บทที่ 10
เสียงก้องจากป่ากันดาร
อ้างอิงจาก ลูกา 1 ข้อที่ 5-23; 57-80; 3 ข้อที่ 1-18; มัทธิว 3 ข้อที่ 1-12; มาระโก 1 ข้อที่ 1-8
ผู้นำหน้าคนหนึ่งของพระคริสต์ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางผู้ซื่อสัตย์ทั้งหลายในชนชาติอิสราเอลที่รอคอยการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์อย่างเนิ่นนาน เศคาริยาห์ปุโรหิตวัยชราและเอลีซาเบธภรรยาของเขา “เป็นคนชอบธรรมต่อพระเจ้า” และในชีวิตอันสงบเงียบและบริสุทธิ์ แสงแห่งความเชื่อส่องสว่างดั่งดวงดาวท่ามกลางความมืดของวันแห่งความชั่วเหล่านั้น สามีภรรยาชอบธรรมคู่นี้ได้รับพระสัญญาที่จะได้บุตรชายคนหนึ่งเพื่อ “จะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและจัดเตรียมมรรคาของพระองค์” {DA 97.1}
เศคาริยาห์อาศัยอยู่ใน “แถบภูเขาแคว้นยูเดีย” แต่เขาได้เดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในพระวิหารหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเป็นภารกิจในหน้าที่ปุโรหิตที่ต้องปฏิบัติปีละ 2 ครั้ง “เมื่อเศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้าในคราวที่กองเวรของท่านเข้าประจำการ ท่านเป็นผู้ที่จับได้ฉลากตามธรรมเนียมของปุโรหิต จึงต้องเข้าไปในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า และเผาเครื่องหอมบูชา” {DA 97.2}
เศคาริยาห์ยืนอยู่หน้าแท่นบูชาทองคำในวิสุทธิสถานของพระวิหาร ควันของเครื่องหอมพร้อมด้วยคำอธิษฐานของชนชาติอิสราเอลลอยขึ้นไปยังเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ในทันใดนั้นเขารู้สึกได้ถึงการสถิตอยู่ของพระเจ้า ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้ามา “ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอม” ตำแหน่งการยืนของทูตสวรรค์แสดงถึงการทรงโปรด แต่เศคาริยาห์ไม่ทันสังเกตถึงเรื่องนี้ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่เขาอธิษฐานขอการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอด บัดนี้สวรรค์ได้บัญชาให้ผู้สื่อข่าวมาประกาศว่าเกือบจะถึงเวลาแล้วที่คำอธิษฐานเหล่านี้จะได้รับคำตอบ แต่ดูประหนึ่งว่าพระเมตตาของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่เกินไปที่เขาจะยอมรับได้ เขาหวาดกลัวและตำหนิตนเองอย่างเต็มที่ {DA 97.3}
แต่เขาได้รับคำทักทายแห่งความมั่นใจอันชื่นชมยินดีว่า “‘เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะพระองค์ทรงฟังคำอธิษฐานของท่านแล้ว นางเอลีซาเบธภรรยาของท่านจะให้กำเนิดบุตรชาย ท่านจงตั้งชื่อบุตรนั้นว่ายอห์น ท่านจะมีความยินดีและเปรมปรีดิ์ และคนจำนวนมากจะชื่นชมยินดีที่บุตรนั้นเกิดมา เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ดื่มน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลยและเขาจะเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์. . . .