ไม่ใช่พี่...ก็เหมือนพี่
ไม่ใช่น้อง...ก็เหมือนน้อง
ยิ่งกว่า...พี่
ยิ่งกว่า...น้อง
- เราเป็นพุทโต เราเป็นชินโต
- เราเป็นทั้งพุทโตและชินโต
- เราเป็นผู้ที่ไม่ตายและไม่รู้จักคำว่าตาย
- เราคือจิตวิญญาณของพระเจ้า
- ส่งเสริมจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์
- ควบคุมจิตวิญญาณให้เป็นไปตามธรรมชาติ
ทางโลกต้องมั่งคั่ง
ทางธรรมต้องเข้าถึง
ทางจิตต้องกล้าแกร่ง
- ใช้ปมเห็นใจ
- ใช้ใจเห็นมาร
- ใช้มารเห็นธรรม
- ใช้ธรรมเห็นเรา
- ใช้เราเห็นอุปาทาน
สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี บุญก็ดี บาปก็ดี
ดีก็ดี ไม่ดีก็ดี เทพก็ดี มารก็ดี
หนักก็ดี เบาก็ดี หดก็ดี ขยายก็ดี
อารมณ์เชิงลบก็ดี อารมณ์เชิงบวกก็ดี
บุคคลใดเข้าใจประโยคเหล่านี้
ถือว่าเข้าใจและรู้ซึ้งถึงธรรมชาติที่แท้จริง
สภาพเช่นนี้เรียกว่าสุญญตา
- เราเป็นคนดี มีคุณธรรม
- สุขภาพจิตดี
- ร่างกายแข็งแรง
- ไม่มีอะไรทำเราได้
- เราเป็นผู้ชนะกิเลสมารทั้งปวง
- เราเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดกาลและตลอดไป
หนทางปฏิบัติแห่งความเป็นพุทโต ชินโต
- จงเป็นผู้ยินดีแล้วในภาวนา (ทำให้เจริญทางจิต)
- จงเป็นผู้ยินดีในการไม่รับรู้อะไร (มีความเพียรในการสะสางสายธารแห่งกระแส)
- จงเป็นผู้ยินดีในวิถีแห่งธรรมชาติ (มีความเต็มใจในการปฏิบัติแห่งศาสตร์)
หลักพึงปฏิบัติในพุทโต ชินโต
- ให้ชีวิต
- ให้ธรรม
- ให้เคารพตนเองและผู้อื่น
- ให้รักตนเองและผู้อื่น
- ให้อภัย
คือ ความเข้าใจในองค์ความรู้ ในวิถีทางแห่งธรรมชาติอันแท้จริง และการยอมรับตนเองอย่างไม่มีเงื่อนไข
สรรพสิ่งทั้งปวงเกิดจากความว่าง ดำเนินสู่ความไม่ว่าง สิ้นสุดเมื่อว่าง
หลัก 7 ข้อ ในการปฏิบัติตนเข้าสู่สภาวะจิตว่าง
- รับรู้เฝ้าดูติดตามอยู่เฉยๆ
- รับรู้เฝ้าดูติดตามสภาวะกาย ดูการเปลี่ยนแปลงของกาย ดูการเคลื่อนไหวของกาย กายประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุทั้งสี่ ตกอยู่ภายในสภาวะธรรมของความเป็นจริง ความเป็นจริงของความไม่เที่ยงแท้ แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา สามารถคงทนอยู่ได้ยาก และไม่ใช่ของเราหรือไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดเวลา สรรพสิ่งทั้งหลายหรือกายของเรานั้นย่อมสลาย ดับสลายเป็นอากาศธาตุ ดำเนินสู่ความว่างเปล่า หาสาระแก่นสารมิมี
- รับรู้เฝ้าดูติดตามสภาวะเวทนา ดูความทุกข์ที่เกิดจากกาย ร้อนก็ทุกข์ หนาวก็ทุกข์ หิวก็ทุกข์ ดีใจก็ทุกข์ เกิดจากกายทั้งนั้น ความสุข-ทุกข์นั้นอยู่ได้ไม่ตลอด เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฉะนั้นสุข-ทุกข์เกิดอยู่ใต้สภาวะธรรมของความไม่เที่ยงแท ้แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ตลอด สามารถคงทนอยู่ได้ยาก และไม่ใช่ของเรา และไม่สามารถที่จะบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่เราต้องการได้ หรือไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดกาล จนกระทั่งสรรพสิ่งทั้งปวงหรือร่างกายของเรานั้นย่อยสลาย ดับสลายกลายเป็นอากาศธาตุ ดำเนินสู่ความว่างเปล่า หาสาระแก่นสารมิมี
