บทที่ 11

บัพติศมา

อ้างอิงจาก มัทธิว 3 ข้อที่ 13-17; มาระโก 1 ข้อที่ 9-11; ลูกา 3 ข้อที่ 31-32


       ข่าวเรื่องผู้เผยพระวจนะในถิ่นทุรกันดารและการประกาศข่าวประเสริฐของเขาแพร่ไปอย่างกว้างขวางทั่วแคว้นกาลิลี  ข่าวนี้ไปถึงชาวนาที่อยู่ในตำบลแถบภูเขาห่างไกลที่สุด และไปถึงชาวประมงริมทะเลสาบและได้รับการตอบสนองอย่างเอาจริงเอาจังที่สุดในหัวใจที่บริสุทธิ์จริงใจ  มีการกล่าวถึงเรื่องนี้ที่ร้านช่างไม้ของโยเซฟที่เมืองนาซาเร็ธและพระเจ้าพระองค์นั้นทรงรับรู้ถึงการทรงเรียกนี้ เวลาของพระองค์ได้มาถึงแล้ว พระองค์ทรงหันหลังให้กับงานตรากตรำประจำวันและทรงลามารดาและเสด็จตามเพื่อนร่วมชาติมุ่งหน้าไปยังลุ่มแม่น้ำจอร์แดน  {DA 109.1}        

       พระเยซูและยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นลูกพี่ลูกน้องและมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดอันเนื่องจากเหตุการณ์ของการเกิดของพวกเขา  ถึงกระนั้นพวกเขาต่างไม่เคยพบกันโดยตรง  พระเยซูทรงใช้ชีวิตที่เมืองนาซาเร็ธในแคว้นกาลิลี ส่วนยอห์นอยู่ในถิ่นทุรกันดารของแคว้นยูเดีย  ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่แตกต่างอย่างมากเช่นนี้ ทั้งสองดำรงชีวิตอยู่อย่างสันโดษและไม่ได้ติดต่อกันเลย  พระเจ้าทรงเป็นผู้จัดวางแผนไว้เช่นนี้  ไม่ทรงเปิดโอกาสใดเพื่อให้เป็นที่กล่าวหาว่าทั้งสองร่วมกันวางแผนสนับสนุนข้ออ้างของกันและกัน  {DA 109.2}             

       ยอห์นคุ้นเคยกับเหตุการณ์การประสูติของพระเยซู  เขาเคยได้ยินว่าในสมัยเยาว์วัยพระเยซูเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และยังได้ยินถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนของพวกธรรมาจารย์  เขาทราบว่าชีวิตของพระองค์ปราศจากบาป และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ แต่เรื่องทั้งหมดนี้เขาไม่ได้รับหลักฐานสนับสนุนยืนยันอันใด  ความจริงแล้วที่พระเยซูทรงอยู่อย่างไม่เป็นที่รู้จักมาเป็นเวลาหลายปี  โดยไม่ทรงสำแดงหลักฐานพิเศษอื่นใดถึงพันธกิจของพระองค์  จึงเป็นการเปิดโอกาสให้สงสัยว่าพระองค์ทรงเป็นพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงสัญญานั้นหรือไม่  ถึงกระนั้นผู้ให้บัพติศมารอคอยด้วยความเชื่อ  เขาเชื่อว่าในเวลาของพระเจ้าทุกสิ่งจะประจักษ์แจ้ง  ยอห์นได้รับการเปิดเผยว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาขอรับบัพติศมาจากมือของเขาและจะได้เห็นหลักฐานแห่งพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า  ด้วยประการฉะนี้เขาจึงจะนำเสนอพระองค์แก่ประชาชนทั้งหลายได้  {DA 109.3}            

