บทที่ 5

การถวายพระบุตร

บทนี้อ้างอิงจาก ลูกา 2 ข้อที่ 21-38


ประมาณสี่สิบวันหลังพระคริสต์ประสูติ โยเซฟและมารีย์พาพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อถวายพระเจ้า และถวายเครื่องเผาบูชา  เขาทั้งสองปฏิบัติตามกฎบัญญัติของชาวยิว และในฐานะของการเป็นตัวแทนของมนุษย์พระองค์ทรงต้องปฏิบัติตามกฎบัญญัติอย่างละเอียด  พระองค์ทรงเข้าสุหนัตแล้ว เพื่อปฏิญาณถึงการเชื่อฟังพระบัญญัติ  {DA 50.1}         

       สำหรับเครื่องถวายบูชาของผู้ที่เป็นแม่ พระบัญญัติกำหนดลูกแกะอายุหนึ่งขวบตัวหนึ่งเพื่อใช้เป็นเครื่องเผาบูชาและนกพิราบหนุ่มหรือนกเขาสำหรับเครื่องเผาบูชาไถ่บาป  แต่หากพ่อแม่เป็นคนยากจนไม่สามารถถวายลูกแกะแล้ว กฎบัญญัติอนุญาตให้ใช้นกเขาหนึ่งคู่หรือนกพิราบหนุ่มสองตัว ตัวหนึ่งสำหรับเครื่องเผาบูชา อีกตัวหนึ่งสำหรับเครื่องบูชาไถ่บาป  {DA 50.2}

       เครื่องบูชาเพื่อถวายพระเจ้าจะต้องไร้ตำหนิ  เครื่องบูชาเหล่านี้เป็นตัวแทนพระคริสต์และสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระเยซูเองทรงไม่มีความผิดปกติทางกาย  พระองค์ทรงเป็น “ลูกแกะที่ไร้ตำหนิและไร้จุดด่างพร้อย”  1 เปโตร 1 ข้อที่ 19  โครงสร้างทางกายของพระองค์ไม่มีด่างพร้อยของความบกพร่อง พระวรกายของพระองค์แข็งแรงและสมบูรณ์  และพระองค์ทรงดำรงชีวิตอย่างสอดคล้องกับกฎของธรรมชาติตลอดชีวิต  พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างทั้งทางกายและจิตวิญญาณ  พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในลักษณะที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้มวลมนุษยชาติเป็นโดยการเชื่อฟังปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์  {DA 50.3}        

       การถวายบุตรหัวปีมีต้นกำเนิดมาแต่ยุคแรกเริ่ม  พระเจ้าทรงสัญญาที่จะประทานพระเจ้าพระบุตรหัวปีแห่งสวรรค์เพื่อช่วยคนบาปให้รอด  ทุกครอบครัวจะต้องรับของประทานนี้ด้วยการอุทิศถวายบุตรหัวปี  เขาจะรับหน้าที่เป็นปุโรหิตในฐานะเป็นตัวแทนของพระคริสต์ท่ามกลางมนุษย์  {DA 51.1}  

       ในการช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์นั้น มีพระบัญชาเรื่องของการให้อุทิศถวายบุตรหัวปีอีกครั้ง  ในขณะที่ชนชาติอิสราเอลยังตกเป็นทาสของคนอียิปต์อยู่ พระยาห์เวห์ตรัสสั่งให้โมเสสไปหาฟาโรห์ กษัตริย์ของประเทศอียิปต์ และกล่าวว่า “เจ้าจงทูลฟาโรห์ว่า ‘พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า คนอิสราเอลเป็นบุตรชายของเรา บุตรหัวปีของเรา  เราบอกแก่เจ้าว่า ‘จงปล่อยบุตรของเราให้ไปนมัสการเรา’ ถ้าเจ้าไม่ยอม เราจะประหารบุตรหัวปีของเจ้าเสีย’”  อพยพ 4 ข้อที่ 22, 23  {DA 51.2}

