บทที่ 22

การจำคุกและการตายของยอห์น

อ้างอิงจาก มัทธิว 11 ข้อที่ 1-11; 14 ข้อที่ 1-11; มาระโก 6 ข้อที่ 17-28; ลูกา 7 ข้อที่ 19-29


         ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นคนแรกที่ป่าวประกาศเรื่องอาณาจักรของพระคริสต์และเป็นคนแรกที่ตกอยู่ในความทุกข์ทรมานด้วย  จากบรรยากาศแห่งเสรีภาพของถิ่นทุรกันดารและฝูงชนขนาดใหญ่ที่ห้อมล้อมฟังเขานั้น บัดนี้เขาถูกปิดล้อมด้วยกำแพงของคุกใต้ดิน  เขากลายเป็นนักโทษในป้อมปราการของเฮโรด อันทีพาส  ในดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของเฮโรด อันทีพาส ยอห์นใช้เวลาส่วนใหญ่ทำพันธกิจที่นั่น  เฮโรดเองเคยฟังคำเทศนาของผู้ให้บัพติศมา กษัตริย์เสเพลเหลวไหลสั่นสะท้านเมื่อได้ยินคำเชิญชวนให้กลับใจ "เฮโรดทรงเกรงกลัวยอห์น เนื่องจากทรงทราบว่าท่านเป็นคนชอบธรรม และบริสุทธิ์. . . .เมื่อเฮโรดทรงได้ยินคำสั่งสอนของท่านก็ทรงฉงนสนเท่ห์ แต่ก็ยังทรงยินดีที่จะฟัง"  ยอห์นปฏิบัติต่อเฮโรดด้วยความภักดี ด้วยการประณามความสัมพันธ์อันชั่วช้าที่เฮโรดมีกับนางเฮโรเดียส ซึ่งเป็นภรรยาของน้องชาย  ในชั่วขณะหนึ่งเฮโรดดิ้นรนอย่างอ่อนกำลังที่จะตัดโซ่ราคะตัณหาที่ผูกมัดเขาอยู่  แต่นางเฮโรเดียสยึดพระองค์ไว้แน่นยิ่งขึ้นด้วยกำลังของนางและหาทางแก้แค้นผู้ให้บัพติศมาด้วยการยุให้เฮโรดจับเขาเข้าคุก  {DA 214.1}                

         ยอห์นมีชีวิตของการทำงานที่กระฉับกระเฉงว่องไว และความมืดมนซึมเศร้าและไม่มีอะไรทำขณะอยู่ในคุกส่งผลทำให้เขาเป็นทุกข์  สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่าที่ผ่านไปไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ความท้อแท้ใจและความสงสัยคืบคลานเข้ามาหาเขา สาวกของเขาไม่ได้ทอดทิ้งเขาไป  พวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเรือนจำและนำข่าวเรื่องพระราชกิจของพระเยซูมารายงานและบอกให้เขาทราบว่ามีฝูงชนขนาดใหญ่ล้อมอยู่รอบพระองค์อย่างไร แต่พวกเขายังสงสัยว่า หากอาจารย์ท่านใหม่นี้เป็นพระเมสสิยาห์แล้วทำไมพระองค์จึงไม่ทำอะไรที่จะเอายอห์นออกจากเรือนจำ  พระองค์ทรงปล่อยให้ผู้นำข่าวซื่อสัตย์ท่านนี้สูญสิ้นเสรีภาพและอาจถึงกับการสูญเสียชีวิตได้อย่างไร?  {DA 214.2}                    

ข้อสงสัยเหล่านี้ไม่ใช่ไร้ผลกระทบ  ได้มีการนำเสนอความสงสัยซึ่งไม่น่าจะผุดขึ้นมานั้นไปใส่ไว้ให้กับยอห์น  ซาตานตีอกดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของพวกสาวกและคอยดูว่าจะทำให้จิตวิญญาณของผู้สื่อข่าวของพระเจ้าท่านนี้ฟกช้ำอย่างไร  โอ บ่อยครั้งเพียงไร ผู้ที่คิดว่าตนเป็นคนดีของมิตรและร้อนใจที่จะแสดงออกถึงความจริงใจกลับกลายเป็นศัตรูอันตรายที่สุด!  บ่อยครั้ง แทนที่จะช่วยหนุนความเชื่อของเขา คำพูดของพวกเขากลับทำให้หดหู่และท้อแท้ใจ!  {DA 215.1}                  

         ยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่เข้าใจลักษณะอาณาจักรของพระคริสต์เหมือนเช่นสาวกทั้งหลายของพระผู้ช่วยให้รอด  เขาคาดหวังว่าพระเยซูจะทรงขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด และเมื่อเวลาผ่านไปพระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงอ้างสิทธิอำนาจอย่างพระราชา  ยอห์นงงงวยและเป็นทุกข์  เขาเคยประกาศให้ประชาชนทราบแล้วว่าเพื่อเตรียมมรรคาของพระเจ้าให้พร้อม คำพยากรณ์ของอิสยาห์จะต้องสำเร็จ ภูเขาและเนินจะต้องทำให้ต่ำลง ลุ่มๆ ดอนๆ จะต้องทำให้เสมอและที่สูงๆ ต่ำๆ จะต้องราบเรียบ  เขาหวังคอยให้ทำลายความสูงส่งของความหยิ่งและอำนาจของมนุษย์ทิ้งไป  เขาชี้ให้เห็นว่าพระเมสสิยาห์เป็นพระผู้ทรงถือพลั่วไว้ในพระหัตถ์และจะทรงชำระลานข้าวของพระองค์อย่างราบเรียบและจะทรงเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของพระองค์และเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้จักดับ  ยอห์นผู้ที่มายังชนชาติอิสราเอลด้วยวิญญาณและอำนาจของผู้เผยพระวจนะเอลียาห์นั้นหวังคอยให้พระเป็นเจ้าสำแดงตนเองในฐานะพระเจ้าผู้ทรงตอบด้วยไฟ  {DA 215.2}  