เขาจะนำพงศ์พันธุ์อิสราเอลหลายคนให้หันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของพวกเขา เขาจะนำหน้าพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และให้คนดื้อด้านกลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้พร้อมสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เศคาริยาห์จึงพูดกับทูตสวรรค์ว่า ‘ข้าพเจ้าจะรู้แน่ได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าชราและภรรยาก็อายุมากแล้ว?’” {DA 98.1}
เศคาริยาห์ทราบดีว่าอับราฮัมได้บุตรชายคนหนึ่งในวัยแก่ชราเพราะเขาเชื่อพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อในพระสัญญา แต่ในเสี้ยววินาทีปุโรหิตวัยชราผู้นี้หันความคิดเข้าหาความอ่อนแอของมนุษย์ เขาลืมไปว่าเมื่อพระเจ้าทรงสัญญาแล้ว พระองค์จะทรงประกอบกิจให้สำเร็จ ความไม่เชื่อของเขาช่างแตกต่างกับความเชื่ออันอ่อนหวานและเยาว์วัยของมารีย์เหลือเกิน คำตอบของสาวน้อยแห่งเมืองนาซาเร็ธที่ให้กับการประกาศอันอัศจรรย์ของทูตสวรรค์คือ “นี่แน่ะ ข้าพเจ้าเป็นทาสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นไปตามคำของท่าน” ลูกา 1 ข้อที่ 38 {DA 98.2}
การให้กำเนิดบุตรชายแก่เศคาริยาห์ สอนความจริงยิ่งใหญ่ทางฝ่ายจิตวิญญาณอย่างหนึ่งเหมือนเช่นการกำเนิดบุตรชายของอับราฮัมและของมารีย์ ความจริงนี้ที่เราเรียนรู้ได้ช้าและลืมได้อย่างฉับพลัน โดยลำพังตัวเราเองเราทำการดีใดๆ ไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำไม่ได้นั้นอำนาจของพระเจ้าจะทรงประกอบกิจในจิตวิญญาณทุกดวงที่ยอมจำนนและเชื่อ โดยความเชื่อว่าพระเจ้าประทานบุตรแห่งพระสัญญา โดยความเชื่อ ชีวิตฝ่ายวิญญาณจึงบังเกิดขึ้น และทำให้เรามีความสามารถกระทำกิจแห่งความชอบธรรมได้ {DA 98.3}
ทูตสวรรค์ตอบคำถามของเศคาริยาห์ว่า “เราคือกาเบรียลซึ่งยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพระองค์ทรงใช้ให้มาพูดกับท่านและนำข่าวดีนี้มาแจ้ง” ห้าร้อยปีก่อนหน้านี้ กาเบรียลเปิดเผยให้ดาเนียลทราบถึงช่วงเวลาแห่งคำพยากรณ์ที่จะมาถึงเวลาการเสด็จมาของพระคริสต์ ความรู้เรื่องยุคสุดท้ายของช่วงเวลาที่ใกล้เข้าแล้วนั้นทำให้เศคาริยาห์อธิษฐานเผื่อการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ บัดนี้ผู้สื่อข่าวองค์เดียวกันที่นำคำพยากรณ์มาให้นั้นได้มาประกาศเวลาที่คำพยากรณ์จะสำเร็จแล้ว {DA 98.4}
คำพูดของทูตสวรรค์ที่ว่า “เราคือกาเบรียลซึ่งยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” นี้ แสดงให้เห็นว่าทูตองค์นี้มีตำแหน่งอันทรงเกียรติในพระบัลลังก์แห่งสรวงสวรรค์ เมื่อทูตองค์นี้นำข่าวมายังดาเนียลท่านพูดว่า “ไม่มีใครร่วมแรงกับเราต่อสู้พวกเขาเลย นอกจากมีคาเอลเจ้าผู้ครอบครองของท่าน [พระคริสต์] ดาเนียล 10 ข้อที่ 21 พระผู้ช่วยให้รอดตรัสถึงกาเบรียลในพระธรรมวิวรณ์ว่า “พระองค์ทรงใช้ทูตสวรรค์ไปแจ้งกับยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์” วิวรณ์ 1 ข้อที่ 1 และทูตสวรรค์เปิดเผยกับยอห์นว่า “เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับท่านและพวกพี่น้องของท่าน ซึ่งเป็นพวกผู้เผยพระวจนะ” วิวรณ์ 22 ข้อที่ 9 ข้อคิดอันประเสริฐยิ่งเพียงไรที่ทูตสวรรค์อันทรงเกียรติซึ่งคอยเฝ้ารับใช้พระบุตรของพระเจ้านั้นได้รับเลือกให้เปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าแก่มนุษย์ที่เป็นคนบาป {DA 99.1}
