บทที่ 81
“พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว”
บทนี้อ้างอิงจากมัทธิว 28 ข้อที่ 2-4; 11-15
ค่ำคืนวันที่หนึ่งของสัปดาห์ผ่านไปอย่างช้าๆ เวลามืดที่สุดก่อนฟ้าสางมาถึงแล้ว พระคริสต์ยังคงเป็นนักโทษในอุโมงค์คับแคบของพระองค์ ก้อนหินขนาดใหญ่ยังอยู่กับที่ ตราประทับของรัฐบาลโรมันยังไม่ถูกทำลาย ทหารชาวโรมันยังคงเฝ้ายามอยู่ และมียามรักษาการณ์ที่ตาเปล่ามองไม่เห็นอยู่ที่นั่นด้วย เหล่าบริวารทูตชั่วล้อมอยู่รอบสถานที่แห่งนั้น เจ้าชายแห่งความมืดพร้อมด้วยกองทัพของมันที่ละทิ้งความเชื่ออยากจะปิดผนึกอุโมงค์ฝังศพที่ประทับของพระบุตรพระเจ้าไปตลอดกาลถ้าทำได้ แต่มีชาวสวรรค์หมู่หนึ่งอยู่ล้อมรอบอุโมงค์ฝังศพ ทูตสวรรค์หลายองค์ที่มีกำลังยิ่งใหญ่คอยปกป้องอุโมงค์ฝังศพ และรอต้อนรับองค์เจ้าชายแห่งชีวิต {DA 779.1}
"ทันใดนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เพราะมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า ลงมาจากสวรรค์" ทูตสวรรค์องค์นี้ออกจากพระบัลลังก์แห่งสรวงสวรรค์ ลำแสงอันเจิดจ้าแห่งพระสิริของพระเจ้าพุ่งนำหน้าเขาและส่องสว่างทางเดินของเขา "รูปลักษณ์ของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อขาวเหมือนหิมะ พวกยามที่เฝ้าอยู่ก็กลัวทูตสวรรค์องค์นั้นจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย" {DA 779.2}
ในเวลานี้ พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองทั้งหลายเอ๋ย อำนาจของทหารยามของเจ้าอยู่ที่ไหน? ทหารกล้าทั้งหลายที่ไม่เคยเกรงกลัวอำนาจของมนุษย์กลับกลายเป็นดั่งเชลยที่ถูกจับโดยไม่ต้องใช้ดาบหรือหอก ใบหน้าที่พวกเขาจ้องอยู่นั้นไม่ใช่ใบหน้าของนักรบมตะ แต่เป็นใบหน้าของบริวารผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดขององค์พระเป็นเจ้า ผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์องค์นี้คือทูตสวรรค์ที่มาดำรงตำแหน่งแทนซาตานซึ่งล้มลงในบาป เขาคือทูตสวรรค์องค์นั้นที่ไปประกาศการประสูติของพระคริสต์ที่เนินเขาเบธเลเฮม โลกสั่นสะท้านเมื่อทูตตนนั้นเข้ามาใกล้ บริวารกองทัพแห่งความมืดวิ่งหนีไป และเมื่อเขากลิ้งก้อนหินออกไปนั้น สวรรค์ดูราวกับกำลังลงมายังโลก พวกทหารเห็นเขาเอาหินก้อนนั้นออกไปเหมือนหยิบก้อนกรวดและได้ยินเสียงของเขาร้องดังขึ้นมาว่า พระบุตรของพระเจ้าเชิญเสด็จออกมาเถิด พระบิดาของพระองค์ทรงเรียกพระองค์ พวกเขาเห็นพระเยซูเสด็จออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และได้ยินพระองค์ประกาศเหนืออุโมงค์ฝังศพว่า "เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย" เมื่อพระองค์เสด็จออกมาด้วยความสง่างามและพระสิริ บริวารชาวสวรรค์ก็ก้มกราบลงด้วยความเคารพต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้ไถ่ และต้อนรับพระองค์ด้วยบทเพลงสรรเสริญ {DA 779.3}