         ในขณะผู้ให้บัพติศมาปฏิบัติพันธกิจนั้น เขายืนขึ้นโดยปราศจากความกลัวในฐานะผู้ตักเตือนเรื่องบาปทั้งในสังคมชั้นสูงและสังคมชั้นต่ำ  เขากล้าเผชิญกับกษัตริย์เฮโรดด้วยคำตำหนิบาปอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ถือว่าชีวิตของเขามีค่าแก่ตนเอง เพื่อจะปฏิบัติพระราชกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ  และบัดนี้จากคุกมืดเขาเฝ้าคอยหาสิงโตแห่งเผ่ายูดาห์เพื่อจะรื้อถอนความหยิ่งยโสของผู้กดขี่และช่วยกู้คนยากจนและคนที่ร้องไห้ แต่ดูเสมือนหนึ่งว่าพระเยซูทรงพอพระทัยกับการมีสาวกล้อมอยู่รอบพระกายและทรงรักษาและทรงสั่งสอนคนทั้งหลาย  พระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารที่โต๊ะอาหารของคนเก็บภาษี ในขณะที่แอกของโรมันที่อยู่บนชนชาติอิสราเอลนั้นหนักขึ้นทุกวัน ในขณะที่กษัตริย์เฮโรดและชู้รักชั่วช้าของพระองค์กระทำการตามใจปรารถนาและเสียงร้องของผู้ยากไร้และผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ขึ้นไปถึงสวรรค์  {DA 215.3}             

         สำหรับผู้เผยพระวจนะในถิ่นทุรกันดารแล้วทั้งหมดนี้เป็นเรื่องลี้ลับเกินที่เขาจะหยั่งถึงได้  ในบางช่วงเวลาเสียงกระซิบของมารทรมานวิญญาณจิตของเขาและเงาของความกลัวอันโหดร้ายคลืบคลานอยู่เหนือเขา  เป็นไปได้หรือไม่พระผู้ช่วยกู้ที่พวกเขาหวังคอยมาเนิ่นนานแล้วยังไม่เสด็จมาปรากฎ?  แล้วข่าวที่เขาเองได้รับบัญชาให้เป็นพยานนั้นหมายความว่าอะไร?  ยอห์นผิดหวังอย่างขมขื่นกับผลของการปฏิบัติกิจของเขา  เขาคาดหวังว่าข่าวของพระเจ้าจะเกิดผลเช่นเดียวกันกับสมัยเมื่อโยสิยาห์และเอสราอ่านธรรมบัญญัติ  (2 พงศาวดาร 34 เนหะมีย์ 8 ข้อที่ 9) ที่จะเกิดผลแห่งการกลับใจอันจริงใจและหันกลับมาหาพระเจ้า  เพื่อให้พันธกิจนี้สำเร็จ เขาได้มอบถวายทั้งชีวิตของเขาเพื่อการนี้ งานที่เขาทำไปแล้วไม่เกิดผลเลยหรือ?  {DA 216.1}  

         ยอห์นเป็นทุกข์เมื่อเห็นว่าสาวกของเขาเองเก็บความไม่เชื่อในพระเยซูอันเนื่องจากความรักของพวกเขาที่มีต่อยอห์น  งานที่เขาทำเพื่อพวกเขาไม่เกิดผลเลยหรือ?  เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพันธกิจของตนเอง จนบัดนี้เขาต้องถูกตัดขาดจากการทำงานรับใช้หรือ?  หากพระผู้ช่วยที่ทรงโปรดสัญญาไว้นั้นเสด็จมาปรากฎและยอห์นสัตย์ซื่อต่อการทรงเรียกแล้ว บัดนี้พระเยซูจะไม่ทรงเข้ายึดอำนาจของผู้กดขี่และปลดปล่อยผู้นำข่าวของพระองค์ไปสู่เสรีภาพหรือ?  {DA 216.2}  

         แต่ผู้ให้บัพติศมาไม่ได้ละทิ้งความเชื่อของเขาที่มีในพระคริสต์  ในความทรงจำ เสียงจากสวรรค์และนกพิราบที่เสด็จลงมา ความบริสุทธิ์ไร้จุดด่างพร้อยของพระเยซู อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับยอห์นในขณะที่เขาเข้ามาอยู่เบื้องพระพักตร์พระผู้ช่วยและคำพยานของคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ล้วนเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระเยซูแห่งเมืองนาซาเร็ธทรงเป็นพระเจ้าองค์ที่ทรงสัญญาไว้  {DA 216.3}               

         ยอห์นไม่ได้นำเรื่องความสงสัยและความกังวลนี้ขึ้นมาพูดคุยกับมิตรสหายทั้งหลายของเขา  เขาตั้งใจส่งผู้สื่อข่าวไปทูลถามพระเยซู  ภาระนี้เขามอบให้ศิษย์สองคนของเขา โดยหวังว่าการสนทนากับพระผู้ช่วยจะทำให้ความเชื่อของพวกเขามั่นคงและนำความมั่นใจมาให้พี่น้อง  และเขาใคร่ปรารถนาพระดำรัสที่พระคริสต์ตรัสถึงพระองค์เองโดยตรง  {DA 216.4}         

         สาวกของยอห์นนข่าวสารมาทูลถามพระเยซูว่า "ท่านเป็นคนที่จะมานั้น หรือว่าเราจะต้องรอคอยคนอื่น?"  {DA 216.5}                 

         เวลาผ่านไปเพียงไม่นานที่ผู้ให้พับติศมาชี้ตรงไปยังพระเยซูและประกาศว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป" "ภายหลังข้าพเจ้าจะมีผู้หนึ่งเสด็จมาเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า"  ยอห์น 1 ข้อที่ 29, 27 TKJV  และบัดนี้มีคำถามว่า "ท่านเป็นคนที่จะมานั้นหรือ?"  สำหรับธรรมชาติของมนุษย์แล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ขมขื่นและผิดหวังอย่างปวดร้าว  หากยอห์นผู้เบิกทางที่ซื่อสัตย์ล้มเหลวที่จะเข้าใจพันธกิจของพระคริสต์อย่างกระจ่างแจ้งแล้วจะคาดหวังสิ่งอื่นอันใดจากมหาชนที่แสวงหาแต่การสนองตนเองได้เล่า?  {DA 216.6}          

            พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงตอบคำถามของพวกสาวกทันที  ขณะที่พวกเขายืนคอยด้วยความสงสัยในความเงียบของพระคริสต์นั้น มีผู้ป่วยและผู้ที่ตกทุกข์ได้เข้ามาเฝ้าพระองค์เพื่อขอรับการรักษา  คนตาบอดคลำหาทางฝ่าฝูงชนเข้ามา มีคนป่วยทุกประเภท บางคนเดินขอทางเข้ามาเอง บ้างก็มีเพื่อนหามกันเข้ามา ต่างร้อนรนเพื่อขอเข้ามาอยู่เบื้องพระพักตร์พระเยซู  พระสุรเสียงของแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่เจาะทะลุหูที่หนวก พระดำรัสและการสัมผัสของพระองค์เปิดตาที่บอดให้มองเห็นแสงตะวัน ทิวทัศน์ธรรมชาติ ใบหน้าของมิตรสหายและพระพักตร์ของพระผู้ช่วยกู้  พระเยซูตรัสห้ามโรคภัยและกำจัดอาการไข้สูง  พระสุรเสียงของพระองค์ตกกระทบลงหูของผู้ที่กำลังสิ้นใจ และพวกเขาลุกขึ้นด้วยร่างกายที่แข็งแรงและมีกำลังวังชา  คนง่อยที่ถูกผีเข้าสิงปฏิบัติตามพระดำรัสของพระองค์ ความบ้าคลั่งไปจากพวกเขาและพวกเขานมัสการพระองค์  ในขณะที่พระองค์ทรงรักษาโรคของพวกเขาอยู่นั้น พระองค์ทรงสอนคนทั้งหลายไปด้วย  ชาวนาและกรรมกรผู้ยากไร้ที่พวกธรรมาจารย์ตราว่าเป็นคนไม่สะอาดนั้นล้อมอยู่ใกล้พระองค์ และพระองค์ตรัสกับพวกเขาถึงเรื่องชีวิตนิรันดร์  {DA 216.7}                

