Rubella
Rubella
โรคหัดเยอรมัน
ปัญหาสำคัญ คือ congenital rubella ซึ่งจะติดระหว่างการตั้งครรภ์ เชื้ออยู่ในลำคอและออกมาทางปัสสาวะได้นานถึง 1 ปี แพร่โรคได้
Rubellaหรือ German measles พบโดยแพทย์ชาวเยอรมัน De Bergan และ Orlow 1750
ในอดีตจัดอยู่ในกลุ่ม three day measles
Rubella มีรากศัพท์จากภาษาละตินแปลว่า “little red”
สาเหตุ rubella virus : RNA virus ใน family Togaviridae
อุบัติการณ์ พบบ่อยในเด็กโต และวัยรุ่น ช่วงอายุที่พบมากสุด 5-9 ปี(บางpaper 0-4ปี) ผู้ใหญ่จะมีภูมิแล้ว 80-90% ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการ
พบได้ตลอดปี ช่วงที่พบมาก มกราคม- เมษายน สูงสุดเดือนกุมภาพันธ์ ต่ำสุดเดือนธันวาคม
การก่อโรคแบ่ง 2 แบบ
1.acquired
2.congenital
การติดต่อ
-Airborne หรือ Droplet transmission ทางเดินหายใจ เชื้อในน้ำมูก น้ำลายผู้ป่วย หรือ direct contact สารคัดหลั่ง
-การสัมผัสผื่น ผิวหนังไม่ทำให้เกิดติดต่อ ติดง่ายแต่ยากกว่าหัด
-ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องไม่ทำให้ติดเชื้อหัดเยอรมันง่ายขึ้นไม่เหมือนโรคหัด
ระยะติดต่อ 2-3 วันก่อนผื่น - 7 วันหลังผื่นขึ้น
ระยะฟักตัว 14-21 วัน เฉลี่ย 16-18 วัน
เชื้อเข้าทางเดินหายใจ เข้ากระแสเลือด ไปต่อมน้ำเหลือง ตับม้าม เพิ่มจำนวน เข้ากระแสเลือดอีกครั้ง แล้วกระจายตัวไประบบต่างๆ ตรวจพบเชื้อใน เลือด ปัสสาวะ CSF
อาการทางคลินิก 20-50% ไม่แสดงอาการหลังได้รับเชื้อ
ทารกในครรภ์ ติดเชื้อในครรภ์ คลอดออกมาพิการ
ทารกที่ติดเชื้อในครรภ์ และคลอดเป็น congenital rubella อาการแล้วแต่ระยะที่แม่ติดเชื้อ
1-4 สัปดาห์ พบความพิการ 30-50 %
5-8 สัปดาห์ พบความพิการ 25 %
9-12 สัปดาห์ พบความพิการ 8 %
ลักษณะความพิการที่พบ : ตาเล็ก ต้อกระจก ต้อหิน หัวใจ หูหนวก สมองศีรษะเล็ก แรกเกิดมีตับม้ามโต ตัวเหลืองจ้ำเลือด เกร็ดเลือดต่ำ
เด็กเล็ก เริ่มด้วยต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้ต่ำๆ มักต่ำกว่า 38.4c ปวดเมื่อย ตาแดงไม่มีdischarge ไม่กลัวแสงเหมือนโรคหัด แผลที่เพดานอ่อน(Forchheimer spots) มีผื่นวันที่ 3 หลังมีไข้
ในเด็กเล็กอาจมีเพียงผื่นอย่างเดียวโดยไม่มีอาการไข้
วัยรุ่นผู้ใหญ่ มักเจ็บคอ ปวดตา ปวดศีรษะ ไข้สูงกว่าเด็ก ต่อมน้ำเหลืองโต มีผื่นหลังมีอาการนำ 1-5 วัน บางรายคล้ายไข้หวัด และ 70% มีอาการปวดข้อ หรือข้ออักเสบร่วมด้วย และอาจปวดข้อได้นานเป็นเดือน บางรายปวดอัณฑะร่วมด้วย
ลักษณะเด่น
ต่อมน้ำเหลืองโตที่ suboccipital , retroauricular, posterior cervical พบ 24 ชั่วโมงก่อนผื่นออก จนถึง 1 สัปดาห์หลังออกผื่น แต่ผู้ป่วยที่ออกผื่นจะพบเพียง 50 %