       เมื่อพระเยซูเสด็จมาเพื่อขอรับบัพติศมา ยอห์นมองเห็นพระลักษณะนิสัยอันบริสุทธิ์ในพระองค์ที่เขาไม่เคยเห็นในมนุษย์คนใดมาก่อน  บรรยากาศรอบตัวของพระเยซูนั้นบริสุทธิ์และน่าเกรงขามยิ่งนัก  ยอห์นได้ยินเรื่องบอกเล่าถึงอาชญากรรมมืดน่ากลัวจากท่ามกลางฝูงชนที่เข้ามาหายอห์น ณ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน และเคยเห็นจิตวิญญาณที่ต้องแบกรับภาระบาปหนานับไม่ถ้วนอยู่เสมอแต่เขาไม่เคยสัมผัสมนุษย์คนใดที่แผ่บรรยากาศอิทธิพลของพระเจ้า  เหตุการณ์ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับสิ่งที่ทรงเปิดเผยให้แก่ยอห์นในเรื่องของพระเมสสิยาห์  แต่ถึงกระนั้นเขาปฏิเสธที่จะปฎิบัติตามคำขอของพระเยซู  เขาในฐานะคนบาปจะให้บัพติศมาพระผู้ปราศจาคบาปได้อย่างไร?  และพระองค์ผู้ไม่ต้องกลับใจยอมเข้าพิธีสารภาพความผิดเพื่อชำระล้างบาปได้อย่างไร?  {DA 110.1}         

       เมื่อพระเยซูทรงขอรับบัพติศมา ยอห์นถอยหลังและอุทานขึ้นว่า “ข้าพระองค์ต้องการจะรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์?”  พระเยซูตรัสตอบด้วยอำนาจหนักแน่นแต่นุ่มนวลว่า “บัดนี้ จงยอมเถิด เพราะสมควรที่พวกเราจะทำความชอบธรรมให้ครบถ้วนทุกประการ”  และยอห์นก็ยินยอมจึงนำพระผู้ช่วยให้รอดลงแม่น้ำจอร์แดนและฝังพระเยซูไว้ใต้น้ำ  ครั้นเมื่อ “เสด็จขึ้นจากน้ำ” พระเยซู “ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาดุจนกพิราบสถิตบนพระองค์”  {DA 111.1}      

       พระเยซูทรงรับบัพติศมาไม่ใช่เพื่อสารภาพความผิดบาปในส่วนของพระองค์  พระองค์ทรงจัดนับตัวพระองค์เองเข้าร่วมกับคนบาป ดำเนินบนหนทางที่เราต้องเดินและทรงกระทำในสิ่งที่เราต้องทำ  ชีวิตของการทนทุกข์และอดทนอดกลั้นของพระองค์ภายหลังการรับบัพติศมาก็เป็นแบบอย่างสำหรับพวกเราด้วยเช่นกัน  {DA 111.2}        

       เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นจากน้ำ พระองค์ทรงก้มลงอธิษฐานที่ริมฝั่งแม่น้ำ  ยุคใหม่ที่สำคัญกำลังเปิดฉากขึ้นต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์  ด้วยภาพที่กว้างใหญ่ขึ้น บัดนี้พระองค์กำลังก้าวเข้าสู่การขัดแย้งแห่งชีวิตของพระองค์  แม้พระองค์ทรงเป็นเจ้าชายแห่งสันติภาพ แต่การเสด็จมาของพระองค์นี้จะต้องเป็นเหมือนการชักดาบออกจากฝัก  อาณาจักรที่พระองค์เสด็จมาจัดตั้งตรงกันข้ามกับอาณาจักรที่ชาวยิวปรารถนา  พระองค์ผู้ทรงเป็นรากฐานของพิธีกรรมและเศษฐกิจของชนชาติอิสราเอลจะทรงถูกจัดว่าเป็นศัตรูและผู้ทำลาย  พระองค์ผู้ทรงประกาศพระบัญญัติบนภูเขาซีนายทรงถูกประณามว่าเป็นผู้ล่วงละเมิด  พระองค์ผู้เสด็จมาเพื่อทำลายอำนาจของซาตานจะทรงถูกประณามว่าเป็นเบเอลเซบูลนายผี  ไม่มีผู้ใดในโลกเข้าใจพระองค์และพระองค์ยังทรงต้องดำเนินเพียงลำพังในระหว่างพระราชกิจแห่งการรับใช้ของพระองค์  ตลอดชีวิตของพระองค์ มารดาและพี่น้องทั้งหลายไม่เข้าใจพระราชกิจของพระองค์  แม้กระทั่งสาวกของพระองค์ก็ไม่เข้าใจพระองค์  พระองค์ประทับอยู่ในแสงสว่างอันนิรันดร์ ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า แต่พระองค์จะต้องใช้ชีวิตในโลกนี้อย่างโดดเดี่ยว  {DA 111.3}       