เศคาริยาห์แสดงออกว่าสงสัยในคำพูดของทูตสวรรค์ เขาจะไม่ได้พูดอีกจนกระทั่งเหตุการณ์ที่ทูตสวรรค์กล่าวไว้สำเร็จ ท่านพูดว่า “นี่แน่ะ” ทูตสวรรค์กล่าวว่า “เพราะท่านไม่ได้เชื่อถ้อยคำของเราที่จะสำเร็จตามกำหนด ท่านจะเป็นใบ้ พูดไม่ได้จนกว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น” ในพิธีนมัสการนี้ ปุโรหิตมีหน้าที่อธิษฐานในที่สาธารณะเพื่อขอการอภัยบาปของปวงชนและประชาชาติและเพื่อการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์แต่เมื่อเศคาริยาห์พยายามทำหน้าที่นี้ เขาพูดไม่ได้แม้สักคำเดียว {DA 99.2}
เมื่อเขาออกมาอวยพรคนทั้งปวง “ท่านเอาแต่ทำบุ้ยใบ้กับพวกเขาและพูดไม่ได้อยู่อย่างนั้น” พวกเขาคอยอยู่นานและเริ่มวิตก เกลือกว่าเขาจะถูกตัดขาดด้วยการพิพากษาของพระเจ้า แต่ขณะที่เขาเดินออกจากวิสุทธิสถานหน้าของเขาเปล่งประกายด้วยพระสิริของพระเจ้า “คนทั้งหลายจึงตระหนักว่าท่านได้เห็นนิมิตในพระวิหาร” เศคาริยาห์สื่อให้คนทั้งหลายทราบถึงสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินและ “เมื่อหมดเวรของท่านแล้ว ท่านก็กลับบ้าน” {DA 99.3}
ไม่นานหลังจากทารกตามพระสัญญาเกิดแล้ว ผู้เป็นบิดาก็กลับมาพูดได้อีกครั้ง “แล้วท่านกล่าวสรรเสริญพระเจ้า เพื่อนบ้านของท่านก็เกิดความกลัว และเหตุการณ์เหล่านี้ก็เลื่องลือไปทั่วแถบภูเขาแคว้นยูเดีย บรรดาคนที่ได้ยินก็จดจำไว้ในใจ และกล่าวว่า ‘ทารกคนนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไปข้างหน้านะ!’” เรื่องทั้งหมดนี้มุ่งหวังเพื่อเรียกความสนใจให้หันไปยังการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ซึ่งยอห์นเป็นผู้ทำหน้าที่เตรียมมรรคา {DA 99.4}
พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมายังเศคาริยาห์และด้วยคำพูดอันงดงามเหล่านี้พยากรณ์ถึงภารกิจของบุตรชายของเขาว่า
“ทารกเอ๋ย เขาจะเรียกเจ้าว่าผู้เผยพระวจนะของผู้สูงสุด
เพราะว่าเจ้าจะนำหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและจัดเตรียมมรรคาของพระองค์
เพื่อจะให้ชนชาติของพระองค์รู้ถึงความรอด
ซึ่งมาทางการทรงยกโทษบาปเขาเหล่านั้น
โดยพระทัยเมตตาของพระเจ้าของเรา
แสงอรุณจากเบื้องสูงจึงมาเยี่ยมเยียนเรา
ส่องสว่างแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืดและในเงาของความมรณาเพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติสุข” {DA 100.1}