         ด้วยประการฉะนี้ วันหนึ่งผ่านพ้นไป  พวกสาวกของยอห์นเห็นและได้ยินทั้งหมด  ในที่สุดพระเยซูบัญชาพวกเขาให้มาเฝ้าและตรัสสั่งให้ไปบอกยอห์นในสิ่งที่เห็นและตรัสเพิ่มเติมว่า "ใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเรา คนนั้นก็เป็นสุข"  ลูกา 7 ข้อที่ 23  หลักฐานความเป็นพระเจ้าของพระองค์เห็นได้จากที่พระองค์ปรับเข้าหาความต้องการของมนุษยชาติที่ตกอยู่ในความทุกข์  พระองค์ทรงสำแดงพระสิริด้วยการทรงโน้มพระกายของพระองค์ลงสู่ระดับต่ำของพวกเรา  {DA 217.1}                

         พวกสาวกได้ข้อมูลข่าวสาร และเป็นการเพียงพอแล้ว  ยอห์นหวนคิดถึงคำพยากรณ์ที่กล่าวถึงพระเมสสิยาห์ว่า "พระยาห์เวห์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้เพื่อนำข่าวดีมายังคนที่ทุกข์ใจ  พระองค์ทรงส่งข้าพเจ้าไปเพื่อปลอบโยนคนชอกช้ำใจและเพื่อประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย  ทั้งประกาศการเปิดเรือนจำแก่ผู้ที่ถูกจำจอง  เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระยาห์เวห์" อิสยาห์ 61 ข้อที่ 1, 2  พระราชกิจของพระคริสต์ไม่ใช่เพียงแค่ประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์แต่จะสำแดงให้เห็นว่าลักษณะของแผ่นดินของพระองค์ที่จะมาจัดตั้งนั้นเป็นเช่นไร  ความจริงเดียวกันที่เปิดเผยให้แก่เอลียาห์ในถิ่นทุรกันดารนั้นทรงเปิดเผยให้แก่ยอห์นด้วย เมื่อ “ลมพายุรุนแรงได้พัดพังภูเขา และทำให้หินแตกเป็นเสี่ยงๆ เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้สถิตในลมนั้น ภายหลังลมก็เกิดแผ่นดินไหว แต่พระยาห์เวห์ไม่ได้สถิตในแผ่นดินไหวนั้น  ภายหลังแผ่นดินไหวก็เกิดไฟ” และหลังจากไฟ พระเจ้าตรัสกับผู้เผยพระวจนะด้วย  "เสียงเบาๆ" 1 พงศ์กษัตริย์ 19 ข้อที่ 11, 12  พระเยซูจะทรงปฏิบัติพระราชกิจด้วยวิธีนี้ ไม่ใช่ด้วยการปะทะของอาวุธและการคว่ำบัลลังก์และอาณาจักร แต่โดยการตรัสกับจิตใจของมนุษย์ด้วยชีวิตแห่งความเมตตาและเสียสละตน  {DA 217.2}             

         หลักการการดำรงชีวิตของผู้ให้บัพติศมาเองที่เป็นชีวิตของการละทิ้งตนนั้น เป็นหลักการของอาณาจักรของพระเมสสิยาห์  ยอห์นทราบดีว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นหลักการและความหวังที่แปลกสำหรับเหล่าผู้นำของชนชาติอิสราเอล  สิ่งที่เป็นหลักฐานเพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้านั้นเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขาไม่เชื่อ  พวกเขามองหาพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าไม่เคยสัญญา  ยอห์นมองเห็นว่าพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอดจะได้แต่เพียงความเกลียดชังและความเหยียดหยามเป็นสิ่งตอบแทน  เขาซึ่งเป็นผู้นำหน้านั้นเพียงแต่กำลังดื่มถ้วยที่พระคริสต์เองทรงต้องดื่มให้หมดสิ้นจนถึงขี้ตะกอนของถ้วยนั้น  {DA 218.1}               

         พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่า "ใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเรา คนนั้นก็เป็นสุข" เป็นคำตำหนิยอห์นอย่างอ่อนโยน  พระดำรัสนี้ไม่ได้สูญไปเปล่า  บัดนี้ยอห์นเข้าใจพันธกิจของพระคริสต์อย่างชัดเจนแล้ว เขามอบถวายตนเองให้พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นหรือจะตายเพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับงานแห่งการรับใช้ที่เขารัก  {DA 218.2 }                         

         หลังจากผู้สื่อข่าวกลับไปแล้ว พระเยซูตรัสกับประชาชนเรื่องของยอห์น  พระหทัยของพระผู้ช่วยให้รอดทรงสำแดงพระเมตตาสงสารต่อพยานผู้สัตย์ซื่อที่บัดนี้ถูกกักขังอยู่ในคุกมืดของกษัตริย์เฮโรด  พระองค์ไม่ทรงประสงค์ปล่อยให้ผู้คนสรุปว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งยอห์นไปแล้วหรือว่าความเชื่อของยอห์นพังทลายไปในวันแห่งความทุกข์ยากลำบาก  พระองค์ตรัสว่า "ท่านทั้งหลายออกไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร? คงไม่ใช่ดูต้นอ้อไหวเมื่อถูกลมพัดหรอกนะ"  {DA 218.3}              

