจุไฟฟ้า มีรูปแบบเฉพาะคลื่นที่สวดมนต์ การสวดมนต์จะทำให้เกิดการลอยตัวของพลังงานหรือน้ำขึ้นมาสู่สมองส่วนกลาง และถ้าร่วมกับการสวดมนต์โดยการออกเสียงแล้วเคลื่อนไหว โดยการเขย่าตัว เขย่งปลายเท้า จะทำให้พลังกุณฑาลินีลอยตัวมาพร้อมกับน้ำเลยทีเดียว เมื่อพลังกุณฑาลินีและน้ำลอยตัวขึ้นมา พลังกุณฑาลินีจะถูกส่งไปยังสมองส่วนท้ายทอย (medullar oblongata) ซึ่งเป็นตัวควบคุมสภาวะความเป็นกรดด่างของร่างกาย ซึ่งจะดูดซับพลังงานเข้ามาอย่างมหาศาล
ทีไหนมีพลังงานหรือประจุไฟฟ้าที่นั้นจะมีน้ำตามมาด้วยเสมอ น้ำจะเป็นตัวดูดซับประจุไฟฟ้าได้อย่างไม่จำกัด ทำให้เกิดความเร็ววงรอบของพลังงานในขณะสวดมนต์ การสวดมนต์ทำให้พลังงานลอยตัว สมองจะตึง เมื่อสมองตึงเท่าไหร่ก็จะดูดซับประจุไฟฟ้าเข้าร่างกายได้มากเท่านั้น ทำให้เกิดการรับรู้ถึงพลังงานได้มากกว่าคนทั่วไป และเมื่อสวดมนต์ ประจุไฟฟ้าในกระแสเลือด ที่กระจุกตัวอยู่ จะสามารถเคลื่อนตัวได้ เพราะขณะสวดมนต์ จะมีการดูดซับประจุไฟฟ้าเข้ามา ทำให้เกิดความเร็ววงรอบของพลังงาน เกิดการสลัดประจุ
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่สบายเจ็บป่วยจึงให้สวดมนต์ เป็นประจำ แต่เราจะทำอย่างไร ให้สวดมนต์มีประสิทธิภาพและพัฒนาจิต..พัฒนาฌาน..พัฒนาธาตุ ต้องเปลี่ยนแปลงน้ำในร่างกายให้เป็นไอโซโทป ทำได้อย่างไร ก็อย่างที่กล่าวมาข้างต้น สวดมนต์โดยอาศัยการเคลื่อนไหว และเก็บเกี่ยวเส้นสายสนามพลังจักรวาล การที่จะสัมผัสเส้นสายของจักรวาลได้เพื่อมาเปลี่ยนแปลงกาย ต้องเปลี่ยนสมองส่วนหลัง..หรือสมองท้ายทอย ให้มีการขับเคลื่อนเป็นอัตโนมัติเสียก่อน โดยการสวดมนต์และเคลื่อนไหวให้มีการสั่นสะเทือนช่วงล่างให้ลอยมาที่สมองส่วนท้ายทอยจนอัดแน่น จะเกิดการยุบตัวของอนุภาคและแยกตัวของประจุออกไปสู่ชั้นวงรอบนอก และประจุจะถูกผลักไปที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และกลุ่มเส้นเลือดดำที่อยู่จักระ 1 ซึ่งสมองส่วนท้ายทอยเป็นศูนย์รวมจักระ ขณะสวดมนต์จะทำให้จักระหมุนปั่นด้วยความเร็วสูง และทำวงจรให้พลังงานเดินในร่างกาย ถึงจะสามารถรับรู้ถึงเส้นสายของจักรวาล และเก็บเกี่ยวเข้ามารวมเส้นสายในกายจนหนาแน่น ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กก็มากขึ้น อนุภาคหรือนิวตรอนก็จะมีมวลน้ำหนักมากขึ้น จนกระทั่งเส้นสายทั้งจักรวาลมารวมที่เดียวกัน จนสามารถ ล๊อคอนุภาคได้ทั้งจักรวาล ระยะทางก็หายไป เวลาหายไป สามารถเชื่อมต่อกับระบบและจักรวาล เป็น Oneness อีกทั้งสามารถเข้าฌานอย่างล้ำลึก เกิดสติปัญญาโดยฉับพลัน
จากการฝึกปฏิบัติสวดมนต์ที่ทำให้น้ำนี้เป็นปฏิกิรยานิวเคลียร์ เป็นกัมตรภาพรังสี มีการแตกระเบิดตลอดเวลา ทำให้เกิดการแปรธาตุด้วยน้ำไอโซโทป ที่เกิดจากการฝึกปฏิบัติในการสวดมนต์อย่างมีประสิทธิภาพ ขนาดศูนย์วิจัยเซินต้องลงทุนในการสร้างตัวเร่งอนุภาคของพระผู้เป็นเจ้า แต่เราไม่ต้องลงทุน เพียงแต่ลงทุนแรงกายและใจ เพื่อเร่งอนุภาคของพระผู้เป็นเจ้าด้วยตัวของเราเอง เราหรือมนุษย์นั่นแหละคือพระเจ้า ไม่ต้องไปหาสิ่งที่นอกตัวเรา เราทำได้ จากกลไกการทำงานของจิตที่เป็นแนวทางวิทยาศาสตร์ และจิตก็สามารถสัมผัสได้ในแบบรูปธรรม