“ทารกน้อยนั้นก็เจริญวัยขึ้น และจิตวิญญาณก็มีกำลังทวีขึ้น ท่านไปอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่ท่านมาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล” ก่อนที่ยอห์นเกิด ทูตสวรรค์ประกาศไว้แล้วว่าว่า “เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่ดื่มน้ำองุ่นหมักและเหล้าเลยและเขาจะเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” พระเจ้าทรงเรียกให้บุตรชายของเศคาริยาห์ทำงานที่ยิ่งใหญ่ เป็นพระราชกิจยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมอบหมายให้แก่มนุษย์คนใด เพื่อทำพันธกิจนี้ให้สำเร็จ เขาต้องให้พระเจ้าประกอบกิจร่วมกับเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงร่วมสถิตกับเขา หากเขารับฟังคำแนะนำของทูตสวรรค์ {DA 100.2}
ยอห์นจะต้องก้าวไปข้างหน้าในฐานะผู้สื่อข่าวของพระยาห์เวห์เพื่อนำแสงสว่างของพระเจ้าไปยังมนุษย์ เขาจะต้องใส่ทิศทางใหม่ลงไปในความคิดของพวกเขา เขาจะต้องสร้างความประทับใจแห่งความบริสุทธิ์ของข้อกำหนดของพระเจ้า ผู้สื่อข่าวที่ทำงานเช่นนี้จะต้องบริสุทธิ์ เขาจะต้องเป็นวิหารที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ร่วมด้วย เพื่อให้ภารกิจของเขานี้สำเร็จได้เขาจะต้องมีร่างกายที่แข็งแรง และมีพลังทางฝ่ายปัญญาและจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงจำเป็นต้องควบคุมความอยากอาหารและตัณหา เขาจะต้องควบคุมอำนาจทั้งหมดของเขาเพื่อสามารถยืนหยัดท่ามกลางมนุษย์โดยปราศจากผลกระทบของสิ่งแวดล้อม มั่นคงดั่งหินและภูเขาของถิ่นทุรกันดาร {DA 100.3}
ในสมัยของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ความโลภในทรัพย์และการรักความเลิศหรูและความโอ้อวดมีอยู่อย่างแพร่หลาย ความสนุกสนานอย่างไร้ศีลธรรม การเลี้ยงและการดื่มก่อให้เกิดโรคทางกายและความเสื่อมโทรม ทำให้การเรียนรู้ทางฝ่ายวิญญาณเซื่องซึมและความไวต่อบาปลดลง ยอห์นต้องลุกขึ้นยืนในฐานะนักปฏิรูป ด้วยการดำเนินชีวิตอย่างละทิ้งตนและสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย เขาจะทำงานของการตำหนิความฟุ่มเฟือยในยุคของเขา จึงเป็นที่มาของพระบัญชาที่ประทานไว้กับบิดามารดาให้ยอห์นซึ่งเป็นบทเรียนของการประมาณตนที่ทูตสวรรค์นำมาจากพระที่นั่งของสวรรค์ {DA 100.4}
การปลูกฝังลักษณะอุปนิสัยทำได้ง่ายที่สุดในช่วงวัยเด็กและวัยเยาว์ อำนาจของการควบคุมตนจะต้องได้มาในช่วงเวลานั้น ขณะอยู่ข้างเตาผิงและนั่งคุยกันในครอบครัว อิทธิพลต่างๆ ที่ปลูกฝังไว้นั้นส่งผลยั่งยืนเทียบเท่านิรันดร์กาล มากยิ่งกว่าคุณสมบัติธรรมชาติอื่นใด ลักษณะอุปนิสัยที่ฝังลึกในช่วงต้นของชีวิตเป็นตัวกำหนดว่าบุคคลนั้นจะมีชัยชนะหรือจะพินาศในสงครามแห่งชีวิต ช่วงเยาว์วัยเป็นเวลาของการหว่าน เป็นช่วงเวลากำหนดลักษณะของการเก็บเกี่ยว สำหรับชีวิตนี้และชีวิตที่จะมาถึง {DA 101.1}