         ต้นอ้อสูงที่ขึ้นตามชายฝั่งแม่น้ำจอร์แดนโอนเอียงไปตามสายลม เป็นภาพบรรยายให้เห็นได้อย่างเหมาะสมถึงลักษณะของธรรมาจารย์ที่ทำตัวเป็นผู้ตำหนิและพิพากษาพันธกิจของผู้ให้บัพติศมา  พวกเขาโอนไปเอนมาตามกระแสแนวคิดซึ่งเป็นที่นิยม  พวกเขาไม่ต้องการถ่อมตนเองลงเพื่อรับข่าวสารที่ตรวจสอบหัวใจของผู้ให้บัพติศมา ถึงกระนั้นด้วยความกลัวประชาชน พวกเขาไม่กล้าต่อต้านงานของเขาอย่างเปิดเผย  แต่ผู้สื่อข่าวของพระจ้าไม่มีวิญญาณแห่งความขลาดเช่นนี้  ฝูงชนที่ล้อมรอบพระคริสต์เคยเป็นพยานถึงการทำงานของยอห์น  พวกเขาเคยได้ยินคำตำหนิบาปอย่างปราศจากความกลัว  ยอห์นพูดชัดเจนอย่างเสมอต้นเสมอปลายกับพวกฟาริสีที่ทะนงในความชอบธรรมของตน พวกสะดูสีที่ทำตัวเป็นปุโรหิต กษัตริย์เฮโรดและข้าราชบริพาร ขุนนางและทหาร คนเก็บภาษีและชาวนา  เขาไม่ใช่ต้นอ้อที่หวั่นไหวโอนเอียงไปตามสายลมของการเยินยอหรืออคติของมนุษย์  ขณะอยู่ในคุกยอห์นก็ยังจงรักภักดีต่อพระเจ้าและร้อนรนต่อความชอบธรรมเหมือนเช่นกับสมัยที่เขาเทศนาข่าวของพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร  เขามั่นคงดั่งศิลาในความซื่อสัตย์ของเขาต่อหลักการ  {DA 218.4}               

         พระเยซูตรัสต่อไปว่า "แล้วท่านออกไปดูอะไร? ดูคนที่นุ่งห่มผ้าเนื้อดีหรือ? นี่แน่ะ คนที่นุ่งห่มผ้าเนื้อดีก็อยู่ในราชวัง"  ยอห์นได้รับการทรงเรียกให้ตำหนิบาปและความฟุ่มเฟือยในสมัยของเขาและเครื่องแต่งกายอันเรียบง่ายและการละทิ้งตนของเขาสอดคล้องกับลักษณะพันธกิจของเขา ชุดอาภรณ์หรูหราและความฟุ่มเฟือยของชีวิตนี้ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของผู้รับใช้พระเจ้า แต่เป็นของคนเหล่านั้นที่อาศัย “อยู่ในราชวัง" เป็นของผู้ปกครองของโลกนี้ที่มีอำนาจและความร่ำรวยของโลกนี้  พระเยซูทรงประสงค์หันความสนใจเพื่อให้ดูความแตกต่างระหว่างเสื้อผ้าของยอห์นกับชุดที่ปุโรหิตและผู้ปกครองสวมใส่ เจ้าหน้าที่เหล่านี้ต่างแต่งกายของตนเองด้วยชุดหรูหราและเครื่องประดับราคาแพง พวกเขาชื่นชอบกับการโอ้อวดและหวังที่จะทำให้ตาของพวกเขาพร่าและเพื่อเรียกร้องความสนใจให้มากยิ่งขึ้น  พวกเขาใส่ใจที่จะรับคำชมจากมนุษย์มากกว่าที่จะได้หัวใจบริสุทธิ์ซึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  ด้วยประการฉะนี้จึงแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจงรักภักดีต่ออาณาจักรของโลกนี้มากกว่าต่อพระเจ้า  {DA 218.5}                      

         พระเยซูตรัสว่า "แล้วพวกท่านออกไปดูอะไร? ดูผู้เผยพระวจนะหรือ? แน่ทีเดียว และเราบอกท่านทั้งหลายว่า เขาเป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะอีก คือเป็นผู้นี้ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า {DA 219.1}

 

         ‘เราจะใช้ทูตของเรานำหน้าท่าน 

ผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ข้างหน้าท่าน  {DA 219.2}                     

 

         "เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดจากผู้หญิงนั้น ไม่มีใครยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมา"  ในคำประกาศของทูตสวรรคัที่ให้ไว้กับเศคาริยาห์ก่อนที่ยอห์นจะเกิดนั้นมีอยู่ว่า "เขาจะเป็นใหญ่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า" ลูกา 1 ข้อที่ 15  ในการประเมินของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ อะไรคือองค์ประกอบของความยิ่งใหญ่?  ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ที่โลกยกย่อง ไม่ใช่ความร่ำรวยหรือยศศักดิ์ หรือเชื้อสายของสกุลผู้ดีหรือของประทานฝ่ายปัญญาที่จะนำมาพิจารณา  หากความยิ่งใหญ่ฝ่ายปัญญาที่ปราศจากปัญญาจากเบื้องบนสมควรได้รับเกียรติแล้ว การเทิดทูนของเรานั้นก็มีไว้ให้ซาตาน  ผู้ซึ่งมีพลังอำนาจทางปัญญาที่ไม่มีมนุษย์ใดเคยเทียบเคียง  แต่เมื่อนำของประทานไปใช้ในทางผิดเพื่อตนแล้ว ของประทานที่ได้รับนั้นยิ่งมากเท่าใด คำสาปแช่งก็จะยิ่งทวีคุณมากขึ้นเท่านั้น  คุณค่าทางศีลธรรมเป็นที่พระเจ้าทรงถือว่ามีค่า  ความรักและความบริสุทธิ์เป็นคุณสมบัติที่มีค่ามากที่สุดของพระองค์  ยอห์นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรของพระเจ้าเมื่อเขาปฏิเสธที่จะแสวงหาเกียรติยศให้ตนเองขณะอยู่ต่อหน้าผู้สื่อข่าวของสภาซันเฮดริน  ต่อหน้าประชาชนและต่อหน้าสาวกของตนเอง เขาละเว้นจากการแสวงหาเกียรติยศให้กับตัวเอง แต่ชี้เหเรื่องทั้งหมดไปยังพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงสัญญาไว้  ความสุขอย่างไม่เห็นแก่ตัวในพระราชกิจแห่งการรับใช้พระคริสต์ของยอห์นนี้แสดงให้เห็นถึงความดีอันสูงส่งที่สุดที่เคยแสดงออกให้เห็นในมนุษย์  {DA 219.3}                    