       ในฐานะที่ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับเรา พระองค์ทรงต้องแบกรับภาระความผิดและความทุกข์ของพวกเรา  พระผู้ทรงปราศจากบาปจำเป็นต้องสัมผัสความอับอายของบาป  ผู้รักสันติจะต้องอยู่ร่วมกับความขัดแย้ง ความจริงต้องอยู่ร่วมกับความเท็จ ความบริสุทธิ์กับความชั่ว  ทุกบาป ทุกความขัดแย้ง ทุกตัณหาด่างพร้อยจากการล่วงละเมิดทรมานวิญญาณจิตของพระองค์  {DA 111.4}              

       พระองค์ทรงต้องดำเนินไปตามทางโดยลำพัง ทรงต้องแบกภาระเพียงลำพัง การไถ่โลกให้รอดตั้งอยู่บนพระองค์ผู้ทรงละพระสิริและยอมรับความอ่อนแอของมนุษยชาติ  พระองค์ทรงเข้าพระทัยและตระหนักถึงสิ่งทั้งปวง แต่กระนั้นพระประสงค์ของพระองค์ก็ยังคงตั้งมั่นแน่วแน่ การช่วยมนุษย์ที่ล้มลงในบาปต้องพึ่งอ้อมพระกรของพระองค์ และพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์คว้าพระหัตถ์แห่งความรักของพระเจ้าพระผู้ทรงฤทธานุภาพไม่สิ้นสุด  {DA 111.5}

       ดูประหนึ่งว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงมองทะลุเข้าไปถึงสวรรค์ในขณะที่พระองค์ทรงเปิดจิตวิญญาณในการอธิษฐาน  พระองค์ทรงทราบดีว่าบาปทำให้หัวใจมนุษย์แข็งกระด้างเพียงใด  และเป็นการยากเพียงใดสำหรับพวกเขาที่จะเข้าใจถึงพันธกิจของพระองค์และรับของประทานแห่งความรอด  พระองค์ทูลอ้อนวอนต่อพระบิดาขออำนาจเพื่อเอาชนะความไม่เชื่อของพวกเขา เพื่อหักโซ่ตรวนที่ซาตานผูกมัดพวกเขาให้ขาดและเอาชนะผู้ทำลายแทนพวกเขา พระองค์ทรงขอหลักฐานเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรับมนุษยชาติทางพระบุตรของพระองค์  {DA 111.6}      

       ทูตสวรรค์ไม่เคยฟังคำอธิษฐานเช่นนี้มาก่อน  พวกเขาร้อนรนที่จะนำข่าวแห่งความมั่นใจและคำปลอบประโลมใจไปยังพระผู้บัญชาการที่พวกเขารัก  แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่  เพราะพระบิดาเองจะทรงเป็นผู้ตอบคำทูลขอของพระบุตรของพระองค์  ลำแสงแห่งพระสิริของพระองค์ส่งตรงจากพระที่นั่ง  ท้องฟ้าเปิดออกและแสงอันบริสุทธิ์ที่สุดมีรูปทรงสันฐานคล้ายนกพิราบลงมาประทับบนพระเศียรของพระผู้ช่วยให้รอด เป็นสัญลักษณ์แห่งความอ่อนสุภาพและความถ่อมตนที่เหมาะกับพระองค์  {DA 112.1}               

