หลังจากที่ระบบเศรษฐกิจของไทยเข้าสู่ภาวะซบเซาทางเศรษฐกิจอันสืบเนื่องมาจากวิกฤติต้มยำกุ้ง เป็งกีสข่าน นักเศรษฐศาสตร์การเมือง ได้ให้สัมภาษณ์ “รายการสู่ศตวรรษใหม่” ช่อง 100.5 อสมท.เมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2542 ว่า ในอนาคตอันใกล้ โลกจะขาดแคลนอาหารและพลังงาน ประเทศไทยควรใช้ศักยภาพโดยธรรมชาติของชีวภูมิศาสตร์ โดยพัฒนาเกษตรให้เข้มแข็ง เพื่อเป็นฐานการสร้างประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหาร เพื่อเลี้ยงปากท้องของคนทั้งโลก และการผลิตพลังงานขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ โดยมีภาคเกษตรกรรมนำ ภาคอุตสาหกรรมหนุน และภาคบริการเสริม ทั้งนี้จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การพัฒนาประเทศจากการมุ่งสู่ภาคอุตสาหกรรมใหม่ (NIC) มาเป็นประเทศอุตสาหกรรมการเกษตร (NAIC) จึงจะทำให้ประเทศไทยมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบและขีดความสามารถในการแข่งขันตลอดจนอำนาจต่อรอง ในเวทีเศรษฐกิจการเมืองโลกได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
- ท่านมีความเห็นประการใดต่อทัศนะดังกล่าว
- ถ้าท่านเห็นด้วยกับทัศนะดังกล่าว ให้เสนอหลักการและเหตุผลสนับสนุนความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของกลยุทธ์ดังกล่าว ตลอดจนเสนอแนวทางในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นเกษตรอุตสาหกรรมอย่างสมบูรณ์ พร้อมทั้งวิเคราะห์ ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของความเป็นประเทศดังกล่าว
- ถ้าท่านไม่เห็นด้วย ให้เสนอเหตุผลเชิงขัดแย้ง พร้อมกับเสนอกลยุทธ์การพัฒนาประเทศที่เหมาะสมตามทัศนะของท่าน ให้เสนอหลักการและเหตุผลสนับสนุน ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ และเสนอแนวทางการขับเคลื่อน พร้อมทั้งวิเคราะห์ ข้อได้เปรียบและเสียเปรียบของกลยุทธ์ดังกล่าว
ให้เลือกตอบข้อใดข้อหนึ่ง จาก ข้อ 2 หรือ ข้อ 3
คำถาม แบ่งเป็น 3 ข้อใหญ่ ต้องทำ 2 ข้อ
ข้อ 1 ทุกคนต้องทำ คือ ตอบว่า “เห็นด้วย” หรือ “ไม่เห็นด้วย” กับทัศนะดังกล่าว
ทัศนะดังกล่าว หมายถึง ข้อความที่ว่า “ในอนาคตอันใกล้ โลกจะขาดแคลนอาหารและพลังงาน ประเทศไทยควรใช้ศักยภาพโดยธรรมชาติของชีวภูมิศาสตร์ โดยพัฒนาเกษตรให้เข้มแข็ง เพื่อเป็นฐานการสร้างประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหาร เพื่อเลี้ยงปากท้องของคนทั้งโลก และการผลิตพลังงานขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ โดยมีภาคเกษตรกรรมนำ ภาคอุตสาหกรรมหนุน และภาคบริการเสริม ทั้งนี้จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การพัฒนาประเทศจากการมุ่งสู่ภาคอุตสาหกรรมใหม่ (NIC) มาเป็นประเทศอุตสาหกรรมการเกษตร (NAIC) จึงจะทำให้ประเทศไทยมีความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบและขีดความสามารถในการแข่งขันตลอดจนอำนาจต่อรอง ในเวทีเศรษฐกิจการเมืองโลกได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน” ซึ่งหากวิเคราะห์ข้อความดีๆ แล้วจะพบว่า มีประเด็นย่อยๆ เกี่ยวกับทัศนะนี้ ดังนี้
- ในอนาคตอันใกล้ โลกจะขาดแคลนอาหารและพลังงาน
- ประเทศไทยมีศักยภาพโดยธรรมชาติของชีวภูมิศาสตร์ ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ ควรนำมาใช้
- ประเทศไทยควรเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารเพื่อเลี้ยงปากท้องของคนทั้งโลก
- ประเทศไทยควรผลิตพลังงานเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ
- ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคการเกษตร มากกว่าภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยมี “ภาคเกษตรกรรมนำ ภาคอุตสาหกรรมหนุน และภาคบริการเสริม”
- ประเทศไทยควรปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จาก NIC มาเป็น NAIC การเป็น NAIC จะทำให้ประเทศไทยมีความได้เปรียบทางการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก
หากตอบ “เห็นด้วย” ในข้อ 1 ต้องไปทำต่อในข้อ 2 และหากตอบ “ไม่เห็นด้วย” ต้องไปทำต่อในข้อ 3
ข้อ 2 มีข้อย่อย 5 ข้อย่อย ได้แก่ “หลักการและเหตุผลสนับสนุนแนวคิด” “ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวคิด” “เสนอแนวทางการขับเคลื่อนอย่างสมบูรณ์” “วิเคราะห์ข้อได้เปรียบ” และ “วิเคราะห์ข้อเสียเปรียบ”
ข้อ 3 มีข้อย่อย 7 ข้อย่อย ได้แก่ “เสนอเหตุผลเชิงขัดแย้ง” “เสนอกลยุทธ์การพัฒนาประเทศที่เหมาะสมตามทัศนะของท่าน” “หลักการและเหตุผลสนับสนุนแนวคิด” “ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวคิด” “เสนอแนวทางการขับเคลื่อนอย่างสมบูรณ์” “วิเคราะห์ข้อได้เปรียบ” และ “วิเคราะห์ข้อเสียเปรียบ”
ข้อ 1. จากทัศนะของ เป็งกีสข่าน นักเศรษฐศาสตร์การเมืองที่ได้นำเสนอไว้ข้างต้นนั้น ผมเห็นด้วยกับทัศนะดังกล่าว โดยขอนำเสนอความคิดเห็นต่อทัศนะดังกล่าว ดังนี้
- การที่เป็งกีสข่านได้แสดงทัศนะไว้ว่า “ในอนาคตอันใกล้นี้ โลกจะขาดแคลนอาหารและพลังงาน”
- ในประเด็นของการขาดแคลนอาหารนั้นสอดคล้องกับ แนวคิดของ Thomas Robert Multhus ในเรื่อง กับดักของประชากร (Population Trap) ซึ่งได้ทำการศึกษาถึงอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากร เปรียบเทียบกับอัตราการเพิ่มขึ้นของสมรรถนะของสังคมในการผลิตอาหาร และพบว่าอัตราการเจริญเติบโตของตัวแปรทั้งสองเป็นไปในคนละลักษณะ ทำให้เชื่อได้ว่าในช่วงเวลาหนึ่งอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรจะมากกว่าสมรรถนะของสังคมในการผลิตอาหาร จนนำไปสู่สภาวะขาดแคลนอาหารได้ “The power of population is indefinitely greater than the power in the earth to produce subsistence for man”
- นอกจากนี้การเพิ่มขึ้นของประชากรนั้นยังส่งผลให้เกิดการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การบุกรุกเขตป่าสงวนเพื่อมาแปลงเป็นที่ดินทำกิน การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อมาใช้ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัย การจับสัตว์น้ำมาขายโดยเน้นปริมาณเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจนไม่เลือกวิธีการที่ใช้ จนทำให้สัตว์และพืชบางชนิดลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วหรือสูญพันธุ์ไปในที่สุด รวมไปถึงการผลิตสารพิษจำนวนมากอันเป็นผลพลอยได้จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อาทิ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) คาร์บอนมอนออกไซด์ (CO) สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC) เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ความสมดุลของระบบนิเวศน์ถูกทำลาย และปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้เองที่เป็นสาเหตุของการขาดแคลนอาหารและพลังงานในที่สุด
- อีกสาเหตุหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนอาหาร ได้แก่ แนวทางการพัฒนาประเทศซึ่งให้ความสำคัญกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยอ้างอิงตัวชี้วัด คือ ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (Gross Domestic Product : GDP) มากกว่าผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังปลูกฝังให้ประชาชนตกอยู่ในบ่วงความคิดแบบบริโภคนิยม วัตถุนิยม เพื่อจะให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นจนทำให้ GDP เพิ่มมากขึ้น การให้ความสำคัญกับการเติบโตภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก จึงเกิดการไหลของแรงงานจากภาคเกษตรกรรมเข้ามาสู่ภาคอุตสาหกรรม ประชากรโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวหลั่งไหลจากชนบทเข้ามาสู่เมืองใหญ่ โดยคาดหวังว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดของ ตัวแบบการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง (Structural Change Model) จนทำให้ภาคการเกษตรซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของประเทศขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพ เหลือเพียงแต่ผู้สูงอายุและเด็กที่ยังอยู่ในชนบทเพื่อทำหน้าที่ผลิตอาหารให้กับประเทศ
- นอกจากปัญหาเรื่องแรงงาน การเน้นการเติบโตทางอุตสาหกรรมยังส่งผลให้ พื้นที่ในการเพาะปลูกลดลง เนื่องจากถูกนำไปใช้ในการทำเป็นโรงงานอุตสาหกรรม หรือใช้ในการก่อสร้างที่พักอาศัย สร้างถนนหนทางรองรับความเจริญเติบโตของสังคมเมือง
- อุตสาหกรรม นับเป็นภาคส่วนหนึ่งที่ต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมาก ทั้งพลังงานไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง ทั้งในกระบวนการผลิต การเก็บรักษา ตลอดจนการขนส่งสินค้า ยิ่งอุตสาหกรรมเติบโตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความต้องการใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ในขณะที่พลังงานหลักของโลกนั้น ยังมาจากแหล่งพลังงานที่มีปริมาณจำกัด เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น ทำให้ปริมาณพลังงานของโลกลดลงเรื่อยๆ ซึ่งหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป พลังงานเหล่านั้นก็จะหมดไปในที่สุด
- ปัจจุบันมีการสนับสนุนให้ใช้พลังงานทดแทนเข้ามาแก้ไขปัญหาพลังงาน โดยส่วนใหญ่เน้นไปที่ ไบโอดีเซล ซึ่งได้มาจากพืชบางชนิด เช่น อ้อย เมื่อความต้องการปริมาณไบโอดีเซลมีมากขึ้น ก็จะทำให้ต้องใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกพืชที่ใช้ในการทำไบโอดีเซลมากขึ้น ส่งผลให้พื้นที่ในการเพาะปลูกเพื่อผลิตอาหารลดน้อยลงไปแทน จนอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารได้
- ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ล้วนสนับสนุนทัศนะของเป็งกีสข่านที่ว่า “โลกจะขาดแคลนอาหารและพลังงาน” ได้เป็นอย่างดี
- เป็งกีสข่าน ได้ให้ทัศนะต่อไปอีกว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพโดยธรรมชาติของชีวภูมิศาสตร์” กล่าวคือ มีความหลากหลายทางชีวภาพ อันเป็นผลมาจากสภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย ที่อยู่ในเขตร้อนชื้น มีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีพืชพันธุ์ที่หลากหลาย มีสัตว์บก สัตว์น้ำ สัตว์ปีก นานาชนิด จนกล่าวได้ว่า ประเทศไทยอยู่ในเขตอู่ข้าวอู่น้ำ ดังคำโบราณที่ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” ความหลากหลายทางชีวภาพนี้เองที่ถือเป็นข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันของประเทศไทยที่ไม่มีใครสามารถมาแย่งจากเราไปได้ คำถามจึงมีอยู่ว่า เราจะใช้ความได้เปรียบนี้เพื่อสร้างพื้นที่อันมั่นคงในเวทีเศรษฐกิจและการเมืองโลก หรือเลือกจะเดินตามแนวทางการพัฒนาของชาติตะวันตกที่เน้นให้เติบโตในภาคอุตสาหกรรมจนละเลยทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าไป