โดยใช้การสั่นสะเทือนของน้ำในร่างกาย จากการใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่ง่ายที่สุด คือตะเกียบและผลรุทระควบคู่กันร่วมกับไฟเพื่อให้เกิดความเร็ววงรอบสูง เพราะตะเกียบที่เป็นไม้ไผ่ มีท่อน้ำเลี้ยง ที่สามารถดูดซับประจุได้อย่างมหาศาล อีกทั้งผล รุทระ มีรูปร่างขรุขระ ตะปุ่มตะป่ำรอบๆ ผลของมุทระ ทำให้สามารถดึงประจุเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมหาศาลทางเส้นเลือดดำของผู้ที่ฝึกปฏิบัติ ถ้านำมาสวดมนต์ควบคู่กันแล้วจะทำให้เส้นสายของสนามพลังจักรวาลเข้ามารวมในกายอย่างหนาแน่นเข้มข้น เนื่องจากเมื่อดูดซับประจุเข้าในกายอย่างมหาศาล จะทำให้เกิดการยุบตัวของนิวตรอนที่อยู่ในน้ำและประจุไฟฟ้าขยายออกเป็นชั้นๆ อยู่วงรอบนอก นิวตรอนจะเข้ามารวมอยู่ที่แกนกลางของอะตอม ซึ่งจะมากกว่าอะตอมมิกนัมเบอร์ของธาตุนั้นๆ ซึ่งเรียกว่าธาตุไอโซโทป จะเกิดการแปรธาตุจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ แต่เราจะต้องรับรู้ถึงเส้นสายของสนามพลังจักรวาลจึงจะสามารถรวมเส้นสายให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ต้องมีการควบคุมเส้นสาย โดยการใช้มือ ปาก ฟัน ใบหน้า และบางส่วนของร่างกาย การที่จะรับรู้ถึงเส้นสายของสนามพลังจักรวาล จะต้องเปลี่ยนคลื่นความถี่ของสมอง มีวงจรให้กับพลังงานที่เข้ามาที่ทำให้ไม่เกิดอันตรายแก่ร่างกาย ต้องมีวิธีการแยกอนุภาคกับประจุไฟฟ้าออกจากกัน เกิดการขับเคลื่อนของพลังงานที่เป็นอัตโนมัติ และรู้หลักการ Concentrate ถึงจะรับรู้ในเรื่องพลังงานได้ ซึ่งเรียกว่า จิตวิญญาณ เพราะจิต คือ ความคิดเป็นกลุ่มก้อนของพลังงาน ทำงานเมื่อมีกระแสไฟฟ้า เมื่อท่านเห็นจิตอยู่ในรูปคลื่น แล้วทุกอย่างที่เป็นเรื่องของจิตจะเป็นเรื่องง่าย เพราะสามารถสัมผัสได้ในแบบรูปธรรม
คนที่ฝึกพลังจะมีพลังงานเข้ามากกว่าคนทั่วไป แต่ก็ต้องมีการดูแลกายนี้ให้แข็งแกร่ง เพราะเมื่อไฟฟ้าเข้ามาก แต่ไม่มีการดูแลให้กายแข็งแกร่ง ตามพลังงานที่เข้า อาจเกิดอันตรายจากเส้นเลือดในสมองแตก เพราะเส้นเลือดมีแรงดันสูง ภาวะระบบน้ำเหลืองมีการอุดตัน จากประจุไฟฟ้าที่เข้ามาจำนวนมหาศาล และประจุไฟฟ้าแทรกตามกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย
หนทางการฝึกวิวัฒนาการสวดมนต์ที่ตามมา เน้นการออกกำลังกายไปพร้อมกับการสวดมนต์ ตั้งแต่การสวดธรรมดา สวดแบบเคลื่อนไหวถักทอเส้นสาย และสวดแบบการใช้การเขย่าตัวเขย่งปลายเท้า ให้พลังกุณฑาลินีขึ้นมาเพื่อพัฒนาให้น้ำขึ้นสมองเพื่อเปลี่ยนแปลงน้ำในร่างกายให้เป็นไอโซโทป แต่ก็ยังมีผลต่อกาย ถ้ากายไม่แข็งแกร่งพอ อาจมีอาการข้างเคียงดังได้กล่าวมาแล้ว เพราะฉะนั้น ขณะสวดมนต์ แนะนำให้สวดบทชินบัญชร โดยช่วงบทท่อนแรก ให้ออกกำลังกายโดยการ ทุบบริเวณหน้าอก ใช้ มือขวาเป็นกำปั้น มือซ้ายแบ แล้วตีที่หน้าอกสลับกันไปมา จะทำให้พลังงานที่ไตถูกขับเคลื่อนลอยขึ้นมา อาการปวดหลังจากพลังงานที่ไตคั่งค้าง อาการหดหู่ซึมเศร้า ก็จะหายไป สบายขึ้น คนที่ติดเชื้อง่าย จะถูกสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ทำให้แข็งแรงขึ้น
