บทที่ 38
จงปลีกตัวออกมาพัก
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 14 ข้อที่ 1, 2, 12, 13; มาระโก 6 ข้อที่ 30-32; ลูกา 9 ข้อที่ 7-10
เมื่อกลับจากการเดินทางประกาศข่าวประเสริฐครั้งแรกแล้วนั้น "พวกอัครทูตมาห้อมล้อมพระเยซูและทูลถึงสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาทำและสั่งสอน แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ‘มาเถิด จงปลีกตัวออกมาหาที่สงบเพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง’ เพราะว่ามีคนไปมามากมายจนไม่มีเวลาแม้แต่จะรับประทานอาหาร" {DA 359.1}
สาวกเข้ามาเฝ้าพระเยซูและทูลพระองค์ทุกเรื่อง ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพวกเขากับพระองค์ส่งเสริมให้พวกเขานำประสบการณ์ทั้งที่พอใจและไม่พอใจมาวางไว้ตรงเบื้องพระพักตร์พระองค์ รวมถึงความสุขของพวกเขาที่ได้เห็นผลลัพธ์จากการทำงานและความทุกข์ของพวกเขาจากความล้มเหลว และความผิดพลาดต่างๆ และความอ่อนแอของพวกเขา พวกเขาทำผิดพลาดในการทำงานครั้งแรกในฐานะผู้ประกาศข่าวประเสริฐและขณะที่พวกเขาเล่าประสบการณ์ของตนเองให้พระคริสต์ฟังอย่างตรงไปตรงมานั้น พระองค์ทรงเห็นว่าพวกเขาต้องการคำสอนชี้แนะมาก พระองค์ยังทรงเห็นด้วยว่าพวกเขาอิดโรยจากการทำงานและต้องการการหยุดพัก {DA 359.2}
แต่สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในเวลานั้น พวกเขาไม่มีความเป็นส่วนตัวตามที่ต้องการได้ "เพราะว่ามีคนไปมามากมายจนไม่มีเวลาแม้แต่จะรับประทานอาหาร" ผู้คนต่างหลั่งไหลมาล้อมอยู่รอบพระคริสต์ พวกเขาร้อนใจที่จะได้รับการรักษาให้หายและกระตือรือร้นที่จะฟังพระดำรัสของพระองค์ หลายคนรู้สึกว่าถูกดึงดูดเข้าหาพระองค์เพราะพระองค์ดูเหมือนจะเป็นน้ำพุแห่งพระพรทั้งหมดสำหรับพวกเขา หลายคนที่ออกันอยู่รอบพระคริสต์เพื่อรับประโยชน์อันล้ำค่าในด้านสุขภาพได้รับพระองค์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขาแล้ว คนอื่นๆ อีกจำนวนมากกลัวที่จะยอมรับพระองค์เนื่องมาจากพวกฟาริสีนั้น ก็ได้กลับใจใหม่ในช่วงพระวิญญาณบริสุทธิ์หลั่งลงมพาและได้ประกาศยอมรับพระองค์ในฐานะพระบุตรของพระเจ้าต่อหน้าพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองที่โกรธแค้น {DA 359.3}
แต่บัดนี้พระคริสต์ทรงปรารถนาที่จะพักเพื่ออยู่กับสาวกของพระองค์เป็นการส่วนตัว เพราะพระองค์ทรงมีเรื่องรับสั่งกับพวกเขามากมาย ในเรื่องงานพวกเขาได้ประสบกับการทดสอบในเรื่องความขัดแย้งและได้เผชิญหน้ากับการต่อต้านรูปแบบต่างๆ จนกระทั่งบัดนี้ พวกเขาปรึกษาพระคริสต์ทุกเรื่อง แต่เป็นเวลาระยะหนึ่งแล้วที่พวกเขาโดดเดี่ยวและบางครั้งก็หนักใจว่าจะต้องทำอย่างไรดี พวกเขาได้รับกำลังใจมากในขณะทำงาน เพราะพระคริสต์ไม่ได้ส่งพวกเขาไปโดยปราศจากพระวิญญาณของพระองค์ และโดยความเชื่อในพระองค์พวกเขาได้ทำการอัศจรรย์มากมาย แต่บัดนี้พวกเขาต้องการอาหารแห่งชีวิต พวกเขาจำเป็นต้องหาที่พักสักแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ที่พวกเขาจะสื่อสัมพันธ์กับพระเยซูและรับคำแนะนำสำหรับการทำงานในอนาคต {DA 360.1}
"แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า ‘มาเถิด จงปลีกตัวออกมาหาที่สงบเพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง’" พระคริสต์ทรงเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนและความเมตตาต่อทุกคนที่รับใช้ในพระราชกิจของพระองค์ พระองค์จะทรงอธิบายให้สาวกเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ทรงประสงค์การเสียสละ แต่ประสงค์ความเมตตา พวกเขาทุ่มเทจิตวิญญาณทั้งหมดให้ประชาชนและการทำเช่นนี้ทำให้พลังของร่างกายและจิตใจหมดไป เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้องหยุดพัก {DA 360.2}
ขณะที่สาวกมองเห็นความสำเร็จที่เกิดจากการทำงานรับใช้ของพวกเขา พวกเขาตกอยู่ในภัยอันตรายจากการที่พวกเขาจะรับชื่อเสียงเกียรติยศมาเป็นของตัวเอง ตกอยู่ในภัยอันตรายจากความเย่อหยิ่งทางจิตวิญญาณและนั่นจะทำให้ตกอยู่ในการล่อลวงของซาตาน งานยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้าพวกเขาและก่อนอื่นพวกเขาต้องเรียนรู้ว่าความเข้มแข็งของพวกเขาไม่ได้อยู่ในตัวของเขาเองแต่อยู่ในพระเจ้า เหมือนเช่นโมเสสในถิ่นทุรกันดารซีนาย เหมือนดาวิดท่ามกลางเนินเขายูเดียหรือเอลียาห์ริมลำธารเครีท พวกสาวกจำเป็นต้องแยกตัวเองออกจากกิจกรรมที่วุ่นวายเพื่อสื่อสัมพันธ์กับพระคริสต์ กับธรรมชาติและกับหัวใจของพวกเขาเอง {DA 360.3}
ขณะที่สาวกไม่อยู่เพราะออกเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐนั้น พระเยซูเสด็จออกเยี่ยมตามหัวเมืองและหมู่บ้านต่างๆ ทรงสั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า ประมาณช่วงเวลานี้เองที่พระองค์ได้รับข่าวการเสียชีวิตของยอห์นผู้ให้บัพติศมา เหตุการณ์นี้นำจุดจบซึ่งย่างพระบาทของพระองค์เองกำลังก้าวไปมาให้เห็นตรงหน้าอย่างชัดเจน เงามืดกำลังรวมตัวกันอย่างหนาทึบรอบเส้นทางของพระองค์ พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์คอยหาทางล้อมกรอบความตายของพระองค์ สายสืบตามรอยพระบาทพระองค์ และรอบทิศมีอุบายเพื่อการทำลายพระองค์เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ข่าวการเทศนาของอัครสาวกทั่วแคว้นกาลิลีไปถึงเฮโรด ทำให้เฮโรดสนพระทัยพระเยซูและพระราชกิจของพระองค์ "คนนี้แหละคือยอห์นผู้ให้บัพติศมา" พระองค์ตรัส "ท่านเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว" และพระองค์ทรงแสดงความปรารถนาที่จะเห็นพระเยซู เฮโรดทรงอยู่ในความหวาดกลัวมาตลอดว่าการปฏิวัติลับกำลังดำเนินการอยู่โดยมีเป้าหมายเพื่อปลดพระองค์ออกจากบัลลังก์และหักแอกโรมันออกจากชนชาติยิว กระแสความไม่พอใจและการจลาจลมีอยู่แพร่หลายท่ามกลางผู้คน เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการทำงานอย่างเปิดเผยของพระเยซูในแคว้นกาลิลีดำเนินต่อไปได้อีกไม่นาน ฉากแห่งความทุกข์ทรมานของพระองค์ใกล้เข้ามาและพระองค์ทรงปรารถนาที่จะปลีกตัวออกไปจากความสับสนของมหาชนสักช่วงเวลาหนึ่ง {DA 360.4}
ด้วยใจเศร้าสลดสาวกของยอห์นนำร่างที่ขาดวิ่นไปฝัง แล้วพวกเขา "ก็มาทูลพระเยซูให้ทรงทราบ" สาวกเหล่านี้อิจฉาพระคริสต์เมื่อดูเหมือนว่าพระองค์จะดึงดูดผู้คนออกไปจากยอห์น พวกเขาเข้าข้างพวกฟาริสีกล่าวหาพระองค์เมื่อพระองค์ประทับกับคนเก็บภาษีในงานเลี้ยงของมัทธิว พวกเขาสงสัยพันธกิจอันสูงส่งของพระเจ้าเพราะพระองค์ไม่ได้ปลดปล่อยยอห์นผู้ให้บัพติศมาให้เป็นอิสระ แต่ในเวลานี้อาจารย์ของพวกเขาตายแล้วและพวกเขาก็หวังจะได้รับความปลอบประโลมใจในความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่นี้ และต้องการคำแนะนำในเรื่องการงานในอนาคต พวกเขาเข้ามาเฝ้าพระเยซูและประสานผลประโยชน์ของพวกเขาให้เข้ากับของพระองค์ พวกเขาก็ต้องการช่วงเวลาเงียบสงบเพื่อสนทนากับพระผู้ช่วยให้รอดด้วยเช่นกัน {DA 361.1}
ใกล้เมืองเบธไซดาทางตอนเหนือสุดของปลายทะเลสาบเป็นพื้นที่ที่โดดเดี่ยว ในเวลานี้งามสดใสด้วยสีเขียวสดของฤดูใบไม้ผลิที่เปิดกว้างให้เป็นที่พักผ่อนต้อนรับพระเยซูและสาวกของพระองค์ พวกเขาเดินทางโดยเรือมุ่งหน้าไปยังที่นั่น ณ ที่แห่งนี้พวกเขาอยู่ห่างออกไปจากเส้นทางสัญจรรวมถึงความวุ่นวายและความว้าวุ่นของเมืองใหญ่ ทิวทัศน์ธรรมชาติของมันเองทำให้เกิดความสงบด้วยซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ประสาทสัมผัสสุขสบาย ที่นี่พวกเขาสดับฟังพระวจนะของพระคริสต์โดยไม่ต้องฟังคำขัดจังหวะที่โกรธแค้นรวมถึงการตอบโต้และการกล่าวหาของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี ที่นี่พวกเขามีความสุขช่วงสั้นๆ กับการเข้าร่วมสามัคคีธรรมในสังคมขององค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา {DA 361.2}
การพักผ่อนของพระคริสต์และสาวกนี้ไม่ใช่การพักผ่อนเพื่อสนองความต้องการของตนเองที่ต้องการพัก เวลาการพักของพวกเขานั้นไม่ได้ใช้ไปเพื่อความเพลิดเพลินอย่างสนุกสนาน พวกเขาพูดคุยกันเรื่องการงานของพระเจ้าและหาทางที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน สาวกเคยอยู่กับพระคริสต์มาแล้วและเข้าใจพระองค์ได้ดี พระองค์ไม่จำเป็นต้องตรัสกับพวกเขาด้วยคำอุปมา