แผ่นดินไหวเป็นเครื่องหมายชี้บอกช่วงเวลาที่พระคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพ และแผ่นดินโลกก็หวั่นไหวอีกครั้งเป็นประจักษ์พยานถึงช่วงเวลาที่พระองค์ทรงรับชีวิตกลับคืนมาด้วยชัยชนะ พระองค์ผู้ทรงชนะความตายและหลุมฝังศพได้เสด็จออกมาจากอุโมงค์ฝังศพด้วยย่างก้าวของผู้พิชิตท่ามกลางความโซเซของโลกและสายฟ้าแลบและเสียงฟ้าร้องคำราม เมื่อพระองค์จะเสด็จมายังโลกอีกครั้ง พระองค์จะไม่เพียงแต่ "ทำให้แผ่นดินไหว [เท่านั้น แต่สะเทือน]. . . .ทั้งฟ้าสวรรค์ด้วย” "โลกก็โซเซไปเหมือนคนเมา มันแกว่งไปมาเหมือนเพิง" "ท้องฟ้าก็จะถูกม้วนเหมือนหนังสือม้วน" "โลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่บนนั้นจะถูกเผาจนหมดสิ้น" แต่ "พระยาห์เวห์ทรงเป็นที่ลี้ภัยแก่ประชากรของพระองค์ เป็นที่กำบังแข็งแกร่งแก่คนอิสราเอล" ฮีบรู 12 ข้อที่ 26; อิสยาห์ 24 ข้อที่ 20; 34 ข้อที่ 4; 2 เปโตร 3 ข้อที่ 10; โยเอล 3 ข้อที่ 16 {DA 780.1}
เมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ ทหารเห็นโลกถูกห่อหุ้มด้วยความมืดมิดในเวลาเที่ยงวัน แต่เมื่อพระองค์ทรงคืนพระชนม์ พวกเขามองเห็นความสว่างของทูตสวรรค์ที่ทำให้กลางคืนสว่างไสว และได้ยินชาวสวรรค์ร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดีและชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ว่า พระองค์ท่านทรงปราบซาตานและอำนาจความมืด พระองค์ท่านทรงกลืนความตายอย่างมีชัย! {DA 780.2}
พระคริสต์เสด็จออกมาจากอุโมงค์ฝังศพด้วยพระเกียรติสิริ และทหารชาวโรมันได้เห็นพระองค์ ดวงตาของพวกเขาตราตรึงจ้องไปที่พระพักตร์ของพระองค์ที่พวกเขาเยาะเย้ยและดูถูกเหยียดหยามเมื่อไม่นานมานี้เอง ในผู้ทรงรับพระเกียรติสิรินี้ พวกเขามองเห็นนักโทษที่พวกเขาเห็นในห้องโถงพิพากษาซึ่งเป็นผู้ที่พวกเขาสวมมงกุฎหนามให้ พระองค์ท่านนี้แหละที่ยืนอย่างไม่ต่อต้านอยู่ต่อหน้าปีลาตและเฮโรด พระวรกายที่ฉีดขาดจากการโบยตีอย่างทารุณ นี่คือพระองค์ที่ถูกตรึงอยู่บนกางเขน เป็นผู้ที่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองในสภาพที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ ได้สั่นศีรษะและพูดว่า "เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้" มัทธิว 27 ข้อที่ 42 พระองค์นี้เองเป็นผู้ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ฝังศพใหม่ของโยเซฟ พระบัญชาสั่งของสวรรค์ปล่อยเชลยออกมาแล้ว ภูเขาต่างๆ ที่กองทับกันอยู่บนอุโมงค์ฝังศพไม่อาจขวางกั้นการเสด็จออกมาของพระองค์ได้ {DA 780.3}