และหลังจากนั้นให้สวดบทชินบัญชรตอนต่อไปจนจบ โดยการเคลื่อนไหวถักทอ ดึงเส้นสาย และเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการที่จะเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เร็ว กระแสของผู้ฝึกปฏิบัติต้องเร็ว จากการจุดไฟ เพื่อให้เกิดความเร็ววงรอบโดยการเกาะติดชั้นของพลังงานของไฟให้ได้ตลอดการฝึกปฏิบัติ แต่ก่อนที่จะเกาะติด ควรเปิดเส้นเลือดที่วงขา โดยการใช้ตันเถียนล่างของเท้าขวา หันเข้าหาจุดเปิดบริเวณปลีน่องของขาซ้าย เปิดช่องปราณที่ขาให้พลังงานเข้า จะทำให้เกิดความเร็ววงรอบที่วงขา เกิดการดูดซับพลังงานได้อย่างสูง
เพราะอะไรต้องเปิดช่องปราณ เพราะเมื่อผู้ฝึกฝึกปฏิบัติไปเรื่อยๆ และไม่ได้ให้ความสำคัญที่วงขา จะทำให้พลังงานลอยตัวขึ้นตลอด การดูดซับพลังงานจึงไม่เกิด และการเปิดจุดตามจักระ และจุดเอฟเฟคที่อยู่บริเวณด้านข้างลำตัว 6 จุด จะทำให้เกิดการดูดซับพลังงานได้อย่างเต็มที่ การขับเคลื่อนของพลังงานจะรุนแรงขึ้น ขั้นแรก ควรมองที่พัดลม และเกาะติดความเร็วของพัดลม ร่วมกับการเปิดเส้นเลือดที่วงขา จะทำให้เกิดความเร็ววงรอบเท่ากับพัดลม สุดท้ายจึงใช้ไฟ..เมื่อมีความเร็ววงรอบถึงพร้อม ไฟสามารถทำให้พัฒนาจิตได้อย่างไร ไฟเป็นตัวเร่งอนุภาค เพราะมีความเร็ววงรอบสูง และสามารถบำบัดกายได้จากไฟ ทำให้ผู้ฝึกที่มีพลังงานที่อยู่ในรูปของการสั่นสะเทือนสูง เมื่อเข้าสู่ชั้นพลังงานของไฟ จะทำให้เกิดความเร็ววงรอบ ประจุไฟฟ้าจะขยายวงรอบออกไปไกล อนุภาคจะเข้าสู่แกนกลาง กระแสพลังงานจะอยู่ในรูปละเอียดเนียน ส่งเสริมความเป็นสนามแม่เหล็กได้อย่างดีเยี่ยม
การออกกำลังกายสลับกับการสวดมนต์ จึงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ฝึกพลังจะรักษากายนี้ให้อยู่รอดได้จากพลังงานที่เข้ามาอย่างมหาศาล กายต้องแข็งแกร่ง มีท่าที่อยากจะแนะนำคือ ท่าวิดพื้นพุ่งหลัง จะทำให้การอุดตันของไขมันในเส้นเลือดเกิดการเคลื่อนตัว ไม่เกิดโรค ไขมันอุดตันในเส้นเลือดตามส่วนต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ร่างกายจะแข็งแกร่ง แข็งแรงขึ้นอีกทั้งเป็นการลดไขมันที่หน้าท้อง เกิดการคล่องตัวในการทำกิจกรรมต่างๆ ดีขึ้น ให้สวดช่วงบทต้นของคาถาชินบัญชร ถ้าคนไม่เคยทำจะรู้สึกเหนื่อยมาก แต่ถ้าทำเป็นแล้วจะรู้สึกมีความสุข พลังงานขับเคลื่อนได้รวดเร็วมาก ความเร็ววงรอบสูง เกิดการสลัดประจุ สารเอนโดรฟินหลั่ง พลังงานที่ท้องจะหมุนด้วยความเร็วจนเข้าสู่ธรรมจักรได้ง่าย ผนวกกับการสวดมนต์ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างสืบเนื่อง ทำให้พัฒนากายและจิตไปพร้อมๆ กันด้วยประการละฉะนี้ วิวัฒนาการของการสวดมนต์ สำหรับผู้ที่ฝึกพลัง ยังต้องมีต่อไปเพื่อสร้างเหตุปัจจัยถึงพร้อม ในความสำเร็จของจิต ต้องการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับจิตในแบบรูปธรรม อธิบายได้ในแนวทางวิทยาศาสตร์ สามารถเข้าถึงจิตได้ทุกรูปแบบในรูปคลื่นพลังงาน