         ภายหลังที่ยอห์นตายแล้ว คนที่เคยได้ยินเขาพูดถึงพระเยซูให้คำพยานไว้ว่า "ถึงยอห์นไม่ได้ทำหมายสำคัญอะไรเลย แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง"  ยอห์น 10 ข้อที่ 41  พระเจ้าไม่ทรงโปรดประทานให้ยอห์นเรียกไฟจากสวรรค์หรือปลุกคนตายให้เป็นขึ้นเหมือนเช่นเอลียาห์ หรือถือไม้เท้าแห่งอำนาจของโมเสสในพระนามของพระองค์  เขาได้รับสั่งให้ประกาศการเสด็จมาของพระผู้ช่วยและเรียกร้องให้คนทั้งหลายเตรียมพร้อมเพื่อการเสด็จมาของพระองค์  เขาปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์จนเมื่อคนทั้งหลายหวนคิดถึงสิ่งที่เขาสอนเกี่ยวกับพระเยซู พวกเขาจะพูดว่า "แต่ทุกสิ่งที่ยอห์นกล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง"  และสาวกทุกคนของพระอาจารย์ได้รับบัญชาให้เป็นพยานของพระคริสต์ในลักษณะเช่นนี้  {DA 219.4}  

         ในฐานะผู้ประกาศการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ยอห์น "เป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะอีก"  เมื่อในขณะที่ผู้เผยพระวจนะทั้งหลายมองเห็นการเสด็จมาของพระคริสต์แต่ไกล แต่สำหรับยอห์นแล้ว พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานให้เขาเห็นพระองค์ เพื่อได้ยินคำยืนยันจากสวรรค์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์และเพื่อเป็นผู้นำเสนอให้ชนชาติอิสราเอลทราบว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระผู้ทรงโปรดประทานมาให้  ถึงกระนั้นพระเยซูยังตรัสว่า "ผู้ที่เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ก็ยังใหญ่กว่ายอห์นอีก"  {DA 220.1}                    

         ผู้เผยพระวจนะยอห์นเป็นข้อต่อเชื่อมระหว่างยุคพันธสัญญาเดิมและยุคพันธสัญญาใหม่  ในฐานะตัวแทนของพระเจ้า เขาเปิดเผยถึงความสัมพันธ์ของพระบัญญัติและผู้เผยพระวจนะที่มีต่อระบบของคริสเตียน  เขาเป็นแสงดวงเล็ก โดยที่แสงดวงใหญ่จะตามมาภายหลัง  แสงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ส่องสว่างลงสู่จิตใจของยอห์นเพื่อเขาจะส่องความสว่างต่อไปยังประชากรของเขา แต่ไม่มีแสงสว่างอื่นใดที่เคยส่องสว่างหรือจะส่องลงมายังมนุษย์ที่ล้มลงในบาปในภายหลังเหมือนเช่นที่สว่างขึ้นจากคำสอนและแบบอย่างของพระเยซู  จากเงาของพิธีถวายบูชาที่เป็นแบบอย่าง มนุษย์เข้าใจพระคริสต์และพันธกิจของพระองค์ได้เพียงสลัวๆ  แม้กระทั่งยอห์นยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงชีวิตอมตะในภายภาคหน้าที่จะได้รับโดยผ่านพระผู้ช่วยให้รอด  {DA 220.2}               

         นอกจากความสุขที่ยอห์นได้จากพันธกิจของเขาแล้ว ชีวิตของเขานั้นน่าเศร้า ไม่มีใครเคยได้ยินเสียงของเขานอกจากในถิ่นกันดาร  เขามีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว และไม่ได้รับอนุญาตให้เห็นผลของงานที่เขาทำ  เขาไม่มีโอกาศได้อยู่ร่วมกับพระคริสต์และเป็นพยานถึงการเปิดเผยอำนาจของพระเจ้าที่ทรงร่วมสถิตกับแสงดวงใหญ่  เขาไม่ได้เห็นคนตาบอดกลับมองเห็น คนหายป่วยและคนตายกลับมีชีวิต เขาไม่ได้เห็นแสงที่ส่องจากพระดำรัสทั้งหมดของพระคริสต์ที่สาดส่องรัศมีภาพมายังพระสัญญาของคำพยากรณ์  ในแง่นี้แล้ว สาวกเล็กน้อยที่สุดที่เห็นพระราชกิจยิ่งใหญ่ของพระคริสต์และได้ยินพระดำรัสของพระองค์ก็ถือว่าได้รับเกียรติที่ยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาและในแง่นี้เองจึงกล่าวได้ว่ายิ่งใหญ่กว่ายอห์น  {DA 220.3}              

         โดยผ่านฝูงชนขนาดใหญ่ที่มาฟังเขาเทศนาชื่อเสียงของยอห์นดังก้องไปทั่วแดนดิน  พวกเขาใส่ใจอย่างสุดซึ้งเมื่อยอห์นถูกจับเข้าคุก แต่ถึงกระนั้นชีวิตที่ไร้ตำหนิและเป็นที่ยอมรับของสังคมอย่างกว้างขวางทำให้เชื่อว่าไม่น่าจะมีการปฏิบัติต่อเขาอย่างรุนแรง  {DA 220.4}  

         เฮโรดเชื่อว่ายอห์นคือผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าและท่านมุ่งมั่นตั้งใจปล่อยเขาไปสู่อิสรภาพ  แต่เขารีรอที่จะทำตามความตั้งใจเพราะกลัวนางเฮโรเดียส  {DA 220.5 }  

         เฮโรเดียสรู้ดีว่าเธอทำให้เฮโรดเห็นด้วยกับการตายของยอห์นไม่ได้และเธอตั้งใจใช้เล่ห์กลอุบายวางแผนเพื่อทำให้สำเร็จ  ในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา เธอจัดงนเลี้ยงฉลองด้วยการเชิญข้าราชการระดับชาติและขุนนางของราชวังเข้าร่วม  ในงานนี้จะมีการกินและดื่มสุราเมรัย  เฮโรดจะเสียสติสัมปชัญญะและอาจคล้อยตามการชี้นำของนางได้  {DA 221.1}  

         เมื่อวันยิ่งใหญ่นั้นมาถึง ขณะที่กษัตริย์และขุนนางทั้งหลายของพระองค์ร่วมฉลองกินดื่มกันอยู่นั้น เฮโรเดียสส่งบุตรีของเธอเข้าไปเต้นรำที่ห้องเลี้ยงฉลองเพื่อให้แขกได้รับความเพลิดเพลินใจ  ซาโลเมอยู่ในวัยเริ่มแตกเนื้อสาว และความงามอย่างยั่วยวนกิเลสเร้าอารมณ์ของผู้ชมระดับขุนนาง   การให้หญิงสาวราชสำนักปรากฏตัวในงานเลี้ยงฉลองไม่ใช่เป็นธรรมเนียมประเพณีที่ถือปฏิบัติกันและเฮโรดได้รับคำชมยกยอเมื่อบุตรีของปุโรหิตและขุนนางของอิสราเอลเต้นรำเพื่อความเพลิดเพลินของแขกของพระราชา [หมายเหตุจากผู้แปล ข้อที่  คุณย่าของเฮโรเดียสเป็นหลานสาวของปุโรหิต ไฮเรียนัสที่สอง--Hyreanus II]  {DA 221.2}  