พระองค์ทรงแก้ไขข้อผิดพลาดของพวกเขาและอธิบายให้พวกเขาเข้าใจถึงวิธีที่ถูกต้องในการเข้าถึงประชาชน พระองค์ทรงเปิดขุมทรัพย์อันล้ำค่าของความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ให้แก่พวกเขาอย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น พวกเขาได้รับกำลังจากอำนาจของพระเจ้า และได้รับแรงบันดาลใจด้วยความหวังและความกล้าหาญ {DA 361.3}
แม้ว่าพระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์ได้และประทานอำนาจให้แก่สาวกของพระองค์เพื่อทำการอัศจรรย์ได้ก็ตาม ถึงกระนั้นพระองค์ก็ทรงบัญชาให้ผู้รับใช้ที่เหน็ดเหนื่อยของพระองค์แยกตัวออกไปยังชนบทและพักผ่อน เมื่อพระองค์ตรัสว่าการเก็บเกี่ยวนั้นยิ่งใหญ่และคนงานมีน้อย พระองค์ไม่ได้ทรงเร่งเร้าให้สาวกของพระองค์ทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ตรัสว่า "จงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ทรงส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์” มัทธิว 9 ข้อที่ 38 พระเจ้าทรงกำหนดงานให้ทุกคนทำตามความสามารถของเขา (เอเฟซัส 4 ข้อที่ 11-13) และพระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้คนเพียงไม่กี่คนต้องแบกภาระความรับผิดชอบในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีภาระและปราศจากการตรากตรำของจิตวิญญาณ {DA 361.4}
เป็นที่แน่นอนว่าถ้อยคำแห่งความเห็นใจของพระคริสต์ที่ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ในวันนี้เป็นข้อความเดียวกันกับที่พระองค์ตรัสกับสาวกของพระองค์ในอดีต พระองค์ตรัสกับผู้ที่หมดแรงและอ่อนล้าว่า “จงปลีกตัวออกมา. . . .เพื่อหยุดพักสักหน่อยหนึ่ง” ไม่เป็นเรื่องฉลาดเลยที่จะให้คนใดคนหนึ่งรับความเครียดและความตื่นเต้นของงานตลอดเวลา ถึงแม้จะเป็นการงานเพื่อช่วยจิตวิญญาณมนุษย์ก็ตาม เพราะว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วความเคร่งครัดทางศาสนาส่วนบุคคลจะถูกละเลย และเราจะใช้พลังของจิตใจและจิตวิญญาณและร่างกายไปเกินกำลัง สาวกของพระคริสต์ต้องการสิ่งที่จำเป็นสำหรับละทิ้งตนและการเสียสละด้วย แต่ก็ต้องระมัดระวัง เกลือกว่าโดยการลงแรงอย่างกระตือรือร้นมากเกินไปซาตานจะฉวยโอกาสในความอ่อนแอของความเป็นมนุษย์ และพระราชกิจของพระเจ้าจะเสียหาย {DA 362.1}
ในการประเมินค่าของพวกธรรมาจารย์แล้ว ภาพรวมของศาสนาจะต้องเต็มไปด้วยกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา พวกเขาต้องพึ่งการปฏิบัติเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความเคร่งครัดทางศาสนาที่เหนือกว่าคนอื่นๆ ด้วยการทำเช่นนี้ พวกเขาจึงแยกจิตวิญญาณออกไปจากพระเจ้าและสร้างตนให้พึ่งพาตนเอง ภัยอันตรายแบบเดียวกันนี้ยังคงมีอยู่ ขณะที่มนุษย์มีกิจกรรมเพิ่มมากขึ้นและประสบความสำเร็จในทุกงานของพระเจ้าที่ลงมือทำ พวกเขาจะตกลงสู่ภัยอันตรายของการวางใจในแผนการและวิธีการของมนุษย์ มีแนวโน้มที่จะอธิษฐานน้อยลงและมีความเชื่อน้อยลง เราตกอยู่ในภัยอันตรายของการละสายตาไปจากการพึ่งพระเจ้าเช่นเดียวกับพวกสาวก และทำให้กิจกรรมของเรากลับกลายมาเป็นผู้ช่วยให้รอดแทน เราจะต้องมองไปยังพระเยซูตลอดเวลาโดยตระหนักว่าโดยพระราชอำนาจของพระองค์ที่ประกอบกิจอยู่ในเรา ในขณะที่เราต้องทำงานอย่างจริงจังเพื่อความรอดของผู้หลงหายนั้น เราก็จะต้องใช้เวลาเพื่อใคร่ครวญ เพื่ออธิษฐาน และเพื่อศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วย การงานที่ทำได้สำเร็จด้วยการอธิษฐานอย่างหนักและถูกชำระด้วยพระคุณของพระคริสต์เท่านั้น ที่สุดแล้วจะพิสูจน์ให้ปรากฏความจริงถึงประสิทธิผลเพื่อการดี {DA 362.2}
ไม่มีใครสักคนในโลกนี้ที่มีชีวิตแบกรับภาระและความรับผิดชอบเหมือนชีวิตของพระเยซู แต่กระนั้นมีอยู่บ่อยครั้งเพียงไรที่พบพระองค์ทรงอธิษฐานอยู่! พระองค์ทรงสื่อสัมพันธ์กับพระบิดาอย่างสม่ำเสมอเพียงไร! ครั้งแล้วครั้งเล่าประวัติศาสตร์ชีวิตของพระองค์ในโลกได้บันทึกไว้ว่า "ในเวลาเช้ามืดพระองค์ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบ และทรงอธิษฐานที่นั่น" "มหาชนมาชุมนุมกันเพื่อจะฟังพระองค์และรับการรักษาโรคต่างๆ แต่พระองค์มักจะเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน" "ในเวลาต่อมาพระเยซูเสด็จไปที่ภูเขาเพื่อจะอธิษฐาน พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน" มาระโก 1 ข้อที่ 35; ลูกา 5 ข้อที่ 15, 16; 6 ข้อที่ 12 {DA 362.3}
ชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดที่อุทิศตนอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของผู้อื่นนั้น เป็นเรื่องจำเป็นที่พระองค์ทรงต้องปลีกตัวออกจากเส้นทางสัญจรและจากฝูงชนที่ติดตามพระองค์วันแล้ววันเล่า พระองค์จะต้องหันออกไปจากชีวิตที่ทำกิจกรรมอย่างไม่หยุดหย่อนและการสัมผัสกับความต้องการของมนุษย์ เพื่อแสวงหาการพักผ่อนและการสื่อสัมพันธ์ร่วมกับพระบิดาของพระองค์โดยไม่ถูกรบกวน ในฐานะบุคคลหนึ่งที่อยู่ร่วมกับพวกเราและมีส่วนร่วมในความต้องการและความอ่อนแอของพวกเรา พระองค์ทรงพึ่งพระเจ้าอย่างเต็มที่ และในที่ลี้ลับแห่งการอธิษฐานพระองค์ทรงแสวงหาพระกำลังของพระเจ้าเพื่อพระองค์จะทรงพร้อมเมื่อเสด็จออกไปรับหน้าที่และการทดลอง ในโลกแห่งความบาป พระเยซูทรงสู้ทนต่อการดิ้นรนและการทรมานทางจิตวิญญาณ ในการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้า พระองค์ทรงปลดเปลื้องความเศร้าโศกที่โหมกระหน่ำใส่พระองค์ ณ จุดนี้ พระองค์ทรงพบกับการปลอบประโลมใจและความปีติยินดี {DA 362.4}