หลังจากซีรีเบลลัมเริ่มเป็นสนามแม่เหล็กมากขึ้น การใช้ปากฟันในการควบคุมเส้นสายขณะสวดมนต์ ช่องปากเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ลิ้นพลังงานจากซีรีเบลลัมออกมาดูดซับพลังงาน เพื่อให้เกิดความเร็ววงรอบที่สูง ขณะสวดมนต์ควรเอื้อนเอ่ยเป็นระยะ ขณะเอื้อนเอ่ยควรอ้าปากและฟันให้เหมาะสมกับชั้นพลังงาน เมื่อสวดมนต์จะเห็นการทำงานทุกเส้นสายทุกอณูจะขับเคลื่อนและปรากฏบริเวณร่างกายได้อย่างต่อเนื่อง การใช้ช่องปากที่เหมาะสมกับชั้นพลังงานของซีรีเบลลัม จะได้พลังงานที่ขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็ว และสัมผัสพลังได้อย่างชัดเจน ขณะเอื้อนเอ่ยสวดมนต์ จะเกิดการคอนเซนเทรด (concentrate) ไปในตัว มีการยุบท้องน้อย และหยุดลมหายใจ จึงทำให้เกิดการขับเคลื่อนของพลังงานได้ดี ทำให้เราเห็นการไหลของพลังงานได้ตลอด เราจะสังเกตคนที่เข้าสมาธิได้จากการที่ขณะที่เอื้อนเอ่ยมีการหมุนปั่นที่ธรรมจักรด้วยความเร็วสูง และมีจุดพักจิตหรือจุดกึ่งกลางที่ล๊อคอยู่ที่ธรรมจักรอย่างชัดเจน จะรู้ได้ว่าคนไหนสามารถเข้าสมาธิได้ แต่ถ้าเอื้อนเอ่ยสวดมนต์แล้ว ธรรมจักรไม่โดนล๊อคอยู่กับที่ แสดงว่ายังไม่สามารถเข้าสมาธิได้
การสวดมนต์ก็เป็นส่วนหนึ่งในการที่ทำให้สามารถเข้าสมาธิได้ โดยการสวดมนต์และเคลื่อนไหวตามวาระจิต เอื้อนเอ่ย และเก็บเส้นสายถักทอ ทำให้เกิดความเร็ววงรอบที่สมองส่วนซีรีเบลลัม ประจุไฟฟ้าที่ซีรีเบลลัมขยายตัวออกมาสู่วงรอบนอก เกิดการแยกประจุและอนุภาค ซีรีเบลลัมกลายเป็นสนามแม่เหล็ก ส่วนช่องท้องที่มีธรรมจักรอยู่จะมีประจุเป็นจำนวนมาก จากที่มีศูนย์รวมระบบประสาทอยู่ที่บริเวณช่องท้องอย่างหนาแน่น ซึ่งมีประจุไฟฟ้าในการหล่อเลี้ยง อีกทั้งบริเวณนี้มีลำไส้ที่มีไขมันอยู่เป็นจำนวนมาก จึงสามารถดักจับประจุได้ดีเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น คนที่เข้าสมาธิหรือฌานได้จะมีลมในช่องท้องเป็นจำนวนมาก อาจจะมีการผายลมบ่อยครั้ง จากการแยกตัวระหว่างโซเดียมคลอไรด์กับน้ำในร่างกาย จึงเกิดกรดและก๊าซในช่องท้อง ที่ไหนมีประจุที่นั่นย่อมมีเส้นแรงหรือเส้นสายลงมาอยู่แล้ว ซีรีเบลลัมจึงลงมาสู่ช่องท้องหรือธรรมจักร เกิดการล๊อคพลังงานเข้าสู่แกนกลางของธรรมจักร ทำให้สามารถดำดิ่งในการเข้าสมาธิได้เลย เราสามารถใช้การดูดลูกตาให้ลงมาที่ธรรมจักร จะเกิดการล๊อคพลังงานที่สมองส่วนซีรีเบลลัมและธรรมจักร ได้พร้อมๆ กัน ความคิดทั้งหลายก็จะถูกดูดลงมาที่ธรรมจักร ช่วงนี้ภาวะการคิดฟุ้งซ่านต่างๆ จะไม่มี มีแต่ความนิ่งดำดิ่งอย่างล้ำลึกอยู่อย่างนั้นแบบนานแสนนาน ภาวะการทำงานของหัวใจก็จะเริ่มช้าลง ขบวนการเผาผลาญจะลดลง การหายใจก็จะลดลง การใช้ออกซิเจนก็น้อยลง มีผลต่ออวัยวะร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หยุดยั้งขบวนการเผาผลาญ คนที่เข้าสมาธิได้จึงหน้าตาแจ่มใสและไม่แก่ง่าย อีกทั้งเมื่อเกิดการใช้ออกซิเจนน้อยลง ทำให้ระดับเลือดมีธาตุเหล็กสูง จึงฝังธาตุเหล็กไว้ที่สมองทำให้สมองเป็นสีเทา คนที่ฝีกปฏิบัติแบบนี้ จะไม่เป็นอัลไซเมอร์เลย
...สาธุ สาธุ สาธุ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง และพัฒนาจิตได้ในอัตราเร่ง ด้วยการรู้จักคลื่นหรือจิตในแบบรูปธรรม..
มีคนถามว่า สวดมนต์ออกเสียง กับสวดมนต์ในใจ ต่างกันอย่างไร..