       ในท่ามกลางฝูงชนจำนวนมหาศาลที่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน นอกจากยอห์นแล้วมีเพียงไม่กี่คนที่ได้เห็นนิมิตจากสวรรค์  ถึงกระนั้นความศักดิ์สิทธิ์ของการประทับอยู่ของพระเจ้าก็อยู่ในที่ชุมนุมชนแห่งนี้  คนทั้งหลายยืนมองพระคริสต์ด้วยความนิ่งสงบ  แสงสว่างซึ่งเป็นแสงที่ล้อมอยู่รอบพระบัลลังก์ของพระเจ้าอยู่เป็นนิจปกคลุมพระวรกายของพระองค์  พระพักตร์ของพระองค์ที่เงยขึ้นทรงรับเกียรติสิริที่พวกเขาไม่เคยเห็นในใบหน้าของมนุษย์คนใดมาก่อน  มีเสียงหนึ่งดังมาจากสวรรค์ที่เปิดออกว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” {DA 112.2}

       พระดำรัสแห่งการยอมรับนี้ประทานให้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจแห่งความเชื่อแก่คนทั้งหลายที่ร่วมเป็นประจักษ์พยานอยู่ในเหตุการณ์นี้ และทรงเสริมพละกำลังให้แก่พระผู้ช่วยให้รอดในพันธกิจของพระองค์  แม้ว่าความบาปผิดของโลกจะตกอยู่บนพระคริสต์ แม้ว่าพระองค์จะรับความอัปยศอดสูจากการรับธรรมชาติที่ล้มลงในบาปของเราลงบนพระองค์เองก็ตามที พระสุรเสียงจากสวรรค์ก็ยังประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าพระผู้ทรงพระชนม์นิรันดร์  {DA 112.3}            

       ยอห์นทราบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งเมื่ิอเห็นพระเยซูทรงคุกเข่าอ้อนวอนขอด้วยน้ำพระเนตรไหลรินเพื่อทูลขอการทรงเห็นชอบของพระบิดา  ในขณะที่ยอห์นมองเห็นรัศมีภาพของพระบิดาที่ล้อมรอบพระองค์และได้ยินพระสุรเสียงจากสวรรค์ ยอห์นเห็นถึงหลักฐานของพระสัญญาที่พระเจ้าทรงโปรดประทาน  เขามั่นใจว่าผู้ที่เขารับบัพติศมาให้นั้นคือพระผู้ช่วยของโลก  พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับอยู่บนเขาและด้วยมือที่ยื่นออกชี้ตรงไปทางพระเยซูเขาร้องขึ้นมาว่า “จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป” ยอห์น 1 ข้อที่ 29  {DA 112.4}          

ไม่มีผู้ใดในกลุ่มคนที่ได้ยินและแม้กระทั่งผู้พูดเองตระหนักถึงความสำคัญของคำว่า “พระเมษโปดกของพระเจ้า”  บนภูเขาโมริยาห์อับราฮัมได้ยินคำถามของลูกชายว่า “พ่อ. . . .ลูกแกะสำหรับเครื่องบูชาอยู่ที่ไหน?” คุณพ่อตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา”  ปฐมกาล 22 ข้อที่ 7, 8  อับราฮัมมองเห็นสัญลักษณ์ของพระองค์ผู้ที่จะเสด็จมาวายชนม์เพื่อบาปของมนุษย์ในแกะตัวผู้ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้เพื่อแทนอิสอัค  พระวิญญาณบริสุทธิ์พยากรณ์ถึงพระผู้ช่วยให้รอดผ่านอิสยาห์โดยใช้ภาพประกอบนี้ว่า “เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า” “และพระยาห์เวห์ทรงวางความผิดบาปของเราทุกคนลงบนตัวท่าน”  อิสยาห์ 53 ข้อที่ 7, 6  แต่ชนชาติอิสราเอลไม่เข้าใจบทเรียนบทนี้  พวกเขาหลายคนถือว่าเครื่องเผาบูชาที่เป็นเหมือนเช่นการเผาบูชาของพวกนอกศาสนากล่าวคือเป็นของถวายเพื่อทำให้เทพเจ้าพึงพอใจ  พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะสอนพวกเขาให้เข้าใจว่าความรักของพระองค์เองเป็นแหล่งของประทานที่ให้พวกเขาคืนดีกับพระเจ้า  {DA 112.5}