ในฐานะผู้เผยพระวจนะ ยอห์น “จะนำหน้าพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและฤทธิ์เดชของเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และให้คนดื้อด้านกลับได้ปัญญาของคนชอบธรรม เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้พร้อมสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า” ในการเตรียมมรรคาสำหรับการเสด็จมาครั้งที่หนึ่งของพระคริสต์ ยอห์นเป็นตัวแทนของคนทั้งหลายที่เตรียมการเสด็จกลับมาครั้งที่สองขององค์พระผู้เป็นเจ้า โลกตกอยู่ในการปล่อยตัวตามใจตนเอง ความเชื่อผิดและนิยายชาดกมีดาษดื่นทั่วไป กับดักของซาตานเพื่อทำลายจิตวิญญาณแผ่ขยายอย่างกว้างขวาง ทุกคนที่ต้องการก้าวถึงความบริสุทธิ์ที่สมบูรณ์แบบในความยำเกรงของพระเจ้าจะต้องรับบทเรียนของการประมาณตนและการควบคุมตนเอง จะต้องควบคุมความอยากและตัณหาฝ่ายต่ำไว้ให้อยู่ภายใต้อำนาจฝ่ายสูงของจิตใจ การฝึกตนนั้นจำเป็นสำหรับกำลังความนึกคิดและสายตาฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งจะทำให้เราเข้าใจและปฏิบัติพระวจนะความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ด้วยเหตุผลนี้ การประมาณตนจึงจะต้องมีอยู่ในภารกิจของการตระเตรียมสำหรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ {DA 101.2}
โดยทางสายเลือดแล้ว บุตรของเศคาริยาห์จะต้องเข้ารับการอบรมให้เป็นปุโรหิต แต่การอบรมที่ได้จากโรงเรียนของพวกธรรมาจารย์เตรียมเขาให้พร้อมเพื่อรับพันธกิจของเขาไม่ได้ พระเจ้าไม่ทรงบัญชาให้เขาไปหาครูสอนศาสนศาสตร์เพื่อเรียนรู้การแปลความหมายพระคัมภีร์ พระองค์ทรงเรียกให้เขาไปยังถิ่นทุรกันดารเพื่อเรียนรู้เรื่องธรรมชาติและพระเจ้าของธรรมชาติ {DA 101.3}
บ้านพักอันโดดเดี่ยวในดินแดนอันเปล่าเปลี่ยวของยอห์นอยู่ท่ามกลางเขาแห้งแล้ง หุบเขาลึกและถ้ำโขดหิน แต่เขาเลือกที่จะละทิ้งความสุขและความสบายของชีวิตเพื่อเข้าไปรับการฝึกฝนอันเข้มงวดของถิ่นทุรกันดาร สภาพแวดล้อมของเขาที่นี่เหมาะกับนิสัยของความเรียบง่ายและการละทิ้งตนเอง ด้วยการไม่ถูกรบกวนด้วยเสียงร้องวุ่นวายของทางโลก เขาศึกษาบทเรียนของธรรมชาติ ศึกษาการเปิดเผยของพระเจ้าและพระเจ้าพระผู้ทรงจัดเตรียม บิดามารดาผู้ยำเกรงพระเจ้ากล่าวคำพูดของทูตสวรรค์ที่มายังเศคาริยาห์ซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่เสมอให้แก่ยอห์น ตั้งแต่วัยเด็กพันธกิจถูกนำเสนอมาไว้อยู่ตรงหน้าเขาเสมอ และเขารับภาระอันศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้ สำหรับยอห์นแล้ว ความโดดเดี่ยวของถิ่นทุรกันดารเป็นที่ที่เขาต้อนรับด้วยความยินดีเพื่อหลีกหนีจากสังคมที่มีแต่ความระแวงสงสัย ความไม่วางใจ ความไม่เชื่อและความไม่บริสุทธิ์ที่มีอยู่อย่างดาษดื่นทั่วไป เขาไม่วางใจในพละกำลังของตนเองเพื่อต่อต้านการทดลองและหลีกหนีไปจากการสัมผัสบาปอย่างต่อเนื่องเกลือกว่าเขาจะสูญเสียความรู้สึกถึงความเลวร้ายอย่างมหันต์ของบาป {DA 101.4}