         เหล้าองุ่นทำให้กษัตริย์มึนงง  ตัณหาฝ่ายต่ำเข้ายึดครองตัวท่านและความมีเหตุผลถูกสลัดทิ้งไป  ท่านเขามองเห็นแต่เฉพาะห้องโถงแห่งความสนุกสำราญที่เต็มไปด้วยแขกสำมะเลเทเมา โต๊ะเลี้ยงรับรอง เหล้าเปล่งประกายและแสงสว่างระยิบระยับและสาวน้อยเต้นรำอยู่ตรงหน้า  ในเสี้ยวนาทีของความคิดไร้สติ ท่านปรารถนาแสดงการโอ้อวดที่จะยกชูตัวเองขึ้นต่อหน้าบุคคลยิ่งใหญ่ในราชอาณาจักร จึงประกาศสัญญาด้วยคำสาบานที่จะประทานแก่บุตรีของเฮโรเดียสทุกสิ่งที่เธอขอ แม้กระทั่งกึ่งหนึ่งของอาณาจักร  {DA 221.3}  

         ซาโลเมรีบวิ่งไปหาแม่ของเธอเพื่อขอความเห็นว่าควรทูลขอสิ่งใด  คำตอบมีพร้อมอยู่แล้ว นั่นคือศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมา  ซาโลเมไม่เคยทราบถึงความกระหายอย่างอาฆาตแค้นที่มีอยู่ในใจของแม่เธอ  เธอกลัวที่จะนำเสนอคำขอ แต่ความตั้งใจของเฮโรเดียสประสบความมีชัย  หญิงสาวกลับไปพร้อมด้วยคำขออันน่ากลัว "หม่อมฉันขอศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ใส่ถาดมาให้หม่อมฉันเดี๋ยวนี้เลยเพคะ" มาระโก 6 ข้อที่ 25  {DA 221.4}  

         เฮโรดตกตะลึงและสับสน  ความรื่นเริงอันชั่วช้าหยุดชะงักและความเงียบน่ากลัวปกคลุมภาพแห่งความสนุกสนาน  กษัตริย์สั่นสะท้านไปด้วยความกลัว เมื่อคิดถึงการที่จะต้องปลิดเอาชีวิตของยอห์น  แต่กระนั้นเมื่อเฮโรดลั่นคำปฏิญาณไปแล้วและไม่ประสงค์ที่จะแสดงออกถึงความเหลาะแหละหรือความไม่รอบคอบ  คำปฏิญาณได้ลั่นออกไปต่อหน้าแขกมีเกียรติและทว่าหากมีสักคนหนึ่งทักท้วงที่จะให้ปฏิบัติตามคำสัญญาแล้ว เฮโรดก็คงยินดีปล่อยผู้เผยพระวจนะไป  ท่านเปิดโอกาสให้พวกเขาพูดเผื่อนักโทษ  พวกเขาเคยเดินทางมาแต่ใกลเพื่อฟังยอห์นเทศนาและรู้ดีว่ายอห์นไม่ได้ทำผิดและเป็นผู้รับใช้พระเจ้า  แต่ถึงแม้พวกเขาจะตกตะลึงกับคำขอของหญิงสาว พวกเขาหลงใหลเกินกว่าที่จะทักท้วงขัดขวาง  ไม่มีเสียงใดดังขึ้นเพื่อช่วยชีวิตผู้สื่อข่าวของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์  บุคคลเหล่านี้นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงแห่งความวางใจของประเทศและเป็นผู้แบกรับหน้าที่สำคัญ แต่ถึงกระนั้นพวกเขายังปล่อยตัวไปกับการกินและดื่มจนกระทั่งความรู้สึกมึนชาไป หัวของพวกเขาหมุนไปตามภาพของดนตรีและการเต้นระบำและสติสัมปชัญญะหยุดนิ่งไป  ด้วยความเงียบของพวกเขานี้ พวกเขาประกาศการตายของผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าเพื่อสนองความพยาบาทของหญิงคนหนึ่งที่ถูกทอดทิ้ง  {DA 221.5}          

         เฮโรดคอยที่จะปลดปล่อยตนเองให้หลุดพ้นจากคำปฏิญาณด้วยความผิดหวัง และแล้วเขาก็ออกคำสั่งไปอย่างไม่เต็มใจเพื่อประหารผู้เผยพระวจนะ  ในไม่ช้า ได้มีการยกศีรษะของยอห์นใส่ถาดเข้ามาถวายกษัตริย์และแขกของพระองค์  ปากที่เตือนเฮโรดอย่างซื่อสัตย์เพื่อให้เขากลับจากชีวิตบาปนั้นถูดปิดไปตลอดกาล  เขาจะไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องให้มนุษย์กลับใจอีก  ความสนุกสำมะเลเทเมาของค่ำคืนเดียวทำลายชีวิตของผู้เผยพระวจนะยิ่งใหญ่ที่สุดไป  {DA 222.1}            

         โอ บ่อยครั้งเพียงไรที่ชีวิตของผู้ไร้ความผิดจะต้องสูญสิ้นไปอันเนื่องจากการกินอยู่อย่างไม่พอควรของผู้ทำหน้าที่ปกป้องความยุติธรรม!  ผู้ที่เอาแก้วบรรจุยาพิษจ่อปากจะต้องรับผิดชอบความไม่ยุติธรรมที่เขากระทำภายใต้ความหลงใหลในอำนาจ  ด้วยการทำให้ความรู้สึกมึนชานี้ทำให้ตัวเขาเองไม่สามารถตัดสินใจด้วยความสงบใจหรือมีทัศนะคติที่ใสกระจ่างแยกแยะระหว่างถูกและผิดได้  เขาเปิดทางให้ซาตานทำงานผ่านตัวเขา ในการกดขี่และทำลายคนที่ไร้ความผิด  "เหล้าองุ่นทำให้ชอบเยาะเย้ย และสุราก็ทำให้เกะกะระราน ใครยอมให้มันพาเจิ่นไป ก็ไม่มีปัญญา"  สุภาษิต 20 ข้อที่ 1  ด้วยประการฉะนี้ "ความยุติธรรมก็หันกลับ. . . .และผู้พรากจากความชั่วก็ทำให้ตัวเองถูกปล้น"  อิสยาห์ 59 ข้อที่ 14, 15  ผู้มีอำนาจปกครองอยู่เหนือชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจะต้องร่วมรับผิดชอบอาชญากรรมเมื่อเขาตกอยู่ภายใต้การกินอยู่อย่างไม่ประมาณตน  คนทั้งหมดที่ปกครองโดยใช้กฎหมายจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย  พวกเขาจะต้องเป็นคนที่ควบคุมตนเองได้  พวกเขาจะต้องควบคุมกำลังทางฝ่ายกาย ความคิดและศีลธรรมอย่างเต็มที่เพื่อเขาจะมีความเข้มแข็งทางความคิดและมีความสำนึกอย่างสูงในเรื่องของความยุติธรรม  {DA 222.2}                      

