.......การที่จะเป็นสนามแม่เหล็ก ต้องมีการจัดเรียงโมเลกุลที่แนวกระดูกสันหลัง อยู่ในทิศทางเดียวกัน หมายถึง อนุภาคจะรวมเข้าหาแกนกลาง ส่วนประจุไฟฟ้าจะอยู่วงรอบนอก ยิ่งประจุไฟฟ้าออกไปไกลมากเท่าไหร่ใจกลางก็จะกลายเป็นสนามแม่เหล็กอย่างยิ่งยวด การขับเคลื่อนจะเป็นอัตโนมัติ ตามเส้นสายสนามพลัง และเชื่อมต่อกับเส้นสายจักรวาล ซึ่งเกิดจากการฝึกฝนโดยการเพิ่มประจุไฟฟ้าเข้ามา อย่างมหาศาลและเกิดการแยกประจุไฟฟ้าออกไป ทำให้พลังงานถูกผลักไปที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้าและจักระ 1 ทำให้ซีรีเบลลัมหมุนปั่นอยู่ตลอด จิตวิญญาณจะเกิดอยู่ตลอดเวลา
........ การทำสมาธิของผู้ที่เป็นสนามแม่เหล็ก หรือคนทั่วไป ช่วงที่ควรทำสมาธิควรเป็นช่วงเช้า ประมาณ 3.00-6.00 น. เพราะขณะที่เรารู้สึกตัวเมื่อตื่นนอน คลื่นสมองจะอยู่ในช่วงที่ต่ำแทบจะเป็น ศูนย์ ถ้ายังนอนอยู่ จะทำให้กระแสไฟฟ้าเข้าเพราะแนวนอนอยู่ในรูปของไฟฟ้า จะทำให้ยิ่งนอนยิ่งปวดหลัง และรู้สึกไม่สบายตัว แต่ถ้าตื่นมา ควรนั่งสมาธิเลย เพราะคลื่นสมองยังอยู่ในคลื่นที่ต่ำอยู่ เมื่อหลับตาอีกครั้ง จะอยู่ในช่วงคลื่นสมองแอลฟ่า และลดระดับลงเป็นคลื่นสมองทีต้า คือจะมีอาการเคลิบเคลิ้ม ครึ่งหลับครึ่งตื่น ช่วงนี้ระบบประสาทจะเคลิบเคลิ้ม ถ้าได้ยินเสียงใดก็สามารถนำมาหลอน กระตุ้นสารเคมีในสมองให้ทำงาน ปกติคนเรานอนอย่างเต็มที่ก็แค่ 20 นาที หรืออยู่ในช่วงเดลต้า คือหลับ หลังจากนั้นอยู่ในช่วงคลื่นทีต้า อาจฝันได้ เมื่อนั่งสมาธิแล้วหมดความรู้สึกแสดงว่าอยู่ในช่วงคลื่นเดลต้า คือหลับสนิท แต่เมื่อฝึกสมาธิถ้าก้าวผ่านการหลับ โดยการเฝ้าดูความคิดของเราที่มีขั้นตอน วางแผน หรือวิเคราะห์สิ่งต่างๆ ในสมาธิ เมื่อมีความคิด เพราะความคิดเป็นการแปรเปลี่ยนของสัญญา จะเกิดการดูดซับและผลักดันพลังงานในรูปของไดนามิค ทำให้พลังงานน้ำในสมองขับเคลื่อนด้วยความรวดเร็ว และดำรงความรู้สึกอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งได้ตลอดและต่อเนื่อง เมื่อนั้นเราจะมีสติรับรู้ในสมาธินั้นได้ตลอด ปัญญาญาณก็จะเกิดขึ้น การรับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นจะรับรู้ถึงกระแสพลังงานที่รวดเร็ว มีการแตกตัวของพลังงานได้อย่างสืบเนื่อง
........สิ่งที่สำคัญ คือต้องคล้อยตามความรู้สึกขณะทำสมาธิให้ได้ตลอด อาจจะย่อตัวจะเห็นพลังงานอยู่ที่ช่องท้อง เบี่ยงตัวไปทางซ้าย ก้มหน้าเล็กน้อยพลังที่รูจมูก หรือไอชีวิตให้ชนกับเส้นพลังช่องท้อง เมื่อเมื่อยก็สามารถยืดแนวกระดูกสันหลังให้ตรง จะเชื่อมที่ก้นกบผ่านแนวกระดูกสันหลัง ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้สมดุล โดยการโยกตัวเล็กน้อย ก้มหน้า เงยหน้าเล็กน้อยเพื่อดูดซับพลังงานมากขึ้น พร้อมกับทาบทับเส้นวงแหวนของน้ำสมองส่วนกลาง จนกระทั่งรวมเส้นสายเป็นเส้นเดียวกัน เท่ากับเรารวมจิตได้ การทำสมาธินี้จะมีความสงบและมีความสุขอยู่ตลอดเวลา โดยปราศจากความคิด เท่ากับอยู่ในภาวะสมดุล
........ในการฝึกต้องเคลื่อนไหวทั้งกายและใจ ให้มากเพื่อดูดซับประจุไฟฟ้า ให้เกิดอัตราความเร็ว และนิ่งให้สุดเพื่อแยกประจุและอนุภาคออกจากกัน และเป็นการสะสมธาตุให้กลายเป็นไอโซโทปที่เป็นกัมมันตภาพรังสี เป็นกระบวนการแปรธาตุที่เกิดขึ้น สำหรับผู้ที่อยู่ในรูปสนามแม่เหล็ก เส้นสายจะขดเป็นเกลียวหนาแน่น การนั่ง ถ้าขัดสมาธิ อาจทำให้เส้นเลือดไหลเวียนไม่ดี อาจมีภาวะความเป็นกรดสูง เกิดของเสีย ทำให้มีปัญหาที่ไตได้
......ก่อนทำสมาธิควรยืดเหยียดแนวกระดุกสันหลังก่อน โดยการขัดสมาธิและก้มไปทางซ้ายบริเวณเข่าโดยให้แนวกระดูกสันหลังลงมาจนสุด หยุดลมหายใจสักพักและโยกมาเข่าข้างขวาให้ศีรษะเลยเข่า สะบัดหน้าและอ้าปาก ทำซ้ำๆ กันจนกระทั่งกล้ามเนื้อยืดหยุ่น และทำสมาธิ ถ้านั่งนานควรเปลี่ยนท่ามานั่งท่าโพธิสัตว์ให้ขาสองข้างมีแนวที่ต่างกัน คือขาซ้ายงอเข้า เท้าไปที่เส้นเลือดต้นขาขวา ขาขวาอยู่ในแนวตั้ง ก็จะทำให้ระบบไหลเวียนดีขึ้น และเกิดการตื่นรู้อยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่เรียนรู้ มาจากการฝึกฝนและการเฝ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น จิตวิญญาณจะเป็นผู้ค้นหาหนอยู่รอด และพัฒนาได้ตามวาระจิตเพื่อเข้าหนทางสู่ธรรมชาติของจิต The way of Nature