เมื่อประมาณปี 2536 วงการพระเครื่องมีการตื่นตัวค่อนข้างสูง ภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้นเฟื่องฟูพอสมควร การจับจ่ายใช้สอยก็ดีตามมาด้วย ในสมัยนั้นพระเครื่องเป็นที่นิยมมากก็คือเบญจภาคี และที่โดดเด่นที่สุดก็คือ พระสมเด็จวัดระฆัง โดยเฉพาะพระสมเด็จวัดระฆัง พระสมเด็จบางขุนพรหม และเกศไชโย สนนราคาที่เล่นกันในท้องตลาดก็เป็นหลักล้านและหลักแสน จึงมีการแสวงหากันอย่างมากมาย ทำให้ราคาที่มีและหากันไว้บูชาจึงมีอัตราสูงขึ้นไปอีก เมื่อถึงตอนนี้จึงเกิดมีพระจริงพระปลอมหรือสร้างพระขึ้นเลียนแบบให้เหมือนของจริง ไม่ว่าจะกระทำโดยวิธีใด เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินทองของล่อใจ ส่วนคนที่มีอยู่แล้วก็ได้สร้างความภาคภูมิใจมากขึ้นกับราคาที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ในสมัยนั้นการที่จะทราบว่า พระเครื่ององค์ใดเป็นของแท้จะดูจากพิมพ์ที่การดูตำหนิจากตำรา เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดยุทธจักรของพระเครื่องเพื่อให้มีการเล่นหรือปั่นราคาให้สูงขึ้นด้วยการประกวดพระเครื่อง ด้วยการทำหนังสือและอื่นๆ อีกมากมาย วงการธุรกิจพระเครื่องจึงเปลี่ยนไปและมาเน้นที่สนนราคาของความต้องการของตลาดเป็นสำคัญ จึงหาความเที่ยงแท้ค่อนข้างยากในเวลาต่อมาว่า พระเครื่ององค์ใดเป็นของจริงหรือของปลอม จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหาพุทธคุณด้วยสมาธิ หลังจากสำรวจหรือตรวจพิมพ์ดูพระเครื่องแล้ว สมัยนั้นการทำสมาธิในพุทธศาสนามีทั้งหมด 40 กองหรือ 40 กัมมัฏฐาน ดูๆ แล้วก็เป็นเรื่องยากพอสมควรที่จะค้นหาพุทธคุณ และพระเครื่องที่แท้จริงได้ การที่จะกระทำอย่างนั้นได้ จะต้องผ่านการฝึกฝนมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน และมีสมาธิค่อนข้างดีอย่างมากๆ จึงจะสามารถค้นหาพุทธคุณได้
สำหรับตัวผู้ฝึกเอง การที่จะสัมผัสพุทธคุณโดยใช้ 40 กัมมัฏฐาน ความเป็นไปได้อยู่ที่ 0 % เนื่องจากไม่มีความรู้เรื่องสมาธิมาก่อนเลย จาก 0% ที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ยังไม่ทิ้งความพยายาม ดังคำกล่าวที่ว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" แค่คำกล่าวประโยคสั้นๆ เป็นแรงผลักดันให้กระทำสมาธิทุกวิถีทางที่มีอยู่หรือพอเป็นไปได้ในขณะนั้น อย่างอุกฤษฏ์ เป็นเวลาถึง 7 เดือนเต็มๆ ในแต่ละวันพักผ่อนวันละ 2 ชม. การปฏิบัติตนเวลานั้นก็คือการสวดมนต์เป็นหลัก วันละหลายๆ ครั้ง ครั้งละหลายๆ ชั่วโมง ทำสมาธิอานาปานสติ (ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องรับรู้ความรู้สึกเข้าออก) เพ่งกสิณลูกแก้ว