2 พฤษภาคม 2568
ฌอน สแตงแลนด์ บรรณาธิการผู้ช่วย
หัวข้อ:
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ยืนยันการเสียชีวิตของเด็กจากไข้หวัดใหญ่เพิ่มอีก 12 ราย เมื่อวันศุกร์ ทำให้ฤดูไข้หวัดใหญ่ที่ไม่ใช่การระบาดใหญ่ในปี 2567-2568 เป็นฤดูไข้หวัดใหญ่ที่คร่าชีวิตเด็กในสหรัฐฯ มากที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ โดยมีเด็กเสียชีวิต 216 ราย
ปีที่แล้วมีผู้เสียชีวิตในเด็กสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในฤดูกาลที่ไม่มีการระบาดใหญ่ โดยมีผู้เสียชีวิต 207 ราย ในฤดูกาลการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ปี 2009-2010 มีผู้เสียชีวิต 288 ราย ศูนย์ควบคุมและ ป้องกันโรค (CDC) นิยามฤดูกาลการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ว่าเป็นฤดูกาลที่มีไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A แพร่ระบาดไปทั่วโลก
ผู้เสียชีวิต 12 รายที่รายงานต่อ CDCในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 เมษายน เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 19 เมษายน ซึ่งอาจไม่ใช่ผู้เสียชีวิตรายสุดท้ายที่รายงานในช่วงฤดูไข้หวัดใหญ่ที่มี "ความรุนแรงสูง" นี้ แม้ว่ากิจกรรมไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลทั้งหมดจะยังคงลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ก็ตาม
“ในระดับประเทศ โรคทางเดินหายใจสำหรับผู้ป่วยนอกยังคงอยู่ในระดับคงที่ในสัปดาห์นี้ และต่ำกว่าค่าพื้นฐาน” ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ระบุในรายงานการเฝ้าระวังไข้หวัดใหญ่ประจำสัปดาห์ “ทุกภูมิภาค (ของกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์) อยู่ต่ำกว่าค่าพื้นฐานเฉพาะภูมิภาคของตน”
จำนวนผู้ป่วยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับไข้หวัดใหญ่ลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ตามข้อมูลของเครือข่ายเฝ้าระวังการรักษาตัวในโรงพยาบาลไข้หวัดใหญ่ แต่อัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสะสมอยู่ที่ 127.4 ต่อประชากร 100,000 คนในฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2553-2554 อัตราสูงสุด 5 อันดับแรกแบ่งตามกลุ่มอายุ ได้แก่ 103.6 ต่อ 100,000 คน สำหรับเด็กอายุ 0-4 ปี (สูงเป็นอันดับสาม) และ 39.8 ต่อ 100,000 คน สำหรับเด็กอายุ 5-17 ปี (สูงเป็นอันดับห้า)
การเสียชีวิตของเด็กที่เพิ่งรายงาน 10 รายมีความเกี่ยวข้องกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด A และ 2 รายเกี่ยวข้องกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิด B
ศูนย์ควบคุม และป้องกันโรค (CDC) รายงานเมื่อวันที่ 25 เมษายนว่า 49% ของเด็กในสหรัฐอเมริกาได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ในฤดูกาลนี้ และ แนะนำให้เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปทุกคนฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ แม้ว่าสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ่จะลดลงอย่างมากในฤดูกาลนี้ แต่ไวรัสไข้หวัดใหญ่ยังคงแพร่ระบาดอยู่ โดยทั่วไปแล้วการป้องกันโรคจะเริ่มขึ้นภายในสองสัปดาห์หลังจากได้รับวัคซีน
ตามข้อมูลของ CDC พบว่ามีผู้ป่วยจากไข้หวัดใหญ่แล้วอย่างน้อย 47 ล้านราย ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 610,000 ราย และผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ 26,000 รายในฤดูกาลนี้
ไม่มีรายงานผู้ป่วยไข้หวัดนกรายใหม่ในวันศุกร์ มี รายงาน ผู้ป่วย 70 ราย และมีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดนก 1 รายในปีนี้
อัพเดทโรคไอกรน