- รับรู้เฝ้าดูติดตามสภาวะจิต จิตคือความคิด จิตคือความนึกคิด เกิดแล้วดับ ดับแล้วเกิด เกิดขึ้น ทรงอยู่ ดับไป ฉะนั้นจิตจึงตกอยู่ใต้สภาวะธรรมของความเป็นจริง ความจริงของความไม่เที่ยงแท้ แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ตลอด สามารถคงทนอยู่ได้ยาก ไม่สามารถบังคับบัญชาเป็นไปตามที่เราต้องการได้ และไม่ใช่ของเรา หรือไม่สามารถที่จะดำรงคงอยู่ได้ตลอดกาล จนกระทั่งสรรพสิ่งทั้งปวง หรือร่างกายเรานั้นย่อยสลาย ดับสลาย เป็นอากาศธาตุ ดำเนินสู่ความว่างเปล่า หาสาระแก่นสารมิมี จงพิจารณาจิตของท่านว่า จิตฟุ้งซ่านหรือไม่ หดหู่ซึมเศร้าหรือไม่ นี่คือนิวรณ์ 5 จงขจัดออกไปจากจิต และพิจารณาต่อว่า มีจิตอาฆาต จิตที่โกรธ เกลียด อิจฉาริษยา จิตที่เกิดความโลภ จิตที่หลง ให้พิจารณาสภาวะจิตเห็นจิต เห็นอารมณ์ของตัวเอง จิตตกอยู่ใต้สภาวะธรรมของความเป็นจริง ความจริงของความไม่เที่ยงแท้ แน่นอน สามารถคงทนอยู่ได้ยาก และมิใช่ของเรา หรือไม่สามารถคงทนอยู่ได้ตลอดกาล จนกระทั่งสรรพสิ่งทั้งปวงหรือร่างกายของเรานั้นย่อยสลาย ดับสลายเป็นอากาศธาตุ ดำเนินสู่ความว่างเปล่า หาสาระแก่นสารมิมี
- รับรู้เฝ้าดูติดตามสภาวะธรรม ธรรมะแปลว่าความว่าง ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ธรรมะแปลว่า อิสระ ธรรมะแปลว่าพุทธะ(ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน) ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมคือความจริง สรรพสิ่งทั้งปวงเกิดขึ้น ทรงอยู่ และดับไป สรรพสิ่งทั้งปวงตกอยู่ใต้สภาวะธรรมของความเป็นจริง ความจริงของความไม่เที่ยงแท้ แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ตลอด สามารถคงทนอยู่ได้ยาก และไม่ใช่ของเรา หรือไม่สามารถคงทนอยู่ได้ตลอดกาล จนกระทั่งสรรพสิ่งทั้งปวงหรือร่างกายของเราย่อยสลาย ดับสลายกลายเป็นอากาศธาตุ ดำเนินสู่สภาวะแห่งความว่างเปล่า หาสาระแก่นสารอะไรมิมี
- รับรู้เฝ้าดูติดตามอยู่เฉยๆ จงอย่าบังคับข่มขู่ ไม่ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย การเคลื่อนไหวของใจ การเคลื่อนไหวของจิต จงปล่อยให้อิสระ อย่าเพ่งอย่าเกร็ง อย่าเคร่งเครียด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหรือสมองเป็นอันขาด
- รับรู้เฝ้าดูติดตามอยู่เฉยๆ จงทำใจให้เป็นกลาง ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ตั้งอยู่ในอุเบกขา วางเฉย เพราะสุข ทุกข์ เกิดจากการปรุงแต่งของจิต และสุข-ทุกข์ นั้นไม่เป็นของใคร อยู่ได้ชั่วขณะหนึ่ง จิตปรุงแต่งสังขารให้เกิดอุปาทาน ยึดมั่น ถือมั่น ชอบหรือไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจ ถ้าพอใจก็ปรุงแต่งว่าสุข ถ้าไม่พอใจก็ปรุงแต่งว่าทุกข์ ถ้าสุขก็ยินดี