กสิณไฟ (จากแท่งเทียน) พิจารณามูตรคูถ พิจารณาจากศพ (มรณสติ) พิจารณาไตรลักษณ์ (ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา) พิจารณาขันธ์ห้า รวมทั้งนั่งวิปัสสนากรรมฐาน จากการปฏิบัติตนทั้งหมด แทบจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น กลายเป็นคนเก็บตัวและท้อแท้กับการฝึกสมาธิต่างๆ เหล่านี้ เริ่มยุติการฝึก หันมาพิจารณาว่าที่แท้จริง เราต้องการอะไร และการฝึกทั้งหมดที่ดำเนินอยู่ดูเหมือนจะห่างไกลจากความต้องการที่เราตั้งเป้าหมายไว้เพื่อสัมผัสในพุทธคุณ และสำรวจตรวจดูว่าพระเครื่ององค์ไหนเป็นของจริงกันแน่ ดังนั้น จึงพุ่งตรงไปที่พระเครื่องด้วยการนำพระเครื่องกำไว้ในมือขวา และอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขออนุญาตสัมผัสพุทธคุณในตัวพระเครื่องนั้นๆ โดยการใช้จิต ใช้ความคิด สร้างความรู้สึกอยู่ที่มือ ในขณะที่กำพระเครื่องไว้นานประมาณ 5 นาที จึงเกิดแรงผลักขึ้น ดันมือไปทางซ้ายและขวา หมุนวนรอบๆ ร่างกาย เหมือนว่าในมือมีสนามแม่เหล็กเกิดขึ้น จากการเคลื่อนไหวช้าๆ สู่เร็ว จากเร็วสู่ช้า ดำเนินอย่างนี้เป็นช่วงๆ และหยุดนิ่ง ลองกระทำกับพระเครื่องหลายๆ องค์ จะเห็นการเคลื่อนไหวมีลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น ตามแนวลักษณะทำทางหมุนวนในตำแหน่งที่ต่างกัน เหมือนกับลงอักขระมหานิยม อย่างเช่น
เมื่อมีความคิดว่า หลังจากที่ได้สัมผัสแรงหรือพุทธคุณแล้ว น่าจะมีการปลุกพุทธคุณได้ ด้วยการสวดมนตรหรือบทสวดมนต์ เช่น พระสมเด็จใช้คาถาชินบัญชร หลวงปู่โต๊ะใช้คาถาของหลวงปู่โต๊ะ เป็นต้น ปฏิกิริยาที่ได้รับก็คือ มีสภาวะรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ร่างกายและปาก ดูเหมือนจะเป็นอาการของเกจิอาจารย์ท่านนั้นๆ มาสิงสถิตยังตัวเรา ซึ่งไม่แตกต่างจากการทรงเจ้าหรือเข้าทรง การพูดจา น้ำเสียงจะผิดเพี้ยนไป ณ เวลานั้น ถ้านึกถึงสิ่งใด อากัปกิริยาจะเป็นสิ่งนั้น เช่น ถ้านึกถึงเสือก็จะเป็นอาการเสือ และคำรามเหมือนเสือ นึงถึงคนบางคนก็จะเป็นอาการของคนๆ นั้น ฯลฯ
เมื่อมีการลองกับพระเครื่องแล้ว ยังมีการลองกระทำกับสิ่งต่างๆ อีกมากมาย เช่น วัตถุมงคลต่างๆ แร่รัตนชาติ รูปภาพ จิตวิญญาณ รวมทั้งตัวบุคคลด้วย การเคลื่อนไหว การสัมผัสสิ่งเหล่านี้ มีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกัน
เมื่อมาถึงตรงนี้ ความคิดก็ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ ยังมีการพิจารณาไตร่ตรองถึงการเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่า ที่แท้จริงนั้นมันคืออะไร เคลื่อนไหวได้อย่างไร บอกอะไรเราได้บ้าง และจะได้อะไรจากการเคลื่อนไหว กับสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้
จากประโยคคำถามที่พรั่งพรูออกมามากมาย ทำให้เกิดปัญหาสงสัยว่า ทำอย่างไร จึงจะได้คำตอบที่ถูกต้อง และแท้จริงของความเป็นจริง โดยใช้บรรทัดฐานการเคลื่อนไหวที่มีอยู่เป็นจุดเริ่มต้น ดำเนินการค้นคว้าและทดลอง จากการพิสูจน์จากตนเองไปสู่บุคคลอื่นและหลายๆ คน เพื่อหาข้อมูลและประมวลข้อมูลอย่างเป็นระบบ
จากที่เคยคิดว่า จิตเป็นนามธรรม ไม่สามารถแตะต้องสัมผัสได้ เป็นเรื่องเลื่อนลอยและเพ้อฝัน ไม่มีลักษณะแน่นอนตายตัว เป็นเรื่องของความว่างเปล่า ไม่มีตัวตนที่จะให้ศึกษาได้ จากการปฏิบัติทำให้รับรู้ตรงกันข้ามกับที่เคยได้คิดไว้ก็คือ จิตมีตัวตน แตะต้องสัมผัสได้ในลักษณะรูปธรรม มีทิศทางและแนวทางที่แน่นอน และที่สำคัญ จิตยังบอกอดีต ปัจจุบัน อนาคต รวมทั้งภพชาติได้อีกด้วย เช่น อดีตเป็นอะไร ปัจจุบันจะทำอะไร อนาคตจะไปไหน ทำให้เกิดความผิดปรกติทางจิต
ความผิดปรกติของจิตนี้เอง นำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับคนๆ นั้น จิตที่ผ่านการฝึกฝน ยังสามารถค้นหาตำแหน่งความผิดปรกติในร่างกายของคนป่วยได้ด้วย รวมทั้งบอกที่มาที่ไป สาเหตุของโรค การกระทำและอารมณ์ของผู้ป่วยจะทำให้เกิดโรคอะไร จิตยังคาดการณ์สภาวะของโรคภัยไข้เจ็บที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อีกด้วย
จากการสัมผัสและหยั่งรู้ด้วยการเคลื่อนไหว รวมทั้งการบำบัดโรคจากการเคลื่อนไหวด้วยตนเอง หรือจากการเคลื่อนไหวของผู้ที่ผ่านการฝึกมาแล้ว หรือกระทำการบำบัดโรคทางไกลที่ไม่เห็นตัวได้ ผลและประสิทธิภาพของการบำบัดโรคด้วยสมาธิเคลื่อนไหว ดูได้จากอาการของผู้ป่วยเองว่าดีขึ้นหรือแย่ลง ระยะเวลาการบำบัดเร็วหรือช้ากว่าจากการรักษาโดยวิธีอื่น ข้อมูลเหล่านี้สามารถพิสูจน์และทดลองได้ด้วยตนเอง ด้วยการรับรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ถึงพลังที่มีการเคลื่อนไหว ในขณะที่ฝึกหรือทำการบำบัดโรค ผู้ถูกบำบัดอาจจะรับรู้ถึงพลังได้ แม้ไม่ได้ฝึกปฏิบัติสมาธิมาก่อน การรับรู้ถึงพลังนี้ขึ้นอยู่กับระดับของสัญญาของคนๆ นั้น ว่ามากหรือน้อย ถ้ามาก การรับรู้ก็จะเกิดขึ้นง่ายกว่าคนทั่วไป และสามารถสัมผัสถึงพลังต่างๆ นั้น โดยสามัญของคนปรกติทั่วไป จะต้องผ่านการฝึกฝนและเรียนรู้
สำหรับผู้ที่จะทำการฝึกสมาธิเคลื่อนไหวจะต้องมีความเข้าใจในสมาธิบ้าง เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการฝึก เช่น มีความเข้าใจคำว่า สมาธิ จิต สติ สัญญา อย่างพอสังเขป จะทำให้ง่ายต่อการฝึก
โดย
คุราจารย์พงศ์พันธ์ พุ่มพวง