โดยทางพระคริสต์ เสียงร้องของมนุษยชาติไปถึงพระบิดาพระผู้ทรงเปี่ยมด้วยความสงสารที่ไม่มีวันสิ้นสุด ในฐานะมนุษย์ พระองค์ทรงวิงวอนที่พระบัลลังก์ของพระเจ้าจนกระทั่งความเป็นมนุษย์ของพระองค์บรรจุด้วยกระแสของสวรรค์อย่างเต็มที่ที่จะเชื่อมต่อความเป็นมนุษย์เข้ากับความเป็นพระเจ้า โดยการสื่อสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง พระองค์จึงได้รับชีวิตจากพระเจ้าเพื่อพระองค์จะส่งชีวิตต่อให้กับชาวโลก ประสบการณ์ของพระองค์จะต้องเป็นของพวกเราด้วยเช่นกัน {DA 363.1}
พระองค์ทรงบัญชาพวกเราว่า "จงปลีกตัวออกมา" หากเรายอมเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ เราก็จะเข้มแข็งและมีประโยชน์เพิ่มมากยิ่งขึ้น พวกสาวกตามหาพระเยซูและทูลเรื่องทั้งหมดให้กับพระองค์ และพระองค์ทรงหนุนใจและทรงสั่งสอนพวกเขา หากวันนี้เราจะใช้เวลาเฝ้าพระเยซูและทูลความต้องการของเราต่อพระองค์แล้ว เราก็จะไม่ประสบกับความผิดหวัง พระองค์จะสถิตอยู่ข้างมือขวาของเราเพื่อช่วยเรา เราต้องการความเรียบง่ายมากขึ้น ต้องการความไว้วางใจและความเชื่อมั่นในพระผู้ช่วยให้รอดของเรามากยิ่งขึ้น พระองค์ผู้ทรงมีพระนามว่า "พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช” พระองค์ผู้ที่ได้รับการบันทึกไว้ว่า "การปกครองจะอยู่บนบ่าของท่าน" ทรงเป็นที่ปรึกษามหัศจรรย์ เราได้รับเชิญให้ขอสติปัญญาจากพระองค์ พระองค์จะ "ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ" อิสยาห์ 9 ข้อที่ 6; ยากอบ 1 ข้อที่ 5 {DA 363.2}
ในทุกคนที่อยู่ภายใต้การฝึกอบรมของพระเจ้าจะเปิดเผยให้เห็นว่าชีวิตของเขาจะไม่ลงรอยกับทางฝ่ายโลก กับประเพณีหรือการปฏิบัติต่างๆ ของทางโลก และทุกคนต้องมีประสบการณ์เป็นการส่วนตัวในการได้มาซึ่งความรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า เราต้องสดับฟังเสียงของพระองค์ที่ตรัสกับหัวใจของเราเป็นการส่วนตัว เมื่อทุกเสียงเงียบลงและเรารอคอยพระองค์ในความสงบเงียบนั้น การนิ่งเงียบของจิตวิญญาณจะทำให้พระสุรเสียงของพระเจ้าชัดเจนยิ่งขึ้น พระองค์ทรงกำชับพวกเราว่า "จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่า เราคือพระเจ้า" สดุดี 46 ข้อที่ 10 ณ ที่นี่เพียงที่เดียวเท่านั้นที่เราจะพบการหยุดพักที่แท้จริง และนี่คือการเตรียมตัวที่มีประสิทธิผลสำหรับทุกคนที่ทำงานเพื่อพระเจ้า ท่ามกลางฝูงชนที่เร่งรีบวิ่งไปมาและความตึงเครียดของกิจกรรมอันหนักหน่วงของชีวิต จิตวิญญาณที่ได้รับความสดชื่นด้วยประการฉะนี้จะถูกล้อมด้วยบรรยากาศแห่งแสงสว่างและความสงบสุข ชีวิตจะส่งกลิ่นหอมออกมาและจะเผยให้เห็นอำนาจของพระเจ้าที่จะเข้าถึงหัวใจของมนุษย์ {DA 363.3}
**********