ถ้อยคำเหล่านี้แปลกใหม่สำหรับฝูงชนที่รอฟัง เป็นคำสอนซึ่งขัดแย้งกับทุกสิ่งที่พวกเขาเคยได้ยินจากปุโรหิตหรือธรรมาจารย์คนไหนมาก่อน คำสอนของพระองค์ไม่ยกย่องความหลงทะนงตน หรือสนับสนุนความมักใหญ่ใฝ่สูง พวกเขารู้สึกว่าอาจารย์คนใหม่สอนด้วยพลัง จึงฟังต่อเหมือนต้องมนตร์สะกดความรักอันหวานชื่นหลั่งไหลมาจากพระโอษฐ์ของพระเยซูประหนึ่งกลิ่นหอมของดอกไม้ถ้อยคำของพระองค์เหมอน"ฝนที่ตกบนหญ้าซึ่งตัดแ้วเหมือนห่าฝนที่รดแผ่นดนโลก"(สดุดี 72:6) ทุกคนรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าพระองค์ทรงล่วงรู้ถึงความลับในใจตน กระนั้นพระองค์ยังเข้าใกล้พวกเขาด้วยความเมตตาเอ็นดู ในขณะที่พวกเขาเปิดใจรับฟังพระองค์อยู่นั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยให้เห็นถึงบทเรียนที่มนุษย์ทุกยุคสมัยควรจะได้รู้ {MB 6.1}
ในสมัยพระเยซูผู้นำศาสนาต่างรู้สึกว่าตนมีดีที่จะอวดในด้านจิตวิญญาณ ชนชั้นนำและคนส่วนใหญ่ในชาติมีความรู้สึกร่วมในคำอธิษฐานของฟาริสีคนนั้นที่ทูลพระเจ้าว่า "ข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น" (ลูกา18:11) แต่นฝูงชนที่ห้อมล้อมพระเยซูอยู่นั้น มีบางคนที่สำนึกในความบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ เหมือนกับเปโตรเมื่อพระเยซูสำแดงฤทธิ์อำนาจในการบันดาลให้สาวกจับปลาได้มากมาย เปโตรทรุดตัวลงที่เข่าของพระผู้ช่วยให้รอดและร้องขึ้นว่า "นายเจ้าข้า ขอท่านไปให้ห่างจากข้าพเจ้า
16
เถิด เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาป" (ลูกา บทที่ 5 ข้อ 8) เช่นเดียวกัน ท่ามกลางมหาชนที่รวมตัวกันนั้นมีบางคนซึ่งเห็นความบริสุทธิ์ของพระองค์แล้วสำนึกตนขึ้นได้ว่า "เป็นคนแร้นแค้นเข็นใจ เป็นคนขัดสน เป็นคนตาบอด และเปลือยกายอยู่" (วิวรณ์ 3:17) พวกเขาปรารถนาพระคุณของพระเจ้าที่จะช่วยเขาทั้งหลายให้รอด (ดูทิตัส 2:11) คำขึ้นต้นปราศรัยของพระคริสต์ปลุกคนเหล่านั้นให้มีความหวังและทำให้พวกเขาเห็นว่าชีวิตของตนได้รับพระพรจากพระเจ้า {MB 6.2}
พระเยซูทรงหยิบยื่นถ้วยแห่งพระพรให้แก่บุคคลที่รู้สึกว่าตน "ร่ำรวยได้ทรัพย์สมบัติมากมาย และไม่ขัดสนสิ่งใดเลย" (วิวรณ์ 3:17 TINCV) แต่พวกเขากลับไม่ยอมรับ และเมินหน้าเสียจากของประทานที่ทรงกรุณาให้นั้น บุคคลผู้ใดที่รู้สึกว่าตนมีความสมบูรณ์ดีพร้อม และมีความพอใจ ในสภาพของตัวเอง ผู้นั้นจะไม่แสวงหาพระคุณและความชอบธรรมของพระคริสต์ คนเย่อหยิ่งจะไม่ยอมรับว่าตนต้องการความช่วยเหลือ จึงปิดใจไม่ยอมรับเอาพระคริสต์กับพระพรอันเหลือคณานับที่พระองค์เสด็จมาเพื่อประทานให้นั้น จิตใจของคนเช่นนี้ไม่มีพื้นที่ที่จะรองรับพระเยซู ผู้ที่มีเกียรติยศศักดิ์ศรีในสายตาของตนเองจะไม่ทูลขอด้วยความเชื่อ ฉะนั้นเขาจึงไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า พวกเขารู้สึกว่าตัวเองสมบูรณ์ดีพร้อมแล้ว จึงกลับบ้านทั้งที่ยังว่างเปล่าอยู่ ส่วนผู้ที่ตระหนักว่าตนไม่ใช่ที่พึ่งของคือรู้ว่าไม่มีทางที่จะช่วยตนให้รอด และไม่มีทางที่จะประพฤติชอบโดยลำพังตัวเองได้ ผู้นั้นจะซาบซึ้งในความช่วยเหลือของพระคริสต์ และจะรู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณ พระองค์ตรัสว่า ผู้นั้นก็เป็นสุข (MB 7.1)
เมื่อพระคริสต์ทรงยกโทษให้ผู้ใด พระองค์ทรงให้เขาถ่อมใจลงก่อนนี่คืองานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ช่วยให้คนสำนึกในความบาป ผู้ที่มีใจตอบสนองต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเห็นว่าในตัวเขาไม่มีความดีใดๆ เลย เขาจะเห็นว่าทุกสิ่งที่เคยกระทำล้วนแล้วแต่มีความเห็นแก่ตัวและความบาปผสมอยู่ด้วย เหมือนคนเก็บภาษีที่ยืนอยู่แต่ไกลไม่กล้าแม้แต่จะมองขึ้นฟ้า พวกเขาร้องออกมาว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด" (ลูกา 18:13) แล้วพวกเขาก็ได้รับ
17
พระพร มีการอภัยบาปสำหรับบุคคลที่ถ่อมใจ เพราะพระคริสต์ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้า "ผู้ทรงรับบาปของโลกไป" (ยอห์น 1:29) เจ้าทรงสัญญาว่า "ถึงบาปของเจ้าเป็นเหมือนสีแดงเข้ม ก็อย่างหิมะ ถึงมันจะแดงเหมือนผ้าแดง ก็จะเป็นอย่างขนแกะ" "เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า...และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า" (อิสยาห์ 1:18; เอเสเคียล 36:26, 27 TH1971) (MB 7.2)
พระเยกล่าวถึงผู้ที่รู้สึกบกพร่องฝ่ายจิตวิญญาณว่า "แผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา" แผ่นดินสวรรค์ที่พระเยซูกล่าวถึงไม่ได้เป็นอาณาจักรฝ่ายโลกอย่างที่ผู้ฟังใฝ่ฝัน พระองค์ทรงเปิดเผยให้ปวงชนได้สัมผัสอาณาจักรด้านจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพระคุณ ความรักและความชอบธรรมของพระองค์ สัญลักษณ์แห่งการครอบครองของพระเมสสิยาห์เห็นได้จากพระลักษณะนิสัยของบุตรมนุษย์ ประชากรของพระองค์คือคนอ่อนสุภาพ คนที่รู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณ ผู้ที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม แผ่นดินสวรรค์เป็นของคนเช่นนี้ ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์ แต่พระองค์ทรงประกอบพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตของพวกเขา เพื่อให้ "เหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้าในอาณาจักรแห่งความสว่าง" (โคโลสี 1:12 TNCV) (MB 8.1)