เมื่อทหารยามชาวโรมันเห็นพวกทูตสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงรับพระเกียรติแล้ว พวกเขาก็เป็นลมหมดสติและมีสภาพเหมือนคนตาย เมื่อขบวนชาวสวรรค์ถูกซ่อนไปจากสายตาของพวกเขาแล้ว พวกเขาจึงลุกขึ้นและวิ่งเร็วที่สุดเท่าที่ขาสั่นๆ จะวิ่งไปได้ มุ่งหน้าไปยังประตูสวน พวกเขาเดินไปอย่างโซซัดโซเซเหมือนคนเมา เร่งมุ่งหน้าไปในเมืองและบอกข่าวดีอันประเสริฐแก่ทุกคนที่พวกเขาพบ พวกเขากำลังไปหาปีลาต แต่รายงานของพวกเขาไปถึงผู้มีอำนาจของชาวยิว และหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ปกครองได้สั่งให้พวกเขาเข้าพบก่อน พวกทหารเหล่านี้ปรากฏตัวต่อหน้าหัวหน้าปุโรหิต พวกผู้ปกครองด้วยสภาพที่ประหลาดสั่นไปทั้งตัวด้วยความกลัว หน้าตาซีดขาว คำให้การของพวกเขาบ่งบอกว่าพระคริสต์ทรงคืนพระชนม์แล้ว พวกทหารเล่าตามที่เห็นทั้งหมด พวกเขายังไม่มีเวลาคิดหรือพูดอะไรนอกจากความจริง ด้วยถ้อยคำที่เจ็บปวดพวกเขาพูดว่า ผู้ที่ทรงถูกตรึงบนกางเขนคือพระบุตรของพระเจ้า เราได้ยินทูตสวรรค์องค์หนึ่งประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสวรรค์ ทรงเป็นพระราชาแห่งพระสิริ {DA 781.1}
พวกปุโรหิตมีใบหน้าเหมือนคนตาย คายาฟาสพยายามพูด ริมฝีปากของเขาขยับ แต่ไม่มีเสียงออกมา เมื่อทหารก้าวออกจากห้องประชุมสภา มีเสียงหนึ่งเรียกให้พวกเขาหยุด ในที่สุดคายาฟาสก็อ้าปากพูดได้ หยุดก่อน หยุดก่อน เขาพูดขึ้นมาว่า อย่าบอกเรื่องทั้งหมดที่เจ้าเห็นให้ใครฟัง {DA 781.2}
แล้วพวกทหารก็ได้รับคำสั่งให้นำเสนอรายงานเท็จ "พวกเจ้าต้องพูดว่า" พวกปุโรหิตกำชับ "พวกสาวกของเขามาลักขโมยเอาศพไปตอนกลางคืน ในขณะที่เรากำลังนอนหลับอยู่" ในเรื่องนี้พวกปุโรหิตทำเกินหน้าที่ของตัวเอง พวกทหารพูดได้อย่างไงว่าสาวกขโมยศพตอนที่พวกเขาหลับอยู่? หากพวกเขาหลับ พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร? และหากสาวกถูกจับและสอบสวนว่าทำผิดในเรื่องการขโมยพระศพแล้ว พวกปุโรหิตจะไม่เป็นคนแรกที่จะกำหนดโทษพวกเขาหรือ? หรือว่าหากทหารรักษาการณ์หลับในหน้าที่ตรงอุโมงค์ฝังศพ พวกปุโรหิตจะไม่เป็นคนกลุ่มแรกที่จะกล่าวหาพวกเขาต่อหน้าปีลาตหรือ? {DA 781.3}
พวกทหารรู้สึกหวั่นวิตกเมื่อนึกว่าตนเองจะถูกกล่าวหาด้วยเรื่องการหลับในหน้าที่ การกระทำนี้เป็นความผิดที่มีโทษถึงตาย ควรหรือที่พวกเขาจะเป็นพยานเท็จหลอกลวงประชาชนและทำให้ชีวิตของตนเองตกอยู่ในอันตราย? พวกเขาไม่ได้เฝ้ายามอดหลับอดนอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยอย่างนั้นหรือ? ถ้าพวกเขาให้การเท็จต่อตนเองเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะเผชิญหน้ากับการสอบสวนได้อย่างไรถึงแม้จะเพื่อได้สินบนก็ตาม? {DA 782.1}
เพื่อยุติคำให้การที่พวกเขาหวาดกลัว พวกปุโรหิตรับปากที่จะปกป้องทหารยามเหล่านั้น พวกเขาพูดว่าปีลาตก็ไม่ได้ต้องการที่จะให้ข่าวนี้กระจายออกไปเหมือนที่พวกเขาไม่ต้องการเช่นกัน ทหารชาวโรมันเอาความซื่อสัตย์แลกกับสินบนของพวกยิว พวกเขาเข้ามาหาพวกปุโรหิตพร้อมด้วยภาระข่าวแห่งความจริงอันน่าตื่นเต้นที่สุด แต่พวกเขาก้าวเดินออกไปพร้อมด้วยภาระเงินหนึ่งก้อน และพวกปุโรหิตได้ร่างคำรายงานเท็จใส่ปากของพวกเขา {DA 782.2}