ตั้งแต่เกิด บิดามารดาได้อุทิศถวายยอห์นให้พระเจ้าเป็นนาศีร์แล้ว [คำว่า “นาศีร์” หมายถึงปลีกตัวถวายแด่พระเจ้า โปรดดู กันดารวิถี บทที่ 6] เขาปฏิญาณตนถวายทั้งชีวิตแด่พระเจ้า เขาสวมใส่เสื้อผ้าแบบปุโรหิตสมัยโบราณ เป็นเสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าขนอูฐ มีหนังสัตว์คาดเอว รับประทาน “ตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า” ที่พบได้ในถิ่นทุรกันดารและดื่มน้ำบริสุทธิ์จากภูเขา {DA 102.1}
แต่ยอห์นไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้าน ด้วยความเศร้าโศกอย่างสันโดษหรือกักเก็บตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว และบ่อยครั้งเขาจะเข้าไปร่วมวงกับผู้คน และเขาเป็นคนช่างสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก จากที่พักอันสงบเขาเฝ้ามองเหตุการณ์ต่างๆ ที่เปิดเผยให้เห็นด้วยสายตาที่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาศึกษาลักษณะอุปนิสัยของมนุษย์เพื่อที่จะเข้าใจถึงวิธีที่จะเข้าถึงจิตใจของคนเหล่านั้นด้วยข่าวสารของสวรรค์ ภาระของพันธกิจอยู่บนบ่าของเขา ในความโดดเดี่ยว โดยการใคร่ครวญและเฝ้าอธิษฐานเขาแสวงหาที่จะเก็บรวบรวมจิตวิญญาณของเขาไว้เพื่อภาระงานแห่งชีวิตที่อยู่เบื้องหน้า {DA 102.2}
ถึงแม้จะอยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาก็ยังไม่ได้รับการยกเว้นจากการทดลอง เขาปิดทุกช่องทางที่ซาตานเข้าหาเขาเท่าที่พอจะทำได้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังถูกผู้ล่อลวงจู่โจม แต่สายตาฝ่ายวิญญาณจิตของเขานั้นโปร่งใส เขาได้พัฒนาความแข็งแกร่งและความแน่วแน่ของลักษณะอุปนิสัย และโดยการทรงช่วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์เขาตรวจจับการเข้ามาใกล้ของซาตานและเพื่อต้านอำนาจของมันได้ {DA 102.3}
ยอห์นได้โรงเรียนและที่พักฝ่ายจิตวิญญาณในป่ากันดาร การร่วมสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าปิดล้อมเขาและมีหลักฐานอำนาจของพระเจ้าโอบล้อมเขาไว้เหมือนโมเสสท่ามกลางแถบภูเขามิเดียน เขาไม่ได้เลือกอยู่อย่างสันโดษท่ามกลางภูเขายิ่งใหญ่เหมือนเช่นผู้นำยิ่งใหญ่ของชนชาติอิสราเอลที่อยู่ท่ามกลางความโอ่อ่าตระการของภูเขาที่เงียบสงบ แต่ตรงหน้าเชาคือภูเขาสูงของโมอับตรงฝั่งข้างโน้นของแม่น้ำจอร์แดนซึ่งกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงจัดวางภูเขาไว้ให้อยู่อย่างถาวรมั่งคงและโอบล้อมด้วยกำลัง ธรรมชาติอันน่าเศร้าสลดใจและน่ากลัวในบ้านป่ากันดารของเขาเป็นภาพที่ทำให้มองเห็นสภาพจริงของชนชาติอิสราเอล สวนองุ่นอันอุดมสมบูรณ์ของพระเจ้ากลายเป็นที่ทิ้งร้างว่างเปล่า แต่เหนือทะเลทราย ท้องฟ้าโค้งลงอย่างสว่างไสวและงดงาม รุ้งแห่งพระสัญญาโค้งอยู่เหนือเมฆพายุหนาทึบ ดังนี้แหละ เหนือความเสื่อมโทรมของชนชาติอิสราเอล พระสัญญาแห่งการทรงครองของพระเมสสิยาห์ส่องสว่างอยู่ มีสายรุ้งแห่งเมตตาที่ทรงสัญญาไว้ทอดอยู่เหนือเมฆแห่งความพิโรธนั้น {DA 102.4}
