..........สำหรับการสวดมนต์ถือว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ที่มีวิวัฒนาการทางจิตและจิตวิญญาณได้ในอัตราเร่ง ในกรณีที่กระแสไม่เดิน ก็สามารถใช้การโอมแบบเอื้อนเอ่ย การโอมแบบเอื้อนเอ่ย เป็นทำนอง ช้าๆ ยาวๆ จะทำให้ท้องน้อยเกร็งได้นานขึ้น เมื่อมีการเกร็งท้อง จะทำให้พลังคุณฑาลินีเกาะน้ำขึ้นสู่แนวกระดูกสันหลังเข้าสู่ช่องน้ำเลี้ยงในสมองส่วนกลาง เกิดอัตราความเร็ว ขับเคลื่อนหมุนปั่น ทำให้ซีรีเบลลัม สมองส่วนท้ายทอย ที่เป็นตัวขับเคลื่อนของจักระหมุนปั่นด้วยความเร็ว ส่งผลให้สมองส่วนหน้าที่บีเทน ขับเคลื่อนเช่นเดียวกัน และทำให้ดูดซับพลังคุณฑาลินีที่อยู่ด้านล่าง ผลักดันขึ้นสู่ด้านบนอย่างสืบเนื่อง
......โอม ย่อมาจาก อุ อะ มะ เมื่อออกเสียงอุ พลังงานจะขึ้นจากท้องน้อย อะ พลังงานจะขึ้นจากท้องไปที่คอ มะ พลังงานมา ขึ้นด้านบนศีรษะ เมื่อนำเสียงทั้งสามมารวมกัน จึงเกิดแรงผลักดันให้เกิดการไหลเวียน และดูดซับพลังงานได้อย่างสืบเนื่อง......
ก่อนที่จะสวดมนต์ ควรยืดเหยียดร่างกาย โดยการนั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย และก้มตัวลงให้ชนกับก้นกบ และค่อยๆอ้าปาก พลังงานจะถูกปลดปล่อยผ่านแนวกระดูกสันหลัง ทำไปเรื่อยๆจะกระทั่งรู้สึกถึงกระแสไหลไม่ติดขัด เมื่อยกตัวขึ้น ให้ยึดตัวให้สุด ให้ชนแนวกระดูกสันหลัง หงายหน้าขึ้น เพื่อปลดปล่อยพลังงานให้ออกที่จักรมงกุฎ หรือกระหม่อมด้านบน พร้อมกับค่อยๆปล่อยปาก จะรู้สึกถึงการทะลุทะลวงแนวกระดูกสันหลัง กระแสพลังงานจะพุ่งขึ้น หลังจากนั้นจึงเริ่มสวดมนต์ โดยเริ่มที่การโอม เอื้อนเอ่ย พร้อมกับโยกตัวเล็กน้อยไปทางซ้าย ขวาให้ชนเส้นแรงและปล่อยปาก กระแสพลังงานจะหมุนปั่นเร็วขึ้น การดูดพลังขึ้นด้านบนจะส่งผลให้พลังคุณฑาลินี ขึ้นมาที่ช่องน้ำเลี้ยงสมองส่วนกลางมากขึ้น ยิ่งมีอัตราความเร็วของน้ำในสมองมากขึ้น เมื่อดูดขึ้นด้านบนไม่ไปแล้ว ก็ให้ดูดจากด้านบนไปด้านล่าง พลังด้านบนก็จะส่งเสริมให้พลังคุณฑาลินีที่อยู่ด้านล่าง เกิดการหมุนปั่นที่วงขาด้วยความรวดเร็ว การโยกตัวมีทั้ง ซ้ายและขวา หน้าและหลัง ต้องค่อยๆทำ ขณะที่โอม แบบเอื้อนเอ่ย ควรค่อยเปิดปาก เป็นระยะ เพื่อให้ช่องปราณทำงาน
สำหรับวงจรขณะโอม จะเข้าทางรูจมูก ผ่านไปยัง สมองส่วนกลาง และออกเป็นวิถีโค้งเข้าแนวกระดูกสันหลังที่ก้นกบ ผ่านแนวกระดูกสันหลังขึ้นด้านบนไปที่สมองส่วนกลาง และเป็นวิถีโค้งผ่านด้านหลังเข้าสู่แนวกระดูกสันหลัง เป็นวัฏจักรแบบนี้อย่างสืบเนื่อง ทำให้เกิดการขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ เกิดการขยายชั้นพลังงานอย่างสืบเนื่อง อัตราความเร็วจึงเกิดขึ้น
การสวดมนต์จะสลับเร็วและช้า เพื่อให้เกิดการไม่สมดุล สวดเร็ว จะเกิดการสั่นสะเทือนอย่างสืบเนื่อง ทำให้เกิดอัตราความเร็ว และสลับมาสวดช้า หรือเอื้อนเอ่ย จะเกิดการแยกประจุและอนุภาคมาขึ้น เส้นสายหรือการพัฒนาสัมโภคกาย ก็จะเพิ่มขึ้น เป็นทวีคูณ ยิ่งสวดมนต์ ยิ่งเกิดการพัฒนา จิตจะละเอียดขึ้น การรับรู้ขณะที่ฝึกปฏิบัติ ก็จะมากขึ้น ซึ่งก็คือ จิตวิญญาณหรือความเป็นสนามแม่เหล็กเพิ่มขึ้น รวมถึงการเอื้อนเอ่ย ช้าๆ หรือโอม เอื้อนเอ่ยช้า จะยังผลในการเข้าสมาธิอย่างล้ำลึกในที่สุด ทำให้เกิดความนิ่งอยู่ภายใน แต่ภายนอกหมุนปั่นด้วยความรวดเร็ว จนเข้าสู่คลื่นคอสมิกในที่สุด
สรุป การสวดมนต์ด้วยการโอมแบบเอื้อนเอ่ย มีผลต่อ กาย ทำให้พลังงานที่กระจุกตัวเกิดการทะลุทะลวงไม่ติดขัด ผลต่อจิต เกิดความสงบภายในหรือการทำสมาธิได้เร็ว ผลต่อจิตวิญญาณ จะเกิดการรับรู้ถึงพลังงานแบบไร้ขีดจำกัด ก็คือความเป็นสนามแม่เหล็กอย่างยิ่งยวดนี่เอง วิวัฒนาการของจิตก็จะเปลี่ยนแปลงไปจนกระทั่ง ไร้ขีดจำกัด เมื่อเราฝึกปฏิบัติ ด้วยความมุ่งมั่น มีวินัย และเฝ้าสังเกต ในสิ่งที่เกิดขึ้นขณะฝึกปฏิบัติในทุกขณะจิตด้วยจิตวิญญาณการรับรู้ที่ถูกพัฒนาขึ้น