         เมื่อยกศีรษะของยอห์นผู้ให้บัพติศมาให้เฮโรเดียสแล้ว เธอรับด้วยความพึงพอใจอย่างป่าเถื่อนอำมหิต  เธอปลื้มปีติที่แก้แค้นได้สำเร็จและปลอบตนเองว่าจิตใต้สำนึกของเฮโรดจะไม่ถูกรบกวนอีกต่อไป  แต่ผลของบาปที่เธอทำไปนั้นไม่ได้นำมาความสุขมาให้เธอ  ชื่อเสียงของเธอดังไปในทางลบและเป็นที่หวาดกลัว ในเวลาเดียวกันเฮโรดทุกข์ทรมานมากยิ่งขึ้น โศกเศร้าใจมากกว่าเมื่อครั้งที่มีคำตักเตือนของผู้เผยพระวจนะเสียอีก  อิทธิพลคำสอนของยอห์นไม่ได้เลือนหายไป แต่กลับแผ่กว้างออกไปทุกชั่วอายุจนถึงสิ้นสุดของยุค  {DA 222.3}            

         บาปของเฮโรดลอยติดตาเขาอยู่ตลอดเวลา  ท่านพยายามอยู่เสมอที่จะหาทางเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากจิตใต้สำนึกที่คอยย้ำเตือนถึงความผิดของตน  ความเชื่อมั่นของท่านที่มีต่อยอห์นนั้นไม่ได้สั่นคลอนไป  ขณะที่เฮโรดคิดถึงชีวิตที่ละทิ้งตนของยอห์นทั้งคำเชิญชวนอันเคร่งขรึมจริงใจและคำแนะนำที่มีเหตุมีผล แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายอห์นมาถึงความตายได้ย่างไร ท่านไม่อาจอยู่อย่างสงบได้ต่อไป  ในขณะที่ท่านปฏิบัติกิจของประเทศชาติ รับการเทิดทูนสรรเสริญจากมนุษย์อยู่นั้น ท่านสวมใบหน้าที่มีรอยยิ้มและลักษณะท่าอันทางเกียรติแต่จิตใจกลับซ่อนความว้าวุ่นอยู่ภายในซึ่งถูกกดดันด้วยความกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าคำสาปแช่งจะตกอยู่กับตัวท่านเอง  {DA 223.1}

         เฮโรดประทับใจอย่างสุดซึ้งกับคำพูดของยอห์นที่ว่าไม่มีสิ่งใดปิดซ่อนจากพระเจ้าได้  เขามั่นใจว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ทุกแห่งหน และพระองค์ทรงเห็นความสนุกสนานสำมะเลเทเมาของห้องเลี้ยงรับรองและทรงได้ยินคำสั่งตัดศีรษะของยอห์น และทรงเห็นความชื่นชมตื่นเต้นของเฮโรเดียสและความดูหมิ่นเหยียดหยามที่เธอแสดงออกต่อศีรษะที่ถูกตัดของผู้ตักเตือนเธอ  และเรื่องมากมายที่เฮโรดได้ยินจากปากของผู้เผยพระวจนะนั้น บัดนี้พูดกับจิตใต้สำนึกของท่านอย่างชัดเจนด้วยเสียงที่ดังกว่าที่ยอห์นเคยเทศนาในถิ่นทุรกันดารเสียอีก  {DA 223.2}  

เมื่อเฮโรดได้ยินถึงพระราชกิจของพระคริสต์นั้นท่านก็เป็นทุกข์อย่างมากยิ่ง  เขาคิดว่าพระเจ้าทรงปลุกยอห์นให้เป็นขึ้นจากความตายแล้วและทรงบัญชาให้มาประณามบาปด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น  ท่านตกอยู่ในความกลัวตลอดเวลาว่ายอห์นจะมาแก้แค้นและจะสาปแช่งท่านและครอบครัว เฮโรดกำลังเก็บเกี่ยวสิ่งที่พระเจ้าทรงประกาศไว้แล้วถึงผลลัพธ์ที่เกิดจากวิถีของความบาปซึ่งได้แก่  "จิตใจที่หวาดหวั่น มีตาที่มืดมัวลง และมีชีวิตที่ค่อยๆ วอดลง  และชีวิตของท่านก็จะแขวนอยู่ในความสงสัยต่อหน้าท่าน ท่านจะครั่นคร้ามอยู่ทั้งกลางคืนและกลางวัน ไม่มีความแน่ใจในชีวิตของท่านเลย  ในเวลาเช้าท่านจะกล่าวว่า ‘ถ้าเป็นเวลาเย็นก็จะดี’ และในเวลาเย็นท่านจะกล่าวว่า ‘ถ้าเป็นเวลาเช้าก็จะดี’ เพราะความครั่นคร้ามที่ท่านมีอยู่นั้น และเพราะสิ่งที่ตาท่านจะเห็น"  เฉลยธรรมบัญญัติ 28 ข้อที่ 65-67  ความคิดของคนบาปเองจะเป็นผู้ที่คอยกล่าวหาตนเองและไม่มีการทรมานใดที่จะปวดร้าวไปกว่าเหล็กในของจิตใต้สำนึกที่ทำผิด ซึ่งทำให้เขาไม่ได้พักผ่อนทั้งกลางวันและกลางคืน  {DA 223.3}                      

ความแปลกประหลาดอันล้ำลึกในชะตากรรมของยอห์นผู้ให้บัพติศมาวนเวียนอยู่ในความคิดของคนจำนวนมาก พวกเขาสงสัยว่าทำไมพระเจ้าจึงปล่อยให้เขาทรมานและตายในเรือนจำ  ความลึกลับของแผนการอันมืดมนนี้ สายตาของมนุษย์ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ แต่เรื่องนี้ไม่อาจสั่นคลอนความมั่นใจของเราในพระเจ้าได้เมื่อเราระลึกว่ายอห์นเป็นผู้ร่วมทุกข์กับพระคริสต์  ทุกคนที่ติดตามพระคริสต์จะสวมมงกุฎของการพลีชีพเสียสละ  พวกเขาจะถูกมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวเข้าใจพวกเขาผิดอย่างแน่นอนและเป็นเป้าจู่โจมอย่างรุนแรงร้ายกาจของซาตาน  อาณาจักรที่มันจัดตั้งขึ้นก็เพื่อทำลายหลักการของการเสียสละตนนี้ และมันจะทำสงครามต่อสู้กับทุกที่ที่แสดงออกถึงหลักการนี้  {DA 223.4}                    