       แต่เมื่อโมเสสนำข่าวของเขาไปแล้ว กษัตริย์ผู้หยิ่งผยงตรัสตอบกลับมาว่า “พระยาห์เวห์นั้นเป็นใครเล่า? เราจึงจะต้องฟังเสียงของพระองค์และปล่อยคนอิสราเอลไป  เราไม่รู้จักพระยาห์เวห์ และยิ่งกว่านั้น เราจะไม่ปล่อยคนอิสราเอลไปเป็นอันขาด”  อพยพ 5 ข้อที่ 2  พระเจ้าทรงประกอบกิจโดยการใช้หมายสำคัญและการอัศจรรย์ และทรงพิพากษาลงโทษอันน่ากลัวมายังกษัตริย์ฟาโรห์  จนในที่สุด ทูตมรณะออกทำลายลูกหัวปีของทั้งมนุษย์และสัตว์ในท่ามกลางชาวอียิปต์  เพื่อให้ชนชาติอิสราเอลรอดพ้นจากการทำลายนี้ พวกเขาจะต้องฆ่าแกะและทาเลือดแกะบนวงกบประตู  ทุกบ้านจะต้องทำเครื่องหมายไว้เพื่อว่าเมื่อทูตสวรรค์ผ่านมาตามพระบัญชาเพื่อนำความตายมา เขาจะผ่านบ้านของชนชาติอิสราเอลไป  {DA 51.3}             

       หลังการพิพากษาลงโทษคนอียิปต์แล้ว พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงถวายลูกหัวปีทั้งหมดแก่เรา . . . .ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ สิ่งนั้นเป็นของเรา” “เพราะลูกหัวปีทั้งหมดเป็นของเรา ในวันที่เราประหารลูกหัวปีทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์นั้น เราได้แยกลูกหัวปีทั้งหมดในอิสราเอล ทั้งของคนและสัตว์ไว้เป็นของเรา เหล่านี้เป็นของเรา เราคือยาห์เวห์”  อพยพ 13 ข้อที่ 2; กันดารวิถี 3 ข้อที่ 13  หลังจากการสถาปนาระเบียบต่างๆของพระวิหารแล้วเสร็จ พระเจ้าทรงเลือกเผ่าเลวีเป็นตัวแทนของลูกหัวปีของคนอิสราเอลทั้งชนชาติเพื่อปฏิบัติรับใช้ในพระวิหาร  แต่พระเจ้าทรงคงสงวนลูกหัวปีไว้และต้องไถ่คืนด้วยค่าไถ่  {DA 51.4}             

       ด้วยประการฉะนี้กฎบัญญัติของการถวายบุตรหัวปีจึงมีความสำคัญเป็นพิเศษเฉพาะ  ในแง่หนึ่งกฎบัญญัตินี้ระลึกถึงความมหัศจรรย์แห่งการทรงช่วยกู้ชนชาติอิสราเอล แต่ในอีกแง่หนึ่งยังเป็นสัญลักษณ์ชี้ไปยังการช่วยกู้ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้าซึ่งพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าจะทรงเป็นผู้ปฏิบัติพระราชกิจนี้  ดั่งเลือดที่ประพรมบนวงกบประตูที่ช่วยลูกหัวปีของอิสราเอลนั้น พระโลหิตของพระคริสต์มีอำนาจที่จะช่วยโลกนี้ให้รอดได้  {DA 51.5}       

       การถวายพระคริสต์ในครั้งนี้มีความหมายอย่างมากยิ่งเพียงไร!  แต่ปุโรหิตมองไม่ทะลุผ่านม่าน เขาอ่านความลึกลับที่อยู่ไกลออกไปไม่ได้  การถวายทารกเป็นภาพปกติทั่วไป  วันแล้ววันเล่า ปุโรหิตรับเงินค่าไถ่ของการถวายทารกให้พระเจ้า  วันแล้ววันเล่าเขาปฏิบัติงานประจำของเขา ไม่ได้สนใจผู้ปกครองหรือเด็ก นอกจากจะเห็นความร่ำรวยและฐานะสูงส่งของผู้ปกครอง  โยเซฟและมารีย์ยากจนและเมื่อเข้ามาพร้อมบุตรของพวกเขา ปุโรหิตมองเห็นแต่เพียงชายและหญิงที่แต่งตัวด้วยอาภรณ์ของชาวกาลิลีและด้วยเสื้อผ้าต่ำต้อยที่สุด  ไม่มีสิ่งใดในลักษณะภายนอกที่จะเรียกความสนใจและเขาทั้งสองมีแต่เพียงของถวายของชนชั้นที่ยากจนที่สุด  {DA 52.1}       