ย่อมต่างกันแน่นอน เพราะ การสวดมนต์ออกเสียงจะเกิดการสั่นสะเทือนของพลังงาน เมื่อออกเสียง จะผ่านไปที่หูเข้าแทรก..ค้อน..ทั่ง..โกลน และเข้ามาที่ ไพเนียลแกลน จะสั่นสะเทือน ส่งผลให้จักระ6 หรือซีรีเบลลัมขับเคลื่อน รวมถึงจักระทุกจักระทำงานเช่นเดียวกันด้วยความรวดเร็ว ขณะสวดมนต์ออกเสียงจะทำให้เกิดการดูดซับพลังงานจากช่วงล่างลอยตัวขึ้นมาที่สมองพร้อมกับนำน้ำขึ้นมาพร้อมกัน ยิ่งสวดมนต์ออกเสียงและเคลื่อนไหวมากเท่าไหร่ น้ำก็จะสั่นสะเทือนมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ดูดซับประจุไฟฟ้าได้อย่างมหาศาล ยิ่งสวดมนต์ด้วยการเอื้อนเอ่ย จะทำให้ช่องท้องเกร็ง มีการรีดพลังงานและดูดซับพลังงานขึ้นสมองในอัตราเร่ง เกิดความเร็ววงรอบของน้ำในสมอง จนกระทั่งน้ำกลายเป็นน้ำไอโซโทป ที่มีความเร็ววงรอบสูง เกิดการรับรู้ที่เหนือสามัญจากการส่งผ่านการรับรู้ที่ เส้นสายสนามแม่เหล็ก แทนระบบประสาทธรรมดา เรียกว่า Super conscious ซึ่งมนุษย์สามารถทำได้ถ้ารู้เทคนิควิธีในการสวดมนต์ โดยการออกเสียงและเอื้อนเอ่ยพร้อมกับการเคลื่อนไหว ที่คล้อยตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง และการเคลื่อนไหวโดยการเหวี่ยง เพื่อให้ประจุออกไปไกลจากอนุภาคให้มากที่สุด ความเป็นสนามแม่เหล็กที่เข้มข้นก็จะตามมา เกิดแรงเฉี่อยที่ขับเคลื่อนอยู่ตลอด มีความเร็ววงรอบสูง ซึ่งการสวดมนต์เป็นส่วนหนึ่งของการบรรลุธรรม จากน้ำที่ถูกพัฒนาให้มีความเร็ววงรอบสูง เมือได้ฟังสภาวธรรมใดๆก็ตาม จะสามารถเข้าใจ และรู้แจ้งแทงตลอดได้โดยฉับพลัน
ส่วนการสวดมนต์ในใจ การลอยตัวของพลังงานจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เร็ว เพราะไม่เกิดการสั่นสะเทือนเพื่อให้พลังงานลอยตัวขึ้นมาให้เกิดการพัฒนาจิตที่ต่อยอดได้เลย การพัฒนาน้ำให้เป็นไอโซโทปก็ไม่เกิดขึ้น
วันไหนที่ไม่สวดมนต์ คุณลองสังเกตดูว่า พลังหรือการรับรู้จะลดน้อยลง อย่างเห็นได้ชัด ถ้าคุณสวดมนต์เป็นประจำ กระแสพลังงานของคุณก็จะขับเคลื่อนได้รวดเร็ว การกระจุกตัวของพลังงานก็จะไม่เกิดขึ้น จึงมีคำกล่าวว่า สวดมนต์ รักษาโรคได้ ก็เพราะเหตุนี้
แต่ถ้าไม่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับจิตที่อยู่ในรูปของพลังงาน ที่ถูกจัดระบบให้เป็นระเบียบแล้ว ก็อาจเกิดโรคได้จากการสวดมนต์ เพราะพลังงานจะเข้ามาอย่างมหาศาล แต่ไม่มีหนทางควบคุมหรือจัดการกับพลังงาน ก็อาจจะทำร้ายกายของเราได้ ต้องมีการสร้างวงจรให้พลังงานเดิน และโมเลกุลเรียงไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถขับเคลื่อนพลังงานได้เป็นอัตโนมัติ เมื่อนั้นก็จะสามารถพัฒนา กาย จิต และจิตวิญญาณ ได้อย่างอัตราเร่ง...