ในขณะเดียวกัน รายงานเรื่องการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ได้ถูกนำส่งไปถึงปีลาตแล้ว ถึงแม้ปีลาตจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการอนุมัติพระคริสต์ให้ถูกประหาร แต่ท่านก็ค่อนข้างที่จะไม่ได้เอาใจใส่ในเรื่องนี้มากนัก ถึงแม้ว่าท่านได้ตัดสินประหารพระผู้ช่วยให้รอดอย่างไม่เต็มใจและด้วยความรู้สึกสงสาร แต่ท่านก็ไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดอย่างแท้จริงจนกระทั่งถึงตอนนี้ ด้วยความกลัวอย่างสุดขีดบัดนี้ท่านจึงปิดตัวเองอยู่ในบ้านตั้งใจว่าจะไม่พบหน้าผู้ใด แต่พวกปุโรหิตได้บุกเข้าไปอยู่ต่อหน้าท่าน เล่าเรื่องที่พวกเขารังสรรค์ขึ้นมาเอง และร้องขอให้ท่านมองข้ามการละเลยหน้าที่ของพวกทหารยาม ก่อนที่ปีลาตจะยอมรับคำขอ ท่านได้ไต่สวนทหารยามด้วยตนเอง พวกเขากลัวความปลอดภัยของตนเองจึงไม่กล้าปกปิดเรื่องใด และปีลาตก็ได้รับรายงานเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ปีลาตไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาใดเพิ่มเติมอีก แต่จากวันนั้นเป็นต้นมา ชีวิตของท่านก็ไม่มีสันติสุขอีกเลย {DA 782.3}
ขณะที่พระเยซูทรงถูกฝังอยู่ในอุโมงค์นั้น ซาตานได้รับชัยชนะ มันกล้าที่จะหวังว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะไม่ได้รับชีวิตของพระองค์กลับคืนมาอีกครั้ง มันอ้างว่าพระศพของพระองค์เป็นของมัน และจัดวางยามของมันรอบอุโมงค์ฝังศพเพื่อกักขังพระคริสต์ไว้ในฐานะเชลย มันโกรธอย่างขมขื่นที่บริวารของมันหนีเมื่อผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์เข้ามาใกล้ เมื่อมันเห็นพระคริสต์เสด็จออกมาด้วยชัยชนะ มันรู้ว่าอาณาจักรของมันมาถึงจุดจบแล้วและมันจะต้องตายในที่สุด {DA 782.4}
ในการนำพระคริสต์ไปประหารนั้น พวกปุโรหิตได้ทำให้ตัวเองกลายเป็นเครื่องมือของซาตาน บัดนี้พวกเขาตกอยู่ในอำนาจของมันอย่างเต็มตัวแล้ว พวกเขาติดอยู่ในบ่วงที่มองไม่เห็นหนทางหนีนอกจากการทำสงครามต่อสู้กับพระคริสต์ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อพวกเขาได้รับรายงานเรื่องการคืนพระชนม์ของพระองค์ พวกเขากลัวความโกรธแค้นของประชาชน พวกเขารู้ดีว่าชีวิตของตนเองตกอยู่ในภัยอันตราย ความหวังเดียวสำหรับพวกเขาคือการพิสูจน์ว่าพระคริสต์ทรงเป็นผู้หลอกลวง ซึ่งทำได้ด้วยการปฏิเสธเรื่องการคืนพระชนม์ของพระองค์ พวกเขาติดสินบนทหารและทำให้ปีลาตยืนยันว่าจะนิ่งเฉย พวกเขากระจายรายงานเท็จไปทั้งใกล้และไกล แต่มีกลุ่มพยานที่พวกเขาไม่อาจปิดปากให้เงียบได้ หลายคนฟังคำพยานเรื่องพระคริสต์ทรงคืนพระชนม์จากพวกทหารมาแล้ว และคนตายบางคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมพระคริสต์ได้ปรากฏตัวต่อหน้าคนมากมาย และประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว พวกปุโรหิตได้รับรายงานว่ามีหลายคนได้พบบรรดาคนที่เป็นขึ้นจากตายและได้ฟังคำพยานจากพวกเขา พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองอกสั่นขวัญหายอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าจะเผชิญหน้ากับพระคริสต์ขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนนหรืออยู่ในบ้านพักส่วนตัว พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย สลักกลอนและลูกกรงเป็นเครื่องป้องกันพระบุตรของพระเจ้าที่แย่มาก ภาพฉากอันน่ากลัวในห้องโถงพิพากษาขณะที่พวกเขาร้องว่า "ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา" นั้น อยู่ต่อหน้าพวกเขาทั้งกลางวันและกลางคืน มัทธิว 27 ข้อที่ 25 ความทรงจำถึงภาพเหตุการณ์จะไม่มีทางเลือนหายไปจากจิตใจของพวกเขา การนอนหลับอย่างสุขสบายไม่มีทางมาถึงหมอนของพวกเขาอีกต่อไป {DA 785.1}
เมื่อเสียงของทูตสวรรค์ยิ่งใหญ่ดังขึ้นที่อุโมงค์ฝังศพของพระคริสต์ว่าพระบิดาของพระองค์ทรงเรียกพระองค์แล้ว พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จออกมาจากอุโมงค์ฝังศพด้วยชีวิตที่มีอยู่ในพระองค์เอง นี่เป็นการพิสูจน์ความจริงของพระดำรัสของพระองค์ที่ว่า "เราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก. . . .เรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตนั้นและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก" คำพยากรณ์ที่พระองค์ตรัสกับบรรดาปุโรหิตและผู้ปกครองว่า "ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน" ได้สำเร็จเป็นจริงแล้ว ยอห์น 10 ข้อที่ 17, 18; 2 ข้อที่ 19 {DA 785.2}
เหนืออุโมงค์ฝังศพของโจเซฟที่เปิดออก พระคริสต์ทรงประกาศด้วยชัยชนะว่า "เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย" มีเพียงพระเจ้าเทพแห่งฟ้าสวรรค์องค์นี้เท่านั้นที่จะตรัสพระดำรัสนี้ได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ถูกสร้างล้วนดำรงชีวิตตามพระประสงค์และอำนาจของพระเจ้า พวกเขาต้องพึ่งพระเจ้าเพื่อรับชีวิตของพระองค์ ตั้งแต่เสราฟิมองค์สูงส่งที่สุดไปจนถึงสิ่งมีชีวิตที่ต่ำต้อยที่สุด ทั้งหมดได้รับการเติมเต็มใหม่จากพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต มีเพียงพระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเท่านั้นที่จะตรัสว่าเรามีสิทธิอำนาจที่จะสละชีวิตของเราและมีสิทธิอำนาจที่จะรับคืนมาอีก ในความเป็นพระเจ้าของพระองค์ พระคริสต์ทรงมีอำนาจที่จะทำลายพันธนาการแห่งความตาย {DA 785.3}
การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระคริสต์เป็นผลแรกของพวกที่ล่วงหลับไปแล้ว พระองค์ทรงเป็นต้นแบบองค์แท้จริงของการโบกถวายพืชผล และการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระองค์เกิดขึ้นตรงกับวันที่นำพืชผลขึ้นโบกต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า เป็นเวลากว่าพันปีที่มีการประกอบพิธีอันเป็นสัญลักษณ์นี้ เมล็ดข้าวที่สุกเป็นอันดับแรกสุดจะถูกเก็บเกี่ยวขึ้นมาจากทุ่งนา