       ปุโรหิตปฏิบัติพิธีตามภารกิจอย่างเป็นทางการของเขา  เขารับทารกน้อยมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนและยกชูขึ้นหน้าแท่นเผาบูชา  หลังจากส่งทารกคืนให้ผู้เป็นแม่ และจารึกพระนาม “เยซู” ลงในทะเบียนลูกหัวปี  เขาไม่ได้คิดเลยว่า เด็กน้อยในอ้อมแขนของเขาเป็นพระราชาแห่งสรวงสวรรค์ จอมราชาแห่งพระสิริ  ปุโรหิตไม่ได้คิดเลยว่า ทารกน้อยเป็นผู้ที่โมเสสกล่าวถึงว่า “พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะประทานผู้เผยพระวจนะคนหนึ่ง เหมือนอย่างเราแก่พวกท่านจากพี่น้องของพวกท่านเอง ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้นในทุกสิ่งที่พระองค์จะตรัสกับพวกท่าน”  กิจการ 3 ข้อที่ 22  เขาไม่ได้คิดว่าทารกน้อยองค์นี้ทรงเปี่ยมด้วยรัศมีที่โมเสสทูลขอที่จะเข้าเฝ้า  แต่พระเจ้าองค์หนึ่งทรงยิ่งใหญ่กว่าโมเสสอยู่ในอ้อมแขนของปุโรหิต และเมื่อเขาขึ้นทะเบียนชื่อของทารกน้อย เขากำลังขึ้นทะเบียนชื่อของพระองค์ผู้ทรงเป็นองค์ประกอบทั้งหมดของชาวยิว  พระนามนั้นเป็นหลักฐานรับประกันแห่งความตายเพราะระบบการถวายบูชาและการถวายต่างๆ กำลังชราภาพไป  แบบจำลองของการถวายบูชาเกือบจะมาบรรจบกับต้นแบบแล้ว  เงาบรรจบกับของแท้  {DA 52.2}j     

       พระรัศมีเจิดจ้าเหนือพระที่นั่งพระกรุณาธิคุณในพระวิหารได้จากไปแล้ว แต่พระสิริในทารกน้อยแห่งบ้านเบธเลเฮมที่ปกปิดไว้นั้นเป็นพระสิริที่เหล่าทูตสวรรค์กราบนมัสการ  ทารกน้อยผู้ไม่รู้ประสาพระองค์นี้เป็นพงศ์พันธุ์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ เป็นพงศ์พันธุ์ที่แท่นเผาบูชาตรงทางประตูเข้าสวนเอเดนชี้ไปถึง  นี่คือชิโลพระผู้ประทานสันติสุข  พระองค์ทรงเป็นผู้ประกาศแก่โมเสสว่าพระองค์เองทรงเป็นพระผู้ทรงเป็น  พระองค์เองผู้ทรงเป็นเสาเมฆ และเสาไฟที่นำชนชาติอิสราเอล  พระองค์เองคือผู้ที่ผู้เผยพระวจนะทำนายไว้มาเนิ่นนานแล้ว  พระองค์เองทรงเป็นผู้พึงปรารถนาแห่งประชาชาติทั้งหลาย  ทรงเป็นรากเหง้าและเชื้อสายของดาวิดและเป็นดาวประจำรุ่งอันสุกใส  ทารกน้อยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้มีพระนามที่ลงในสมุดทะเบียนของชนชาติอิสราเอลประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเชษฐาของเรา ทรงเป็นความหวังของมนุษยชาติที่ล้มลงในบาป  ทารกน้อยผู้ทรงได้รับการไถ่ด้วยค่าไถ่พระองค์นี้คือผู้ที่จะทรงไถ่บาปของคนทั้งโลก  พระองค์ทรงเป็น “ปุโรหิตใหญ่เหนือหมู่คนของพระเจ้า” องค์เที่ยงแท้  พระองค์ทรงดำรงเป็นหัวหน้า “ปุโรหิตตลอดกาล” ทรงเป็นผู้ไกล่เกลี่ยผู้  “ประทับเบื้องขวาของพระเจ้าสูงสุด”  ฮีบรู 10 ข้อที่ 21; 7 ข้อที่ 24; 1 ข้อที่ 3  {DA 52.3}