ตามข้อมูลชั่วคราวของ CDCสำหรับสัปดาห์ที่สิ้นสุดในวันที่ 26 เมษายน มีรายงานผู้ป่วยโรคไอกรนเพิ่มขึ้นมากกว่า 500 รายในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้ยอดผู้ป่วยในปี 2568 เพิ่มขึ้นเป็น 9,034 ราย
ไม่มีรายงานการเสียชีวิตจากโรคไอกรนในเด็กรายใหม่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานศัลยแพทย์ใหญ่แห่งรัฐลุยเซียนายืนยันเมื่อวันที่ 27 มีนาคมว่ามีทารกเสียชีวิตจากโรคไอกรน 2 รายภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา และเขตสุขภาพภูมิภาคสโปแคนในรัฐวอชิงตันรายงานเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ว่ามีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเสียชีวิตในเดือนพฤศจิกายน 2567
การฉีดวัคซีนเป็นวิธีป้องกันโรคไอกรนที่ดีที่สุดกำหนดการให้วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก และไอกรนชนิดไม่มีเซลล์ (DTaP) ครั้งแรกเมื่ออายุ 2 เดือน วัคซีนเข็มต่อไปเมื่ออายุ 4 เดือนและ 6 เดือน โดยฉีดกระตุ้นเมื่ออายุ 15-18 เดือน และ 4-6 ปี แนะนำให้ฉีดกระตุ้นบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน (Tdap) เมื่ออายุ 11-12 ปี
เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ทารกในผู้ใหญ่ ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับทารกที่อายุน้อยกว่า 1 ปีควรได้รับวัคซีนกระตุ้น และผู้ที่ตั้งครรภ์ควรได้รับวัคซีนในช่วงไตรมาสที่ 3
ลิขสิทธิ์ © 2025 สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา
https://publications.aap.org/aapnews/news/32150/Pediatric-flu-deaths-hit-record-high-for-non?autologincheck=redirected
จาก FB หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า
วิเคราะห์กรณีเด็ก 7 ขวบ เสียชีวิตจาก “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A” 2568 ที่เป็นข่าว
ก่อนอื่น…
ผมขอแสดงความเสียใจอย่างมากกับคุณพ่อคุณแม่ของน้องที่จากไปนะครับ
ไม่ว่าลูกจะอายุเท่าไหร่ การสูญเสียลูกย่อมเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตของคนเป็นพ่อแม่เสมอ
เคสนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจและทำให้พ่อแม่หลายคนรู้สึกตกใจและหวาดกลัว
เพราะขณะนี้ ไข้หวัดใหญ่กำลังระบาดหนักทั่วประเทศ
และในกรณีนี้ น้องเป็นเด็กที่ปกติแข็งแรงดี
แต่กลับเสียชีวิตภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
วันนี้จึงขอใช้โอกาสนี้มาให้ความรู้ว่า…
ไข้หวัดใหญ่สามารถทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหันได้จากสาเหตุอะไรบ้าง?
และ
พ่อแม่จะสังเกต “สัญญาณอันตราย” อะไรได้บ้าง ที่ควรรีบพาลูกไปโรงพยาบาลโดยไม่ลังเล
⸻
จากข้อมูลในข่าว
• เด็กชายอายุ 7 ขวบ ไม่มีโรคประจำตัว เป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A
• เริ่มมี ไข้สูง 1 วัน ก่อนเกิดอาการ ถ่ายเหลว + ชัก
• ไปโรงพยาบาลเอกชนช่วง 1 ทุ่ม
• ขอย้ายไปโรงพยาบาลไปรพ.รัฐบาล → และเกิดหัวใจหยุดเต้นในเวลาประมาณ 4 ทุ่มและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
• เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
⸻
สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้ คือ…
ตั้งสติ และอย่าเพิ่งตื่นตกใจจนเกินไปนะครับ
เคสแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อย
แต่เพราะช่วงนี้ประเทศไทยกำลังมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่รุนแรงมาก
เราจึงเห็นข่าวของเด็กที่อาการทรุดเร็วหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้บ้าง
สิ่งสำคัญคือ เราไม่ควรตื่นตระหนก แต่ควร “ตระหนักรู้” และเตรียมรับมือให้ทัน
⸻
หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน เกิดขึ้นได้จากไข้หวัดใหญ่จริงไหม?