ชีวิตในวัยเด็ก วัยหนุ่มและวัยผู้ใหญ่ของยอห์นมีคุณสมบัติของความมั่นคงและเข้มแข็งทางศีลธรรม  เมื่อเสียงของเขาดังขึ้นในถิ่นทุรกันดารว่า "จงเตรียมมรรคาแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป"  มัทธิว 3 ข้อที่ 3  ซาตานหวั่นวิตกถึงเรื่องความปลอดภัยของอาณาจักรของมัน  ความน่ากลัวของบาปเปิดเผยออกให้เห็นจนมนุษย์หวั่นวิตก  อำนาจของซาตานที่ควบคุมคนมากมายที่อยู่ภายใต้มันนั้นพังทลายไป  มันไม่ได้ละความพยายามที่จะดึงผู้ให้บัพติศามาออกจากชีวิตมอบถวายพระเจ้าโดยปราศจากเงื่อนไข แต่มันก็ล้มเหลว  และมันก็ล้มเหลวที่จะเอาชนะพระเยซู  ซาตานพ่ายแพ้ต่อการทดลองในถิ่นทุรกันดารและความโกรธของมันนั้นรุนแรง  บัดนี้มันต้องการนำความโศกเศร้ามายังพระคริสต์ด้วยการจู่โจมยอห์น  มันจะทำให้พระองค์ทุกข์ทรมานในเมื่อมันล่อลวงพระองค์ให้ทำบาปไม่ได้  {DA 224.1}                     

พระเยซูไม่ทรงเข้าขัดขวางเพื่อช่วยผู้รับใช้ของพระองค์  พระองค์ทรงทราบดีว่ายอห์นทนต่อการทดสอบได้  ด้วยความยินดีพระผู้ช่วยทรงพร้อมที่จะเสด็จมาหายอห์นด้วยตนเองเพื่อขจัดความซึมเศร้าของคุกมืดให้สว่างสดใส  แต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์นำตนเข้าไปอยู่ในมือของศัตรูและทำให้พระราชกิจของพระองค์ตกอยู่ในภัยอันตราย  พระองค์ทรงพร้อมและยินดีที่จะช่วยผู้รับใช้ซื่อสัตย์ แต่เพื่อเห็นแก่คนจำนวนนับพันในยุคต่อมาที่จะต้องดำเนินผ่านเรือนจำไปสู่ความตายแล้ว ยอห์นจำเป็นต้องดื่มถ้วยของการยอมพลีชีพ  ในขณะที่ผู้ติดตามของพระคริสต์ต้องอิดโรยในคุกอย่างโดดเดี่ยวหรือตายด้วยคมดาบ ด้วยเครื่องทรมานตัว หรือด้วยฟืนไฟ ดูเหมือนว่าพระเจ้าและมนุษย์ทอดทิ้งพวกเขาไปแล้ว แต่สิ่งที่จะยังคงอยู่ในจิตใจของพวกเขาก็คือความคิดที่ว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาซึ่งเป็นบุคคลที่พระคริสต์ทรงเป็นพยานถึงความซื่อสัตย์นั้นยังต้องดำเนินผ่านประสบการณ์ในลักษณะเดียวกันนี้!  {DA 224.2}              

ซาตานได้รับอนุญาตให้ตัดชีวิตของผู้สื่อข่าวของพระเจ้าในโลกให้สั้นลง  แต่ชีวิตที่ "ซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า" นั้นผู้ทำลายเอื้อมไปไม่ได้  โคโลสี 3 ข้อที่ 3   มันดีอกดีใจที่นำความทุกข์มาให้กับพระคริสต์ แต่มันล้มเหลวที่จะครอบครองยอห์น  ความตายเพียงแต่นำยอห์นให้อยู่เหนืออำนาจของการทดลองในสงครามนี้ไปตลอดกาล ซาตานเผยลักษณะอุปนิสัยของมันเองออกมา  มันเปิดเผยให้จักรวาลที่คอยเฝ้ามองอยู่นั้นเห็นถึงความเป็นศัตรูของมันที่มีต่อพระเจ้าและมนุษย์  {DA 224.3}          

ถึงแม้ว่ายอห์นไม่ได้รับการช่วยกู้อย่างอัศจรรย์ แต่ยอห์นก็ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง  มีทูตสวรรค์อยู่ร่วมเป็นเพื่อนกับเขาตลอดเวลา  ทูตสวรรค์เหล่านี้เปิดเผยให้เขาเห็นถึงคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระคริสต์และคำมั่นสัญญาอันมีค่าทั้งหลายในพระคัมภีร์  นี่คือความมั่นใจของเขา และเป็นความมั่นใจของประชากรของพระเจ้าตลอดยุคที่จะมาถึง  คำมั่นสัญญาที่มีไว้สำหรับยอห์นผู้ให้บัพติศมาและคนทั้งหลายที่มาภายหลังว่า "นี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"  มัทธิว 28 ข้อที่ 20  {DA 224.4}            

พระเจ้าไม่ทรงเคยนำทางบุตรธิดาของพระองค์นอกเสียจากพวกเขาจะเลือกให้พระองค์ทรงนำ หากเขาทั้งหลายจะเห็นสิ่งที่อยู่เบื้องปลายตั้งแต่ตอนเริ่มต้นและเห็นสง่าราศีของพระประสงค์ที่เขาทั้งหลายกำลังทำให้สำเร็จในฐานะผู้ร่วมงานของพระองค์ ไม่ใช่เอโนคที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงเพื่อขึ้นสวรรค์ หรือเอลียาห์ที่ขึ้นไปสวรรค์ด้วยรถม้าเพลิงจะได้รับเกียรติยิ่งใหญ่หรือมากกว่ายอห์นผู้ให้บัพติศมาที่ต้องพินาศในคุกมืด  "พระเจ้าทรงให้พระคุณแก่ท่านเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ไม่ใช่ให้ท่านทั้งหลายเชื่อในพระองค์เท่านั้น แต่ให้ทนทุกข์ยากเพราะเห็นแก่พระองค์ด้วย"  ฟีลิปปี 1 ข้อที่ 29  และในบรรดาของประทานที่สวรรค์ทรงโปรดประทานให้นั้น การอยู่ร่วมในความทุกข์กับพระคริสต์ถือเป็นความวางใจที่ทรงคุณค่าและเป็นเกียรติสูงสุด  {DA 224.5}

************