การฝึกปฏิบัติโดยการสวดมนต์ เพื่อให้เกิดการลอยตัวของพลังคุณฑาลินี และทำให้น้ำลอยตัวขึ้นสู่สมองไปพร้อมๆ กับพลังคุณฑาลินี จนทำให้เกิดความเร็ววงรอบของพลังงานสูง คนที่ฝึกปฏิบัตควรดื่มน้ำบ่อยๆ ขณะสวดมนต์หรือฝึกปฏิบัติ ในด้านที่เกี่ยวกับพลัง ทุกกิจกรรม ควรมีน้ำตั้งไว้ดื่มอยู่เสมอ เพราะเมื่อฝึกจนกระทั่งเป็น กัมมันตภาพรังสี มีการสลัดประจุอยู่ตลอดเวลา ร่างกายจะสูญเสียน้ำได้ง่ายกว่าปกติ ทำให้ปากแห้ง ตับร้อน ไตร้อน จนกระทั่งลามไปถึงสมองทำให้สมองสุกได้ น้ำจะเป็นตัวที่รองรับประจุไฟฟ้าได้อย่างมหาศาล และขณะที่ฝึกปฏิบัติ จะเกิดการลอยตัวของพลังงานสูงอยู่แล้ว ยิ่งดื่มน้ำ จะทำให้น้ำขึ้นสู่สมองได้ง่ายกว่าเดิม ความเป็นสนามแม่เหล็กก็จะมากขึ้น
คนที่ฝึกด้านพลัง ถ้าไม่ดูแลด้วยน้ำแล้ว จะเกิดอันตรายจากการฝึกพลังได้ ขณะสวดมนต์ ควรหยุดอมน้ำไว้สักพัก พร้อมใช้เสียงในลำคอ เพื่อให้เกิดการสั่นสะเทือนที่ช่องปาก น้ำในปากนั้นจะหมุนปั่นด้วยความเร็วสูง แล้วค่อยๆ กลืนไป น้ำในปากจะวิ่งไปบริเวณที่มีประจุไฟฟ้ากระจุกตัวอยู่ในร่างกาย ได้อย่างรวดเร็ว ที่ไหนมีประจุ-ที่นั่นจะมีน้ำอยู่เสมอ หรือการบำบัดตนเองของผู้ฝึกพลัง ใช้น้ำอมในปากและส่งเสียงในลำคอ จนกระทั่งน้ำนั้นมีการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง อาจจะร่วมด้วยการมองไฟ เพื่อให้เกิดความเร็ววงรอบของน้ำมากขึ้น และการเดินเคลื่อนไหวเพื่อค้นหาพลังจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งตามองจะส่งผลต่อจักระ 6 ส่งผลต่อช่องปาก ทำให้เกิดการดูดซับพลังงานมากขึ้น น้ำจะเกิดการสั่นสะเทือน มีความเร็ววงรอบสูงแล้วพ่นไปบริเวณฝ่ามือของตนเอง น้ำจะแทรกเข้าไปทุกอณู ทุกเซลของร่างกาย
ช่างอัศจรรย์อะไรเช่นนี้ คนที่ฝึกพลังถ้ามีความร้อนอยู่ที่ไหน น้ำที่พ่นที่ฝ่ามือจะแทรกเข้าไปจัดการให้เกิดความเย็นขึ้น ยิ่งสวดมนต์ หรือการเคลื่อนไหวต่างๆ ในการฝึกปฏิบัติ ก็จะทำให้น้ำลอยตัวขึ้นสู่สมอง เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เกิดการแยกอนุภาคและประจุไฟฟ้าออกจากกัน มีการขับเคลื่อนของพลังงานเป็นอัตโนมัติ มีความเร็ววงรอบสูง ประจุที่ถูกแยกออกมาจะส่งไปยังซีริเบลลัม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเหตุปัจจัยถึงพร้อมในการที่ทำให้ซีรีเบลลัมเต็มโดยสมบูรณ์ มีการอัดแน่นยุบตัว ประจุไฟฟ้าของซีรีเบลลัมก็จะขยายชั้นออกสู่วงรอบนอก เกิดการรวมของเส้นแรงหรืออนุภาคไว้ที่เดียวกัน ทำให้สามารถเชื่อมต่อกับสัญญาทุกสัญญาได้อย่างสมบูรณ์ รวมทั้งไปแทรกระบบประสาททุกเซลในร่างกาย เกิดการรับรู้ที่เหนือสามัญ อันเป็นเหตุปัจจัยถึงพร้อมในการสำเร็จทางจิต น้ำจึงเป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งในการพัฒนาจิตที่ไม่มีใครรู้มาก่อน...
*ผลการวิจัยออกมาแล้วโดย K. Kijsarun Chanpo ได้ทำการทดลองกับนิสิตจุฬา ฯ จำนวน 60 คนโดยให้สวดมนต์ 30 คน และทำสมาธิ 30 คน ชาย-หญิงอย่างละ 15 คน และทำการวัดคลื่นสมองทีละคนในขณะสวดมนต์ 30 นาที และผู้ทำสมาธิ 30 นาที
บันทึกการทำงานของสมองตลอดระยะเวลา 30 นาที ผลปรากฎว่าทั้ง 30 คนในการสวดมนต์ทีละคนได้ผลเหมือนกันคือนาทีที่ 0-5 นาทีแรกจิตยังซัดส่าย พอนาทีที่ 5-10,10-15,15-20,20-25,25-30 คลื่นสมองจะบอกถึงการดิ่งของจิตที่สงบจนจบต่อเนื่องถึงหลังการทดลองอีกระยะหนึ่ง. สุดยอดไหม
ส่วนการทำสมาธิจะได้ผลดีที่สุดอยู่ที่ นาทีที่ 0-5 พอเข้านาทีที่ 5-10,10-15,15-20...จบจนการทดลองจิตจะซัดส่าย คลื่นสมองจะไม่นิ่ง อันเนื่องจากมีนิวรณ์ 5 เข้ามาเป็นเครื่องกั้นการทำงานของจิตต่อการทำสมาธิ ดังนั้นจิตที่ยังมีนิวรณ์ 5 อยู่เช่นนี้ย่อมจะไม่สามารถเป็นสมาธิได้ ต้องฝึกเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอจะสามารถกำจัดนิวรณ์ได้.