       และพระดำรัสที่ตรัสกับพระเยซู ณ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” เป็นพระดำรัสที่ครอบคลุมถึงมนุษยชาติทั้งปวง พระเจ้าตรัสกับพระเยซูในฐานะพระผู้แทนของเรา แม้ว่าเราจะมีบาปหนาและความอ่อนแอมากมาย เราจะไม่ถูกทอดทิ้งไปอย่างไร้ค่า “พระองค์ทรงบันดาลให้เราเป็นที่ชอบพระทัยในผู้ทรงเป็นที่รักของพระองค์”  เอเฟซัส 1 ข้อที่ 6 TKJV พระสิริที่ประทับอยู่เหนือพระคริสต์เป็นคำปฏิญาณแห่งรักของพระเจ้าที่ประทานมาให้เรา  บ่งบอกให้เราทราบถึงอำนาจของการอธิษฐาน คือการที่เสียงของมนุษย์จะไปถึงพระกรรณของพระเจ้า และคำทูลขอของเราได้รับการตอบรับที่พระบัลลังก์แห่งสวรรค์  โลกถูกตัดขาดจากสวรรค์และห่างไกลจากการมีส่วนร่วมเพราะบาป แต่ด้วยบรรยากาศแห่งพระสิริพระเยซูทรงเชื่อมโลกและสวรรค์เข้าด้วยกันอีกครั้ง  ความรักของพระองค์โอบล้อมมนุษย์และขึ้นไปจนถึงที่สูงสุดของสวรรค์  แสงจากประตูที่เปิดอยู่ส่องลงมายังพระเศียรของพระผู้ช่วยให้รอดจะส่องลงมาถึงเราในขณะที่เราอธิษฐานทูลขอการทรงช่วยเพื่อต่อต้านการทดลอง  พระสุรเสียงที่ตรัสกับพระเยซูจะตรัสกับจิตวิญญาณทุกดวงว่า นี่คือบุตรที่รักของเรา เราชอบใจเจ้ามาก  {DA 113.1}            

ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า และเราจะเป็นอย่างไรต่อไปข้างหน้านั้นเรายังไม่รู้ แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”  1 ยอห์น 3 ข้อที่ 2  พระผู้ไถ่ของเราทรงเปิดทางเพื่อให้คนบาปหนาที่สุด คนที่มีความต้องการมากที่สุด คนที่ถูกข่มเหงมากที่สุด และถูกหมิ่นประมาทมากที่สุดได้พบทางไปยังพระบิดา ทุกคนมีบ้านในปราสาทที่พระเยซูทรงไปจัดเตรียมอยู่ “พระองค์ผู้บริสุทธิ์ ผู้ทรงสัตย์จริง ผู้ทรงมีลูกกุญแจของดาวิด ผู้ทรงเปิดแล้วจะไม่มีใครปิดได้ ผู้ทรงปิดแล้วจะไม่มีใครเปิดได้. . . .นี่แน่ะ เราจัดวางประตูที่เปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครสามารถปิดได้”  วิวรณ์ 3 ข้อที่ 7, 8  {DA 113.2}

***********