คำตอบคือ…ได้ครับ แม้บางครั้งเด็กจะยังดูรู้เรื่อง พูดคุยกับพ่อแม่ได้อยู่ที่บ้าน
แต่โรคสามารถพัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรงได้ “ภายในไม่กี่ชั่วโมง”
สาเหตุที่เป็นไปได้ ตัวอย่างเช่น
❶ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากไข้หวัดใหญ่ (Influenza-associated Myocarditis)
❷ สมองอักเสบจากไข้หวัดใหญ่ (Encephalitis)
ทั้งสองภาวะนี้แม้จะพบไม่บ่อย แต่สามารถเกิดได้จริง โดยเฉพาะในช่วงระบาดหนักแบบตอนนี้
⸻
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจากไข้หวัดใหญ่
(Influenza-associated Myocarditis)
เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถเข้าไปทำลายเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง
→ ทำให้หัวใจบีบตัวอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ
→ เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ไม่เพียงพอ
ช่วงแรก ร่างกายจะพยายาม “ปรับตัว” โดยการเร่งอัตราการเต้นของหัวใจให้เร็วขึ้น แต่เมื่อหัวใจทำงานหนักเกินไปเรื่อยๆ จนถึง “จุดที่ทนไม่ไหว”
หัวใจก็จะหมดแรงและหยุดเต้นในที่สุด
ลองนึกภาพว่า…
เหมือนเราถูกบังคับให้ “วิ่งรอบสนามเร็ว ๆ แบบไม่หยุด”
ตอนแรกอาจยังไหว แต่สุดท้ายร่างกายก็จะล้มลงเพราะหมดแรง
⸻
สัญญาณเตือน “กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ” ที่ควรรีบไปโรงพยาบาล
• อาเจียนไม่หยุด / ปวดท้องบริเวณด้านขวาบน (บริเวณตับ)
→ เพราะเลือดไปเลี้ยงตับไม่พอ → ตับเริ่มขาดเลือด
• ชักเกร็งกระตุก
→ อาจเกิดจากสมองขาดเลือด
• ซึมมาก แม้ไข้เริ่มลด
→ เด็กมักจะซึมเวลาไข้และพอกินยา ไข้ลงก็มักจะกลับมาร่าเริง
แต่ถ้าไข้เริ่มลงแล้ว ยังซึมตลอดเวลา ปลุกตื่นยาก = สัญญาณไม่ดี
• ปัสสาวะออกน้อยกว่าปกติ
→ แม้อาจเกิดจากกินน้ำน้อย
แต่ถ้าร่วมกับอาการข้างต้น ต้องระวังว่าอาจเกิดจาก ไตขาดเลือดจากหัวใจอ่อนแรง
⸻
สมองอักเสบจากไข้หวัดใหญ่ (Encephalitis)
หากการอักเสบของสมอง ลามไปโดนก้านสมอง
ก็อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหันได้เช่นกัน
เพราะก้านสมองเป็นศูนย์ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติของร่างกาย
เช่น…
• จังหวะการเต้นของหัวใจ
• การหายใจเข้าออกตามธรรมชาติ
หากร่างกายของเด็กมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเชื้อไข้หวัดใหญ่รุนแรงเกินไป
จนเกิดภาวะอักเสบลุกลามจากระบบภูมิคุ้มกัน (immune-mediated inflammation) อาจทำให้ก้านสมองเกิดอาการบวมและอักเสบได้
→ หัวใจอาจจะหยุดเต้นทันที โดยแทบไม่มีเวลาเตือนล่วงหน้า
สัญญาณเตือน “ก้านสมองอักเสบ” ที่ควรเฝ้าระวัง
• ซึมผิดปกติ ไม่ค่อยตอบสนอง
• ชักร่วมกับอาการกระตุกเป็นระยะ (myoclonic jerk)
• เหม่อลอย พูดช้าแปลกๆ ดูเหมือนสับสน
⸻
ความรุนแรงแบบนี้… “ป้องกันได้” ด้วยวัคซีนไข้หวัดใหญ่
หลายคนอาจเคยได้ยินว่า…
“วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ฉีดแล้วก็ยังติดอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
แต่ความจริงคือ…
วัคซีนนี้ช่วยลดความรุนแรงของโรคได้อย่างมาก
แม้จะติดเชื้อ แต่โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายจะลดลงอย่างชัดเจน เช่น…
– สมองอักเสบ
– กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
– ปอดอักเสบรุนแรงที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ
แม้ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้จะพบไม่บ่อย…
แต่ก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้เกิดขึ้นกับลูกของตัวเอง
ดังนั้น…
การพาลูกไปฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี
ถือเป็นหนึ่งในวิธีง่ายๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงร้ายแรงเหล่านี้ได้จริงครับ