       เรื่องของจิตวิญญาณจะต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ  ในพระวิหาร พระบุตรของพระเจ้าทรงได้รับการถวายให้ประกอบกิจที่เสด็จมาทำ  ปุโรหิตมองดูพระองค์เหมือนเช่นมองเด็กอื่นทั่วไป  แต่ถึงแม้ว่าเขามองไม่เห็นหรือตระหนักได้ว่ามีความพิเศษอื่นใด การประทานพระบุตรของพระเจ้าให้แก่โลกได้รับการยอมรับแล้ว  เหตุการณ์นี้จะไม่ผ่านไปโดยไม่มีใครรู้เห็นว่าทารกองค์นี้คือพระคริสต์  “มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและยำเกรงพระเจ้า ท่านคอยเวลาที่พวกอิสราเอลจะได้รับการปลอบโยนใจ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตกับท่าน  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงแก่ท่านว่าท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระคริสต์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”  {DA 55.1}  

       ขณะที่สิเมโอนเดินเข้ามายังวิหาร เขามองเห็นว่ามีอยู่ครอบครัวหนึ่งถวายบุตรหัวปีอยู่ต่อหน้าปุโรหิต  สภาพภายนอกบ่งบอกถึงความยากจน แต่สิเมโอนเข้าใจการทรงดลใจของพระวิญญาณ และได้รับการดลใจอย่างสุดซึ้งว่าทารกน้อยที่กำลังถวายแด่พระเจ้าอยู่นั้นคือพระเจ้าพระผู้ทรงปลอบโยนใจของชนชาติอิสราเอล เป็นพระองค์ที่เขาปรารถนาจะเข้าเฝ้า  ในสายตาของปุโรหิตแล้ว ดูประหนึ่งว่าสิเมโอนปลื้มปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง  ปุโรหิตคืนทารกน้อยให้มารีย์และสิเมโอนรับทารกมาไว้ในอ้อมแขนและถวายพระเจ้า ในขณะที่ความสุขที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนท่วมท้นอยู่ใจของเขา  ในขณะที่เขายกชูทารกน้อยขึ้นยังฟ้าสวรรค์ เขาพูดว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย บัดนี้ขอทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้วซึ่งพระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าชนชาติทั้งหลาย  เป็นความสว่างที่ส่องแก่คนต่างชาติและเป็นศักดิ์ศรีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์” {DA 55.2}

       วิญญาณแห่งการเผยพระวจนะอยู่กับคนของพระเจ้าท่านนี้และขณะที่โยเซฟและมารีย์ยืนรออยู่ด้วยความพิศวงกับคำพูดของเขา เขาได้อวยพรให้ทั้งสองและพูดกับมารีย์ว่า “นี่แน่ะ พระกุมารนี้ได้รับการเลือกสรรเพื่อเป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือลุกขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญที่คนจะปฏิเสธ  เพื่อที่ว่าความคิดในใจของคนจำนวนมากจะปรากฏแจ้ง ถึงหัวใจของท่านเองก็จะถูกดาบแทงทะลุด้วย” {DA 55.3}               

       เช่นเดียวกัน อันนาผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่งก็ได้เข้ามาและรับรองคำพยานของสิเมโอนในเรื่องของพระคริสต์  ขณะที่สิเมโอนพูดอยู่นั้น ใบหน้าของอันนาสว่างเจิดจ้าขึ้นด้วยพระสิริของพระเจ้าและเธอกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงอนุญาตให้เธอเห็นพระคริสต์เจ้า  {DA 55.4}            การศึกษาคำพยากรณ์ของผู้นมัสการที่ถ่อมตนเหล่านี้ไม่ได้สูญเปล่า  แต่สำหรับคนที่ดำรงอยู่ในตำแหน่งผู้ปกครองและปุโรหิตของอิสราเอลนั้นแม้ว่าพวกเขามีคำพยากรณ์อันล้ำค่าอยู่ต่อหน้า แต่พวกเขาไม่ได้ดำเนินในทางของพระเจ้า และตาของพวกเขามองไม่เห็นพระเจ้าพระผู้ทรงเป็นแสงสว่างแห่งชีวิต  {DA 55.5}

       ยุคปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนี้เหมือนกัน  เหตุการณ์ที่ชาวสวรรค์ทั้งหมดใส่ใจอยู่นั้น  ผู้นำทางศาสนาและผู้ที่นมัสการในพระวิหารของพระเจ้าไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า  มนุษย์ยอมรับพระคริสต์ในประวัติศาสตร์ แต่หันหลังให้กับพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์  ด้วยพระวจนะ พระคริสต์ทรงเรียกให้ละทิ้งตนเอง  พระคริสต์ในสภาพของคนยากจนและตกอยู่ในความทุกข์ยาก ในสภาพที่ร้องขอการปลดปล่อย ในสภาพของการทำงานรับใช้แห่งความชอบธรรมที่เกี่ยวข้องกับความยากจนและงานตรากตรำและการดูหมิ่นนั้น จะไม่เป็นที่ยอมรับในวันนี้มากไปกว่าที่พระองค์ได้รับการยอมรับเมื่อหนึ่งพันแปดร้อยปีที่แล้ว  {DA 56.1}       

       มารีย์ครุ่นดิดถึงคำพยากรณ์อันกว้างขวางและแผ่ออกไปไกลของสิเมโอน  ขณะที่เธอมองทารกน้อยในอ้อมแขนของเธอ และทบทวนคำพูดของคนเลี้ยงแกะทั้งหลายแห่งทุ่งหญ้าเบธเลเฮม เธอเปี่ยมล้นด้วยความชื่นชมอย่างซาบซึ้งใจ และความหวังอันสดใส  คำพูดของสิเมโอนทำให้เธอคิดถึงคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า “จะมีหน่อหนึ่งแตกออกจากตอของเจสซี และกิ่งหนึ่งที่งอกจากรากของเขานั้นจะเกิดผล  และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์จะทรงอยู่บนท่าน คือพระวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ พระวิญญาณแห่งคำปรึกษาและอานุภาพ พระวิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระยาห์เวห์. . . .ความชอบธรรมจะเป็นสายคาดเอวของท่านและความซื่อสัตย์จะเป็นผ้าคาดที่บั้นเอวของท่าน” “ชนชาติที่ดำเนินในความมืด เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ บรรดาคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินแห่งเงามัจจุราช แสงสว่างส่องมาบนเขาทั้งหลาย . . . .ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เราและการปกครองจะอยู่บนบ่าของท่านและเขาจะขนานนามของท่านว่า “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ และองค์สันติราช”  อิสยาห์ 11 ข้อที่ 1-5; 9 ข้อที่ 2-6  {DA 56.2}

       แต่ถึงกระนั้น มารีย์ไม่เข้าใจพันธกิจของพระคริสต์  สิเมโอนพยากรณ์ว่าพระองค์ทรงเป็นความสว่างส่องแสงแก่คนต่างชาติ และทรงเป็นศักดิ์ศรีให้แก่ชนชาติอิสราเอล  ด้วยประการฉะนี้ ทูตสวรรค์ประกาศไปแล้วว่า การเสด็จมาบังเกิดของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นข่าวชื่นชมยินดีของคนทั้งปวง  พระเจ้าทรงแสวงหาทางแก้ความคิดอันคับแคบของชาวยิวในเรื่องพระราชกิจของพระเมสสิยาห์  พระองค์ทรงประสงค์ให้มนุษย์เฝ้ามองพระองค์ไม่เพียงแต่เป็นพระผู้ช่วยของชนชาติอิสราเอล แต่เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก  แต่ว่าเวลาหลายปีจะต้องล่วงเลยไปก่อนที่มารดาของพระเยซูจะเข้าใจพันธกิจของพระองค์  {DA 56.3}