ทุกข์ก็ยินร้าย สุข-ทุกข์ไม่เป็นของใคร ไม่สามารถยึดมั่นถือมั่นได้เลย ฉะนั้นทุกข์-สุข จึงตกอยู่ภายใต้สภาวะธรรมของความเป็นจริง ความจริงของความไม่เที่ยงแท้ แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ตลอด สามารถคงทนอยู่ได้ยาก และไม่ใช่ของเรา หรือไม่สามารถที่จะดำรงอยู่ได้ตลอดกาล จนกระทั่งสรรพสิ่งทั้งปวงหรือร่างกายของเราย่อยสลาย ดับสลาย เป็นอากาศธาตุ ดำเนินสู่สภาวะแห่งความว่างเปล่า หาสาระแก่นสารของความสุข ความทุกข์นั้นมิมี
- รับรู้เฝ้าดูติดตามอยู่เฉยๆ จงอย่าวิตกกังวลอะไรทั้งสิ้น เกิดหรือไม่เกิดก็แล้วไป เป็นหรือไม่เป็นก็แล้วไป เคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวก็แล้วไป เห็นหรือไม่เห็นก็แล้วไป บอกหรือไม่บอกก็แล้วไป หายหรือไม่หายก็แล้วไป สำเร็จหรือไม่สำเร็จก็แล้วไป
- รับรู้เฝ้าดูติดตามอยู่เฉยๆ จงทำจิตใจให้สบาย ให้ปลอดจากจิต ปลอดจากความคิด ปลอดจากใจ ปลอดจากการปรุงแต่ง ปลอดจากกาย ปลอดจากตัวกูของกู เพราะตัวกูต้องดำเนินสู่ความว่างเปล่า หาสาระแก่นสารมิมี
- รับรู้เฝ้าดูติดตามอยู่เฉยๆ จงปล่อยวางจากเรื่องราวทั้งปวง จงละจากอุปาทานทั้งปวง เพราะสรรพสิ่งทั้งปวงไม่สามารถยึดมั่น ถือมั่นได้เลย
- รับรู้เฝ้าดูติดตามอยู่เฉยๆ จงละจากกิเลสทั้งปวง จงละจากความอยาก จงละจากความไม่อยากทั้งปวง ไม่หวังอะไร ไม่เอาอะไร
พุทโต ชินโต พุทโต ชินโต พุทโต ชินโต
..........................
มนตราสำหรับทำให้สมองผ่อนคลาย
จิตว่าง บางเบา สมองผ่อนคลาย กล้ามเนื้อไม่ตึงไม่รั้ง ร่างกายรู้สึกสบาย เหมือนลอยอยู่บนฟากฟ้า
จงคิดถึงข้าเถอะ
จงรักข้าเถอะ
จงรักข้าจนสุดขั้วหัวใจเถอะ
จงมารวมเป็นหนึ่งเดียวกับข้าเถอะ
ด้วย นะ โม พุท ธา ยะ
เมื่อใดที่ข้าเคลื่อนไหว ข้าคือจักรวาล
ข้าเป็นทั้งกลางวัน และกลางคืน
ข้าคือ....จิตวิญญาณของพระเจ้า
ประโยชน์ของการทำสมาธิเคลื่อนไหว
- ยกระดับกาย จิต ใจ
- พัฒนาการ จิต ใจ ให้เข้าถึงความเป็นสัจจะของธรรมชาติ
- ทำให้เข้าใจการปฏิบัติของจิตในเรื่องต่างๆ
- การทำสมาธิ
- การสวดมนต์
- การเข้าฌาน (รูปฌาน อรูปฌาน)
- การปฏิบัติที่เกี่ยวกับจิตทั้งหมดกับพลังที่เกิดขึ้นที่สมอง
- ทำให้เข้าใจและเข้าถึงในหลักวิชาการของศาตร์ต่างๆ
- จักระ การแบ่งจักระ ที่ตั้งของจักระ (คุรฑาลินี เลเซอร์ชีวิต)
- โยคะ
- ไทเก๊ก
- การฝังเข็ม, การกดจุด
- ออร่า มาตรฐานของออร่า
- ลมปราณ, ชี่กง การแบ่งปราณตามสถานที่ตั้งและสิ่งที่เป็นอยู่
- การถ่ายทอดข้อมูล ในวัตถุสิ่งของ เช่น รูปภาพ เสื้อผ้า เหรียญ
- ไสยศาสตร์ คุณไสย
- องค์เทพ จิตจักรวาล
- สมุฏฐานของโรคภัยไข้เจ็บ
- ทำให้เข้าสู่ขบวนการเรียนรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ทั้งด้านกายภาพและจิตอย่างเป็นรูปธรรม เช่น
- ทฤษฎีของแสงและการทำงานของจิต
- การทำงานของพลังงานภายในร่างกาย และการเปลี่ยนแปลงภายในเซลล์
- พลังงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกร่างกาย