ซึ่งการทดลองนี้สอดคล้องกับมาตรฐานสัญญาณคลื่นสมองอัลฟ่าผ่อนคลายเมื่อหลับตาลงซึ่งเป็นช่วงที่ดีที่สุดในระยะแรก
ฉะนั้นทำให้เรารู้ว่าการสวดมนต์ก่อนทำสมาธิจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจิตเราจะจดจ่อกับบทสวดมนต์อยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสมองอัลฟ่าเกิดขึ้นและคงอยู่ได้อย่างต่อเนื่องจนหลังการทดลองอีก 5 นาที. ซึ่งจะเป็นช่วงที่เข้าสู่การทำสมาธิได้อย่างต่อเนื่อง เมื่อฝึกบ่อย ๆ นิวรณ์5 ก็จะหมดไป* (ในงานวิจัย)
อธิบายได้ตามแนวทางวิทยาศาสตร์ทางจิต... ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกัน จริงๆแล้วการสวดมนต์เป็นตัวส่งเสริมการทำสมาธิที่ดี การสวดมนต์ จะเกิดการสั่นสะเทือนของพลังงานทำให้มีการลอยตัวของพลังงานขึ้นสู่สมอง ทำให้คลื่นสมองมีความเร็ววงรอบที่สูงขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง และการสวดมนต์ที่ดีควรยืนสวดมนต์แบบ jumping อีกทั้งความมีสุนทรียภาพในการสวดมนต์จะเป็นการพัฒนาสมาธิจิตที่ดีเยี่ยม การ jumping จะเป็นตัวเร่งให้พลังงานลอยตัวได้เร็วขึ้น และสุนทรียภาพจะทำให้เกิดความเร็ววงรอบของพลังงานมากขึ้น ทำให้ทุกจักระขยายดูดซับพลังงานได้อย่างมหาศาล การลอยตัวของพลังงานก็มากตามไปด้วย ทำให้สารเคมีในสมองส่วนกลางหลั่งสารเอนโดรฟินและเซโรโตนินออกมา หลังจากสวดมนต์ไปแล้ว จึงนั่งสมาธิ เมื่อคลื่นสมองมีความเร็ววงรอบสูง การนั่งสมาธิจึงจะสัมฤทธิ์ผลเพราะเมื่อเกิดความเร็ววงรอบสูง จะสามารถทำให้เข้าสู่จุดศูนย์กลางหรือจุดนิ่ง สามารถเข้าสมาธิได้อย่างล้ำลึก ( ฌาน) ได้อย่างง่ายดาย ควรฝึกเป็นประจำ จะทำให้เกิดความชำนาญของจิต หลักมีอยู่ว่าก่อนจะนิ่ง ต้องเคลื่อนไหวให้มาก และนิ่งให้สุด ก็มีด้วยประการฉะนี้..
สิ่งที่เป็นเนื้อความในพระคาถา ..ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าที่ชนะกิเลสมารทั้งปวง อีกทั้งกล่าวถึงพระอรหันต์ทั้ง 28 พระองค์ ขณะที่สวดมนต์ด้วยการเปล่งวาจาและระลึกนึกถึงพระอรหันต์แต่ละพระองค์ด้วยความปิติเลื่อมใส จะเกิดการเปลียนแปลงน้ำในร่างกายอย่างอัตราเร่ง ยิ่งสวดมากเท่าไหร่ จะทำให้ประจุไฟฟ้าเข้าอย่างมหาศาล เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ในบทสวดอยู่ในรูปของกัมมันตภาพรังสี เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ ถึงแปรธาตุได้
สำหรับคนที่ฝึกพลังและรับรู้รู้สึกถึงเรื่องพลังงาน พลังงานจะลอยตัวขึ้นสู่สมองส่วนกลางได้ง่ายกว่าคนทั่วไป เมื่อสวดแล้วเกาะเกี่ยวเส้นสายถักทอเข้าในกาย กายนี้จะสานเป็นร่างแห เป็นสัมโภคกายจนกลายเป็นกายวัชระ
สมเด็จโต ใช้พระคาถาชินบัญชร จนกระทั่งท่านสามารถข้ามมิติแห่งกาลเวลาได้ เป็นที่น่าสงสัย ..มันจริงหรือท่านทำได้อย่างไร.. และกระดูกเราที่เป็นคาร์บอนจะกลายเป็นคริสตัลเหมือนพระอรหันต์ได้หรือ แล้วเรามีหลักการทางวิทยาศาสตร์ทางจิตอย่างไรที่ทำให้การสวดมนต์นั้นมีความหมายและมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลได้ดี ไม่ต้องรอเป็น 10 ปี 20 ปี แต่ถ้าเรารู้หลักการแล้วมันเป็นไปแบบอัตราเร่ง ถ้าเข้าใจในองค์ความรู้