- เป็งกีสข่าน ได้เล็งเห็นถึงปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลก และเล็งเห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของประเทศไทยในการเสนอตัวเป็นทางออกของปัญหาเหล่านั้น คือ การแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารและพลังงานโดยอาศัยพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพ จึงได้นำเสนอกรอบแนวคิดที่สำคัญ ที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่เวทีเศรษฐกิจการเมืองโลกอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน นั่นคือ “ประเทศไทยควรใช้ศักยภาพโดยธรรมชาติของชีวภูมิศาสตร์ โดยพัฒนาเกษตรให้เข้มแข็ง เพื่อเป็นฐานการสร้างประเทศให้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหาร เพื่อเลี้ยงปากท้องของคนทั้งโลก และการผลิตพลังงานขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ” ซึ่งผมเห็นด้วยกับแนวทางนี้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการวางกลยุทธ์ที่ใช้จุดแข็ง (Strengths) คือ ความหลากหลายทางชีวภาพ มาคว้าเอาโอกาส (Opportunities) คือ การขาดแคลนอาหารและพลังงานของโลก ได้อย่างสวยงาม อีกทั้งกรอบแนวคิดของเป็งกีสข่านยังสอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงพระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย และปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าควรน้อมนำเอามาใส่ใจและนำไปปฏิบัติอีกด้วย
- ดังนั้นสิ่งที่เราต้องมาสนใจต่อไป คือ เราจะทำให้กรอบแนวคิดนี้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติได้อย่างไร เป็งกีสข่านได้นำเสนอคำตอบที่จะนำไปสู่การปฏิบัติไว้ว่า “มีภาคเกษตรกรรมนำ ภาคอุตสาหกรรมหนุน และภาคบริการเสริม ทั้งนี้จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การพัฒนาประเทศจากการมุ่งสู่ภาคอุตสาหกรรมใหม่ (NIC) มาเป็นประเทศอุตสาหกรรมการเกษตร (NAIC)” แล้ว NAIC คืออะไร
- ตัวแบบประเทศอุตสาหกรรมการเกษตร หรือ NAIC (Newly Agro Industrialized Country) Model เกิดจากการบูรณาการทางความคิดของ ศ.ดร.กฤษ เพิ่มทันจิตต์ โดยได้บูรณาการตัวแบบประเทศ 2 ตัวแบบ ได้แก่ ประเทศอุตสาหกรรมใหม่ หรือ NIC (Newly Industrialized Country) และ ประเทศเกษตรกรรมใหม่ หรือ NAC (Newly Agricultural Country) เข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นตัวแบบที่สมบูรณ์มากขึ้น ไม่ได้เน้นเพียงแค่ภาคอุตสาหกรรมซึ่งส่งผลดีกับคนเพียงกลุ่มน้อย จนทำให้เกิดสภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย” แต่ใช้อุตสาหกรรมในการส่งเสริมการเกษตร เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าการเกษตรให้สูงขึ้น ซึ่งเหมาะสมกับประเทศที่กำลังพัฒนาและมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่หลากหลาย บวกกับใช้วัฒนธรรมไทยที่โดดเด่นในเรื่องการให้บริการด้วยหัวใจและรอยยิ้ม จนเป็นที่ประทับใจของคนทั้งโลกมาส่งเสริมเพิ่มมูลค่าเข้าไปอีกด้วย ดังคำกล่าวของเป็งกีสข่านที่ว่า “ภาคเกษตรกรรมนำ ภาคอุตสาหกรรมหนุน และภาคบริการเสริม”
- ศ.ดร.กฤษ เพิ่มทันจิตต์ ได้นำเสนอ NAIC Model ไว้โดยสรุปดังนี้