- อารมณ์ ความรู้สึก
- สามารถดูแลตนเองและช่วยเหลือผู้อื่นได้ในเรื่องสุขภาพกายและจิต โดยไม่ได้รับอันตรายจากพลังงานที่แอบแฝง
- ทำให้สามารถรับรู้พลังงานที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกร่างกายทุกย่านความถี่อย่างไร้ขีดจำกัด
- มีคำกล่าวยุคเก่าๆ ว่า "ผู้ที่ฝึกจิตชั้นสูงแล้วจิตจะละเอียดไม่สามารถสัมผัสหรือรับรู้ถึงพลังของบุคคลเหล่านี้ได้" ซึ่งไม่เป็นความจริง
- ถ้าขึ้นชื่อว่าพลังแล้ว ต้องสามารถสัมผัสและรับรู้ได้ ไม่ว่าจิตนั้นสูงสักเท่าใด
- สามารถดึงพลังจากธรรมชาติ มาใช้โดยปราศจากโทษภัย
- สถานที่ต่างๆ
- สิ่งศักดิ์สิทธิ์
- ปราณและธรรมชาติทั่วๆ ไป
- ทำให้เกิดจริยธรรมทางด้านจิตใจขึ้นมาเอง โดยไม่ต้องปลูกฝัง
- จริยธรรมและศีลธรรมในทางบวกจะเกิดขึ้นเองตามการเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหวของพลังงาน
- ทำให้เข้าใจตนเองและผู้อื่นได้เป็นอย่างดี เช่นคำกล่าวที่ว่า "เขาคือเรา เราคือเขา เราคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือเรา ธรรมชาติคือจักรวาล จักรวาลคือธรรมชาติ และทั้งเขาและเราก็เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติและจักรวาล"
- จะเป็นจริงได้ เมื่อเข้าถึงจิตวิญญาณของธรรมชาติ และทุกคนที่ฝึกแนวนี้ทุกคนจะต้องทำได้
- ทำให้เกิดมหาสติชนิดที่ไม่ต้องประคอง แต่จะเกิดขึ้นเองอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอยู่ในรูปของพลังงานและแตกต่างจากความรู้สึกที่ต้องกำหนดหรือประคอง
- เป็นการรองรับระบบนิเวศน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปรกติ
- มีการรับรู้ในเรื่งของพลังงานโดยฉับพลัน ไม่ต้องเสียเวลากับการเข้าออกฌาน
- เป็นการดึงองค์ความรู้จากระบบมาใช้ เช่นเดียวกับทฤษฎีลิงตัวที่ 101
- ทุกคนสามารถเข้าถึงและปฏิบัติได้ อย่างมีมาตรฐานเดียวกันโดยไม่ขึ้นอยู่กับคำว่า "มีพรสวรรค์หรือไม่มีพรสวรรค์ ไม่มีอุปสรรคหรือขีดจำกัดใดของการเข้าถึง ยกเว้นปราศจากโดยใจ"
Movement Meditation คือกุญแจของ
- จิตจักรวาล
- ปริศนาองค์เทพ
- จิตวิญญาณ
- ศาสตร์โบราณ
- โยคะ
- ไท้เก๊ก
- ลมปราณ
- ชี่กง
- ฯลฯ
- จิตขั้นสูง
- สมุฏฐานของโรคภัยไข้เจ็บ
- การบำบัดโรค
- จิตตั้งอยู่ที่...(จุดใดจุดหนึ่ง เช่น จมูก หน้าผาก จักรมงกุฎ ท้ายทอย หลุมคอ ธรรมจักร เป็นต้น)
- หยุดลมหายใจ ทันที ไม่ว่าในขณะนั้นจะหายใจเข้า หรือหายใจออก
- ทยอยยุบท้อง เพื่อเพิ่มความเข้มของสนามแม่เหล็ก (หายใจเป็นปกติ)
- ติดตามกระแสด้วยใบหน้า (คลิกใบหน้าไปด้านซ้ายนิดนึง เพื่อดูอาการไหลเวียนของกระแส)
- ทยอยเปิดปาก เพื่อให้สมองไม่ตึง
- หยุดลมหายใจ
- ทยอยยุบท้อง
- ติดตามกระแสด้วยใบหน้า
.....................................................
ชะตาชีวิต อาจอยู่ที่ฟ้า
การกระทำ อาจอยู่ที่ดิน
แต่ที่แน่ กว่าฟ้าดิน นั้นอยู่ที่ใจ
ใจต้องรู้ สัจจะแห่งความเป็นจริง ของธรรมชาติ