และเมื่อประชาชนขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อเข้าร่วมเทศกาลปัสกา พวกเขาได้นำฟ่อนข้าวรุ่นแรกนี้ขึ้นโบกเพื่อเป็นการถวายขอบคุณพระเจ้า ภายหลังจากที่ฟ่อนข้าวนี้ถูกโบกแล้วเท่านั้น จึงจะนำเคียวไปเก็บเกี่ยวฟ่อนข้าวได้ ฟ่อนข้าวที่ถวายพระเจ้าหมายถึงการเก็บเกี่ยว ดังนั้น พระคริสต์ผู้ทรงเป็นผลแรกจึงเป็นตัวแทนของการเก็บเกี่ยวอย่างยิ่งใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณที่จะถูกรวบรวมเข้าไปยังอาณาจักรของพระเจ้า การทรงคืนพระชนม์เป็นแบบจำลองและเป็นพันธสัญญาของการจะเป็นขึ้นมาอีกของคนชอบธรรมที่ล่วงหลับไปแล้ว “เพราะในเมื่อเราเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์และคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์” 1 เธสะโลนิกา 4 ข้อที่ 14 {DA 785.4}
เมื่อพระคริสต์ทรงเป็นขึ้น พระองค์ทรงนำเชลยจำนวนมากออกจากอุโมงค์ฝังศพ แผ่นดินไหวเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ได้เปิดอุโมงค์ฝังศพของพวกเขาและเมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นพวกเขาก็ออกมาพร้อมกับพระองค์ พวกเขาเป็นคนที่เคยร่วมทำงานกับพระเจ้า และเป็นผู้ที่เอาชีวิตของตนไปลงทุนเป็นพยานเพื่อความจริง บัดนี้พวกเขาจะเป็นพยานเพื่อพระองค์ผู้ทรงปลุกพวกเขาให้เป็นขึ้นจากตาย {DA 786.1}
ในช่วงที่พระองค์ทรงปฏิบัติพันธกิจ พระเยซูได้ทรงปลุกคนตายให้มีชีวิตกลับคืนมา พระองค์ทรงปลุกบุตรชายของหญิงม่ายแห่งเมืองนาอิน และบุตรสาวของเจ้าเมือง และลาซารัส แต่คนเหล่านี้ไม่ได้รับการสวมใส่ด้วยความเป็นอมตะ หลังจากที่พวกเขาได้รับการปลุกให้เป็นขึ้นมาแล้ว พวกเขายังต้องพบกับความตาย แต่คนเหล่านั้นที่เป็นขึ้นมาจากหลุมฝังศพในวันที่พระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมานั้น ได้เป็นขึ้นมาสู่ชีวิตนิรันดร์ พวกเขาขึ้นไปสวรรค์พร้อมกับพระองค์ เป็นรางวัลแห่งชัยชนะเหนือความตายและหลุมฝังศพ พระคริสต์ตรัสว่า คนเหล่านี้จะไม่เป็นเชลยของซาตานอีกต่อไป เราได้ไถ่พวกเขาแล้ว เราได้นำพวกเขาออกจากหลุมฝังศพในฐานะผลแรกจากอำนาจของเราเพื่อจะไม่ลิ้มรสความตายและไม่ประสบกับความทุกข์โศกอีกต่อไป {DA 786.2}
คนเหล่านี้เข้าไปในเมืองและปรากฏต่อหน้าคนจำนวนมากพร้อมทั้งประกาศว่าพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้วและเราเป็นขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ด้วย นี่จึงทำให้ความจริงศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายกลายเป็นเรื่องอมตะไปตลอดกาล ธรรมิกชนที่เป็นขึ้นจากความตายได้เป็นพยานถึงความจริงของพระวจนะที่ว่า "คนตายของพระองค์จะมีชีวิตอีก ศพของพวกเขาจะลุกขึ้น" การเป็นขึ้นจากความตายของพวกเขาทำให้คำพยากรณ์สำเร็จที่ว่า "โอ ผู้อาศัยในผงคลี จงตื่นขึ้น และโห่ร้องด้วยความชื่นบาน เพราะน้ำค้างของพระองค์เป็นน้ำค้างแห่งความสว่าง และแผ่นดินโลกจะให้คนตายเป็นขึ้น" อิสยาห์ 26 ข้อที่ 19 {DA 786.3}