ลักษณะผื่น maculopapular rash สีชมพูเล็กๆ อาจมีผื่นใหญ่บ้างเล็กบ้าง คันเล็กน้อย กระจายเริ่มจากหน้า ลงมาตามคอ แขน ลำตัว ขา อย่างรวดเร็วใน 24 ชั่วโมง ชัดเจนที่แขนขา และหายไปใน1- 2 วัน ผื่นที่หน้าเริ่มจางหายไป ไม่ทิ้งรอยรอย ผื่นทั้งหมดมักหายใน 3 วัน
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
1.Rubella IgG, Rubella IgM โดยการตรวจเลือดหา
การวินิจฉัยโดยการตรวจพบ Rubella IgM หรือ 4-fold rising IgG ใน acute หรือ convalescent serum
2.ตรวจเพาะเชื้อ rubella จาก nasal secretions และจากที่อื่นเช่น น้ำไขข้อ น้ำคร่ำ ปัสสาวะ
ภาวะแทรกซ้อน มักเกิดในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก
1. ข้ออักเสบ ในเด็กพบได้ร้อยละ 20 พบในผู้หญิงมากกว่า มักจะเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ หรือข้อเข่า มักเกิดในวันที่ 2 หรือ 3 ของโรค ซึ่งตรงกับระยะที่ผื่นจางลง อาการมักหายไปได้เองภายใน 7 – 10 วัน
2. เกล็ดเลือดต่ำ (thrombocytopenia)พบได้ 3 ใน 10000 ราย โดยส่วนใหญ่หายได้เอง พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ พบได้นานหลายสัปดาห์จนหลายเดือน
3. สมองอักเสบ (acute encephalitis) พบได้ 2 ใน 10000 ราย โดยมีอาการภายใน 4 วันหลังจากผื่นออก พบในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก และเป็นสาเหตุการเสียชีวิต 20-50%
4.ตับอักเสบ,หัวใจเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ มีรายงานแต่พบได้น้อยไม่รุนแรง
การรักษา รักษาประคับประคองตามอาการ
การป้องกัน
ฉีดวัคซีน MMR ซึ่งเป็นวัคซีนชนิด live attenuated vaccine
1.สำหรับเด็กอายุ 9 เดือนตามโปรแกรม หรือ ให้ในเด็กอายุ > 1 ปี
2.ในกรณีหญิงวัยเจริญพันธุ์ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน สามารถให้วัคซีนได้แต่ไม่ควรตั้งครรภ์ภายใน 28 วัน หลังฉีดวัคซีน
3.หญิงตั้งครรภ์สัมผัสเชื้อ ตรวจหา IgG, IgM หากมีภูมิไม่น่าติด แนะนำตรวจซ้ำ ห่างจากครั้งแรก 2 และ 6 สัปดาห์ ผลลบสองครั้งไม่ติดเชื้อ การให้ IG รักษาในหญิงตั้งครรภ์ ไม่สามารถป้องกัน viremia ได้ เพียงแต่ลดอาการ อาจให้ในกรณีที่มีข้อจำกัดการทำแท้งเท่านั้น
Ref.
1.http://www.doctor.or.th/article/detail/5359
3. http://thaigcd.ddc.moph.go.th/knowledges/view/29
4. http://emedicine.medscape.com/article/968523-overview#showall
5.http://www.sbo.moph.go.th/moph/develop/rabad/vichakan_dis/rubella.html
7.http://www.pth.go.th/a/Health9.pdf
8.http://www.uptodate.com/contents/overview-of-torch-infections