ทุกคนที่รู้สึกว่า มีความบกพร่องในจิตใจ และไม่มีสิ่งดีใดๆ ในตัวเองจะพบความชอบธรรม และกำลังใจด้วยการมองไปที่พระเยซู พระองค์ตรัสว่า "บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักจงมาหาเรา" (มัทธิว11:28) พระองค์ขอให้เราเอาความขัดสนของเราไปแลกกับพระคุณอันอุดมของพระองค์ เราไม่คู่ควรที่จะได้รับความรักจากพระเจ้า แต่พระเยซูผู้เป็นนายประกันของเราทรงสมควร พระองค์ทรงมีพระปรึชาเหลือล้นที่จะช่วยทุกคนที่มาหาพระองค์ให้รอดได้ ไม่ว่าชีวิตที่ผ่านมาจะเป็นเช่นไร หรือสถานการณ์ปัจจุบันจะย่ำแย่แค่ไหน แต่ถ้าเรามาหาพระเยซูในสภาพที่เป็นอยู่ ขณะที่ยังอ่อนแอ และสิ้นหวังเพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระผู้ช่วยให้รอดของเราผู้ทรงเปี่ยมลันด้วยพระคุณจะทรงต้อนรับ
18
เราขณะที่เรายังอยู่ใกล พระองค์จะโอบกอดเราด้วยความรัก และเอาเสื้อคลุมแห่งความชอบธรรมของพระองค์มาสวมใส่ให้ ฉะนั้นเมื่อพระองค์ทูลเรื่องของเราต่อหน้าพระบิดา ภาพที่ปรากฎคือเราได้สวมใส่เสื้อคลุมสีขาว คือพระอุปนิสัยของพระองค์เอง พระองค์ทูลขอพระบิดาแทนเราตรัสว่า 'ข้าพระองค์ได้แทนที่คนบาปแล้ว ขออย่ทรงมองไปที่ลูกคนนี้ที่หลงผิด แต่ให้มองที่ข้าพระองค์' ซาตานฟ้องว่าเราเป็นคนบาป และอ้างว่าเราเป็นเหยื่อของมัน แต่พระโลหิตของพระเยซูเป็นคำตอบที่หนักแน่นกว่า (MB 8.2)
แล้ว "เขาจะพูดถึงเราได้ว่า ในพระเจ้าเท่านั้นมีความชอบธรรมและอานุภาพ...เผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นของอิสราเอลจะมีชัยและสดุดีภูมิใจในพระเจ้า" (อิสยาห์ 45:24, 25 TH1971) (MB 9.1)
"บุคคลผู้ใดโศกเศร้า ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการทรงปลอบประโลม" (มัทธิว 5:4 TH1971)
ความโศกเศร้าในที่นี้หมายถึงความเศร้าเสียใจเพราะความผิดบาปพระเยซูตรัสว่า "เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา" (ยอห์น 12:32 TH1971) เมื่อมีใครพิจารณาถึงพระเยชูขณะถูกตรึงบนไม้กางเขน เขาจะตระหนักถึงความผิดบาปของมนุษยชาติ และจะเห็นว่า ที่พระเจ้าแห่งพระสิริต้องถูกโบยตีและถูกตรึงที่ไม้กางเขนก็เป็นเพราะความผิดบาปของมนุษย์ เขาจะสำนึกว่า ถึงแม้เขาได้รับความรักและการเอาใจใส่อย่างสุดซึ้ง แต่เขาก็ยังเป็นคนเนรคุณที่ทรยศอย่างต่อเนื่องต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นมิตรสหายที่ดีที่สุด เขาได้ดูหมิ่นของประทานอันล้ำค่าที่สุดของสวรรค์ การที่พระเยซูต้องสิ้นพระชนม์นั้นเป็นเพราะความบาปผิดของเขาเอง และที่พระองค์ทรงฟกช้ำก็เพราะเขาและเพื่อเขา ความผิดบาปเป็นเหวลึกที่มืดดำ กั้นกลางระหว่างเขากับพระเจ้า เมื่อพิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว จิตใจเขาจะสลายไปด้วยความโศกเศร้า (MB 9.2)
19