ขั้นแรก ต้องสัมผัสคลื่นพลังงานให้ได้ก่อน เมื่อเราสวดมนต์ด้วยคาถาชินบัญชร เราจะสามารถเกาะติด..ความเร็ว..เกาะติดเส้นสาย..เกาะติดคลื่น ของพระอรหันต์ ทั้ง 28 องค์ได้ เมื่อนั้นกายของเราก็จะเปลี่ยนไป จิตเราก็เปลี่ยน ทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ดี และพระคาถานี้เจ้าคูณนรรัตน์ ฯ ได้กล่าวไว้ว่า ป้องกันนิวเคลียร์ได้จริงๆ นะ มาจากไหนต้องพิสูจน์
การสวดมนต์ควรมีจังหวะเร็ว..ช้า..หยุด สลับกันไป.. เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็ว การสวดมนต์ควรออกเสียง..เพื่อให้เกิดการสั่นสะเทือน พลังงานจะลอยตัวขึ้นมาได้ง่าย และเมื่อสวดเร็วแล้วสวดช้าลง..แบบเอื้อนเอ่ย จะทำให้เกิดความเร็ววงรอบของพลังงานเพิ่มขึ้น ขณะเอื้อนเอ่ยจะเกิดการทะลุทะลวงจุดภายในร่างกาย เมื่อเราเกาะติดเส้นสายของพลังงานนั้นๆ โดยการคลิ๊กใบหน้าไปให้ชนกับเส้นสายในแต่ละเส้นของสนามพลัง ใช้การก้มหน้า..เงยหน้า ดูชั้นพลังงานแนวนอน ที่เป็นจานซีดี และดูเส้นสายในแนวตั้งในแต่ละเส้นรอบๆ ตัวเรา
ยิ่งเอื้อนเอ่ยมากเท่าไหร่ จะทำให้ซีรีเบลลัมออกไปทางจักระทุกจักระ ..ออกไปไกลมากที่สุด.. เพื่อดูดซับประจุไฟฟ้า มาสร้างเหตุปัจจัยถึงพร้อมในความเป็นสนามแม่เหล็ก ยิ่งไกลเท่าไหร่ จะสามารถดึงดูดสิ่งต่างๆ เข้ามา ทำให้มีเสน่ห์..เป็นที่รักของผู้คน โดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว ยิ่งเอื้อนเอ่ย ขณะเอื้อนเอ่ย..จะเหมือนกับว่าเราเป่าปากออกไปให้ยาวนานที่สุด อากาศเสียหรือคาร์บอนไดออกไชด์ จะถูกปลดปล่อยออกมามาก ออกซิเจนในร่างกายจึงถูกใช้โดยสมบูรณ์ ภาวะแอนติ้ออกซิแดนต์ ภายในร่างกายก็จะน้อยลง การเผาผลาญจึงสมบูรณ์ เนื่องจากมีออกซิเจนเพียงพอในการเสริมสร้างเซลล์ต่างๆ ขบวนการหายใจ หรือขบวนการเครปส์ จะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่างกายจะแข็งแรงขึ้น เมื่อขณะสวดมนต์ไปเรื่อยๆ แล้วหยุดสวดสัก 30 วินาที และจากนั้นทำการสวดมนต์ต่อ จะเกิดการกระชากของจิตวิญญาณ คือมีการแยกระหว่างอนุภาคออกจากประจุไฟฟ้า จากการหยุด เพราะขณะสวดมนต์เป็นคลื่นที่มีการสั่นสะเทือน เกิดการขับเคลื่อนประจุและอนุภาคไปพร้อมๆ กันด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อเราหยุดออกเสียงสวดมนต์ อนุภาคจะถูกแยกกับประจุได้ทันที เพราะอนุภาคมีน้ำหนักที่มากกว่าประจุไฟฟ้า จะทำให้เกิดความเร็ววงรอบของพลังงานมากขึ้น เนื่องจากประจุไฟฟ้าได้ขยายชั้นพลังงานออกไป ความเป็นสนามแม่เหล็กจึงเกิดขึ้น
เราใช้เทคนิคสวดมนต์แล้วหยุดนี้ ในการร้องเพลงก็ใช้ได้เหมือนกัน จะทำให้เราสามารถกระชากจิตวิญญาณของผู้ที่รับฟัง สะกดให้ผู้ฟังฟังเพลงนี้ได้อย่างจดจ่อ และมีความไพเราะมากขึ้นอย่างจับจิต..จับใจ.. การสวดมนต์โดยการออกเสียง จึงเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการพัฒนาจิตอย่างยิ่งยวด ยิ่งออกเสียง ยิ่งสั่นสะเทือน ยิ่งดูดซับประจุไฟฟ้าได้อย่างสืบเนื่อง และขึ้นมาสู่สมองส่วนซีรีเบลลัม ให้เกิดความเป็นสนามแม่เหล็ก มีการขับเคลื่อนเป็นอัตโนมัติ และพัฒนาจิตวิญญานได้อย่างไร้ขีดจำกัด...