       มารีย์มองไปข้างหน้าเมื่อพระเมสสิยาห์จะทรงขึ้นประทับบนบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด แต่เธอมองไม่เห็นบัพติสมาแห่งความทุกข์ยากที่จะต้องเอาชนะ  โดยทางสิเมโอน พระเจ้าทรงเปิดเผยให้ทราบว่าทางผ่านโลกนี้ของพระเมสสิยาห์ไม่ใช่เป็นทางที่ปราศจากอุปสรรค  ในคำพูดที่กล่าวกับมารีย์ว่า “หัวใจของท่านเองก็จะถูกดาบแทงทะลุด้วย” นั้น พระเจ้าตรัสด้วยความเมตตากรุณาอันอ่อนโยนอย่างเป็นนัยถึงความปวดร้าวที่เธอเริ่มแบกรับเพื่อพระองค์  {DA 56.4} นี่แน่ะ” สิเมโอนกล่าว “พระกุมารนี้ได้รับการเลือกสรรเพื่อเป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือลุกขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญที่คนจะปฏิเสธ”  พวกเขาจะต้องล้มลงเพื่อลุกขึ้นอีก  เราจะต้องล้มลงบนพระศิลาและแตกสลายไปก่อนที่จะรับการยกชูขึ้นในพระคริสต์  จะต้องปลดอัตตาทิ้งไป  ความหยิ่งยโสจะต้องถูกทำให้ถ่อมลงหากเราต้องการที่จะรับอาณาจักรแห่งพระสิริทางจิตวิญญาณ  ชาวยิวไม่ยอมรับเกียรติที่ได้มาโดยการถ่อมตน  ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ยอมรับพระเจ้าพระผู้ไถ่ของพวกเขา  พระองค์ทรงเป็นหมายสำคัญหนึ่งที่พวกเขาปฏิเสธ  {DA 56.5}          

       เพื่อที่ว่าความคิดในใจของคนจำนวนมากจะปรากฏแจ้ง”  ภายใต้ความสว่างของชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอด หัวใจของคนทั้งปวง แม้กระทั่งตั้งแต่พระเจ้าพระผู้ทรงสร้างจนถึงเจ้าชายแห่งความมืดถูกเปิดเผย  ซาตานกล่าวร้ายว่าพระเจ้าเห็นแก่ตัวและโหดเหี้ยม อ้างความเป็นเจ้าของในทุกสิ่งและไม่เคยเผื่อแผ่ให้ผู้ใด เรียกร้องให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างรับใช้พระองค์เพื่อพระสิริของพระองค์เองและไม่เคยเสียสละเพื่อประโยชน์ของพวกเขา  แต่ของประทานของพระคริสต์เปิดเผยถึงพระหทัยของพระบิดา เป็นการสำแดงว่าพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อเรานั้นว่า “เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า”  เยเรมีย์ 29 ข้อที่ 11  เรื่องนี้เป็นการเปิดเผยว่าในขณะที่พระเจ้าทรงเกลียดชังบาปเท่าความตาย ความรักของพระองค์ที่มีต่อคนบาปนั้นหนักแน่นยิ่งกว่าความตาย  เมื่อพระองค์ทรงรับภาระของการทรงช่วยพวกเราให้รอดแล้ว พระองค์จะไม่ทรงยอมสละสิ่งใด ไม่ว่าจะมีคุณค่ามากเพียงไรที่จำเป็นเพื่อการปฏิบัติกิจของพระองค์ให้สำเร็จบริบูรณ์  ไม่มีความจริงที่จำเป็นสำหรับความรอดของเราจะถูกกักเก็บไว้ ไม่มีการอัศจรรย์แห่งความเมตตาที่ถูกละเลย ไม่มีสื่อของพระเจ้าจะถูกปล่อยปละละเลยไม่นำมาใช้  ความเอื้อเฟื้อกองสุมลงไปกับความเอื้อเฟื้อ ของประทานกองใส่แล้วใส่อีก  คลังสมบัติทั้งหมดของสวรรค์เปิดไว้สำหรับผู้ที่พระองค์ทรงแสวงหาที่จะช่วยให้รอด  เมื่อพระเจ้าทรงรวบรวมสมบัติของจักรวาลและเปิดแหล่งอำนาจของสวรรค์แล้ว พระองค์ทรงมอบทั้งหมดใว้ในพระหัตถ์ของพระคริสต์และตรัสว่า ทั้งหมดนี้มีไว้ให้มนุษย์  จงใช้ของประทานเหล่านี้เพื่อโน้มน้าวให้เขาเชื่อว่าไม่มีความรักใดในโลกหรือในสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่กว่าความรักของเรา (พระเจ้า)  ความสุขยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาจะพบได้ด้วยการรักเรา [พระเจ้า]  {DA 57.1}        