ในความเงียบสงบของยามค่ำคืน เขาอ่านพระสัญญาของพระเจ้าที่ประทานให้แก่อับราฮัมอันเรื่องพงศ์พันธุ์ที่มีมากเหมือนดั่งดวงดาวนับไม่ถ้วน แสงอรุณที่สาดส่องไปยังภูเขาโมอับบอกถึงพระองค์ผู้ทรงเป็น “เหมือนแสงอรุณเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น คือรุ่งเช้าที่ไม่มีเมฆ” 2 ซามูเอล 23 ข้อที่ 4 และในความสว่างเจิดจ้าของเที่ยงวันเขาเห็นการสำแดงอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ เมื่อ “พระสิริของพระยาห์เวห์จะปรากฏ แล้วมนุษย์ทุกคนจะมองเห็นด้วยกัน” อิสยาห์ 40 ข้อที่ 5 {DA 102.5}
ด้วยวิญญาณแห่งความเกรงขามแต่เปี่ยมด้วยความชื่นชมหรรษาเขาศึกษาค้นหาม้วนหนังถึงการเปิดเผยเรื่องการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ นั่นคือพงศ์พันธุ์ที่ทรงสัญญาไว้ว่าจะทำให้หัวงูแหลกคือชิโลห์ “ผู้ประทานสันติภาพ” ผู้จะทรงปรากฏตัวต่อหน้าพระพักตร์กษัตริย์ ผู้ทรงยุติการปกครองบนบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิด บัดนี้เวลามาถึงแล้ว มีผู้ครอบครองชาวโรมันประทับอยู่ในพระราชวังบนภูเขาศิโยน โดยพระดำรัสอันแน่นอนของพระเจ้าพระคริสต์เจ้าเสด็จมาบังเกิดแล้ว {DA 103.1}
การบรรยายของอิสยาห์ด้วยความปลื้มปิติที่กล่าวถึงพระสิริของพระเมสสิยาห์นั้นเป็นบทเรียนของยอห์นตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน พระองค์ทรงเป็นกิ่งจากรากของเจสซี ทรงเป็นจอมราชันเพื่อปกครองในความชอบธรรม “ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม” ทรงเป็น “ที่คุ้มกันจากพายุฝน. . . .เหมือนร่มเงาของศิลามหึมาในแผ่นดินที่แห้งแล้ง” ชนชาติอิสราเอลจะไม่ถูกขนานนามว่าเป็นที่ “ถูกทอดทิ้ง” หรือดินแดน “ทิ้งร้าง” แต่พระเจ้าจะทรงเรียกเขาว่า “ความปีติยินดีของเรา” และเรียกแผ่นดินของเขาว่า “เบอูลาห์ (แต่งงานแล้ว)” หัวใจของคนที่ถูกเนรเทศ โดดเดี่ยวเปี่ยมล้นด้วยนิมิตแห่งสง่าราศี {DA 103.2}
เขามองไปยังพระเจ้าพระราชาในความสง่างามของพระองค์และเขาก็ลืมตัวเอง เขามองไปยังความยิ่งใหญ่แห่งความบริสุทธิ์และรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสามารถและไร้คุณค่า เขาพร้อมที่จะก้าวออกไปในฐานะผู้สื่อข่าวของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ โดยไม่ได้รับความเคารพจากมนุษย์ เพราะเขามองไปยังพระเจ้า เขายืนตัวตรงและไม่หวาดกลัวต่อเบื้องพระพักตร์กษัตริย์ทางฝ่ายโลก เพราะเขากราบลงต่ำอยู่เบื้องพระพักตร์พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง {DA 103.3}
ยอห์นไม่เข้าใจลักษณะอาณาจักรของพระเมสสิยาห์อย่างถ่องแท้ เขามองหาทางเพื่อการช่วยกู้ชนชาติอิสราเอลให้หลุดพ้นจากศัตรูระดับชาติ แต่การเสด็จมาของพระผู้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งความชอบธรรมและการจัดตั้งชนชาติอิสราเอลให้เป็นอาณาจักรบริสุทธิ์เป็นเป้าหมายยิ่งใหญ่แห่งความหวังของเขา ดังนั้น เขาเชื่อว่าเมื่อเขาเกิดคำพยากรณ์ที่ให้ไว้จะสำเร็จ
“และทรงระลึกถึงพันธสัญญาบริสุทธิ์ของพระองค์. . . .