สำหรับผู้เชื่อ พระคริสต์ทรงเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย ในพระผู้ช่วยให้รอดของเรานั้น ชีวิตที่สูญเสียไปเพราะบาปจะกลับคืนมาอีกครั้งเพราะพระองค์ทรงมีชีวิตในตัวพระองค์เองที่จะฟื้นฟูคนที่ทรงประสงค์ พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจที่จะประทานความเป็นอมตะ ชีวิตที่พระองค์ทรงสละในขณะเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงรับกลับคืนอีกและประทานให้แก่มนุษยชาติ "เรามา" พรองค์ตรัส "เพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์" "คนที่ดื่มน้ำที่เราจะให้กับเขานั้น จะไม่มีวันกระหายอีกเลย น้ำที่เราจะให้เขานั้นจะกลายเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์" "คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย" ยอห์น 10 ข้อที่ 10; 4 ข้อที่ 14; ยอห์น 6 ข้อที่ 54 {DA 786.4}
สำหรับผู้เชื่อแล้ว ความตายเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น พระคริสต์ตรัสถึงเรื่องนี้ราวกับว่าเป็นช่วงเวลาเพียงน้อยนิด "ถ้าใครประพฤติตามคำสอนของเรา คนนั้นจะไม่ประสบความตายเลย" "คนนั้นจะไม่ตายเลย" สำหรับคริสเตียนแล้ว ความตายเป็นเพียงการนอนหลับ เป็นแค่ช่วงเวลาแห่งความเงียบและความมืด ชีวิตถูกซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า และ "เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านทั้งหลายทรงปรากฏ ในเวลานั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในศักดิ์ศรีด้วย” ยอห์น 8 ข้อที่ 51, 52; โคโลสี 3 ข้อที่ 4 {DA 787.1}
พระสุรเสียงที่ร้องดังจากไม้กางเขนว่า "สำเร็จแล้ว" ได้ยินในหมู่คนตาย พระสุรเสียงนี้เจาะผนังของอุโมงค์ฝังศพ และบัญชาคนที่หลับอยู่ให้ลุกขึ้น สิ่งนี้ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน เมื่อพระสุรเสียงของพระคริสต์จะดังออกมาจากสวรรค์ พระสุรเสียงนั้นจะทะลุผ่านหลุมฝังศพและเปิดหลุมออก และคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมา ในวันที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงกลับคืนพระชนม์ มีหลุมฝังศพเพียงเล็กน้อยที่เปิดออก แต่ในวันที่พระองค์จะเสด็จมาครั้งที่สอง คนตายทั้งหมดที่พระองค์ทรงรักจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และจะออกมาเพื่อเข้าไปสู่ชีวิตอมตะแห่งพระสิริ อำนาจเดียวกันที่ปลุกพระคริสต์จากหลุมฝังศพจะปลุกคริสตจักรของพระองค์ด้วย และทำให้คริสตจักรมีเกียรติร่วมกับพระองค์ให้อยู่เหนือทุกภูตผีที่มีอำนาจ เหนือทุกภูตผีที่มีฤทธิ์เดช เหนือกว่านามทั้งหมดที่ถูกกล่าวถึง ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้นแต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย {DA 787.2}
**********