       ที่กางเขนคาลวารี ความรักและความเห็นแก่ตัวเข้าประจันหน้ากัน  ณ ที่นี่เป็นการเปิดเผยอย่างสุดยอดยิ่งใหญ่  พระคริสต์ดำรงชีวิตเพื่อการปลอบประโลมและอวยพระพร และซาตานแสดงออกถึงความโหดเหี้ยมร้ายกาจของความเกลียดชังที่มีต่อพระเจ้า ด้วยการประหารพระองค์มันทำให้เป้าหมายแท้จริงของการกบฏมองเห็นได้อย่างชัดเจนคือการถอดพระเจ้าจากบัลลังก์และทำลายพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงประสงค์สำแดงความรักผ่านพระองค์  {DA 57.2}           

       โดยชีวิตและความตายของพระคริสต์ ความคิดของมนุษย์ถูกเปิดเผยออกมาให้เห็นเช่นกัน  จากรางหญ้าจนถึงกางเขน ชีวิตของพระเยซูคือชีวิตแห่งการละทิ้งตนเองและสามัคคีธรรมร่วมกันในความทุกข์ทรมาน  เป็นการเปิดเผยความประสงค์ของมนุษย์  พระเยซูเสด็จมาพร้อมสัจธรรมของสวรรค์และทุกคนที่ฟังพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกชักนำให้เข้าไปหาพระองค์  ผู้ที่กราบไหว้ตนเองอยู่ฝ่ายอาณาจักรของซาตาน  ด้วยทัศนะของพวกเขาเองที่มีต่อพระคริสต์ ทุกคนจะแสดงออกว่าตนยืนอยู่ฝ่ายใด  และด้วยการทำเช่นนี้ ทุกคนจึงตัดสินชะตาของตนเอง  {DA 57.3}              

       เมื่อถึงวันพิพากษาสุดท้าย จิตวิญญาณที่หลงหายทุกดวงจะเข้าใจธรรมชาติของการปฏิเสธความจริงของตัวเขาเอง  เมื่อกางเขนจะถูกนำเสนอขึ้นและจิตใจทุกดวงที่มืดบอดในการล่วงละเมิดจะประจักษ์ได้กับลักษณะที่แท้จริง  ต่อหน้านิมิตเรื่องของกางเขนคาลวารีที่มีพระเจ้าผู้ทรงเป็นเหยื่อน่าพิศวง  คนบาปจะถูกกำหนดโทษ  ทุกคำแก้ตัวอย่างหลอกลวงจะถูกกวาดทิ้งไป  การละทิ้งความเชื่อของมนุษย์จะปรากฏให้เห็นในลักษณะที่ชั่วร้าย  มนุษย์จะมองเห็นว่าทางเลือกของพวกเขาเป็นเช่นไร  ทุกคำถามเรื่องความจริงและความผิดบาปในความขัดแย้งอันยาวนานจะกระจ่างแจ้ง  ในการพิพากษาแห่งจักรวาล พระเจ้าทรงหลุดจากการกล่าวโทษในเรื่องความชั่วที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง  พระองค์จะทรงสำแดงให้เห็นว่าพระบัญชาของพระเจ้าไม่ใช่อุปกรณ์เสริมของบาป  ไม่มีความบกพร่องในการปกครองของพระเจ้า ไม่มีสาเหตุของความไม่พึงพอใจ  เมื่อความในใจของคนทั้งปวงถูกเปิดเผย คนทั้งหลายที่จงรักภักดีและผู้ที่กบฏจะร่วมกันประกาศว่า “บรรดามรรคาของพระองค์ยุติธรรมและสัตย์จริง  ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มีใครบ้างไม่เกรงกลัวพระองค์และไม่ถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์. . . .เพราะว่าพระราชกิจอันชอบธรรมของพระองค์ปรากฏให้เห็นแล้ว”  วิวรณ์ 15 ข้อที่ 3, 4  {DA 58.1}

************