เมื่อเราพ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรูแล้ว
จะโปรดให้เราปรนนิบัติพระองค์โดยปราศจากความกลัว
ด้วยความบริสุทธิ์และด้วยความชอบธรรม
เฉพาะพระพักตร์พระองค์ตลอดชีวิต” {DA 103.4}
เขามองเห็นประชาชนของเขาถูกหลอก พึงพอใจในตนเองและหลับอยู่ในบาปของพวกตน เขาหวังที่จะปลุกพวกเขาเพื่อก้าวขึ้นไปให้ถึงชีวิตที่บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ข่าวสารที่พระเจ้าประทานให้เขาประกาศนั้นมุ่งหวังที่จะปลุกพวกเขาให้ตื่นจากความเกียจคร้านและทำให้พวกเขาสั่นกลัวอันเนื่องจากความชั่วร้ายยิ่งใหญ่ของพวกเขา ก่อนที่เมล็ดแห่งพระกิตติคุณจะพบที่ฝังราก ดินแห่งจิตใจจะต้องแตกสลาย ก่อนที่พวกเขาจะแสวงหาเพื่อให้พระเยซูทรงรักษาพวกเขา พวกเขาจะต้องถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากภัยอันตรายของบาดแผลแห่งความบาป {DA 103.5}
พระเจ้าไม่ทรงส่งผู้สื่อสารเพื่อยกยอปอปั้นคนบาป พระองค์ไม่ประทานข่าวสารสันติสุขเพื่อกล่อมคนไม่บริสุทธิ์ให้เข้าไปอยู่ในความมั่นคงแห่งความตาย พระองค์ทรงวางภาระหนักไว้บนจิตใต้สำนึกของผู้กระทำผิด และทิ่มแทงจิตวิญญาณด้วยธนูแห่งความสำนึกผิดชอบ ทูตสวรรค์ผู้ปรนนิบัติรับใช้นำเสนอให้เขาเห็นถึงการพิพากษาอันน่ากลัวของพระเจ้าเพื่อให้เขาซาบซึ้งถึงความต้องการและเร่งเร้าให้เขาร้องขึ้นว่า “ข้าพเจ้าต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับความรอด?” แล้วพระหัตถ์ที่ถ่อมลงในผงคลียกชูผู้สำนึกผิดนั้นขึ้น เสียงร้องที่ประณามบาปและทำให้ความหยิ่งยโสและความทะเยอทะยานละอายใจถามขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ท่านปรารถนาจะให้เราทำอะไรแก่ท่าน?” {DA 104.1}
ในช่วงที่ยอห์นเริ่มพันธกิจนั้น ประเทศชาติของพวกเขาตกอยู่ในสภาพของความตื่นตระหนกและความไม่พอใจจนเข้าขั้นจลาจล เมื่ออารเคลาอัสถูกปลด ประเทศยูเดียตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของอำนาจโรมโดยตรง การกดขี่ข่มเหงและการขูดรีดของบรรดาผู้ปกครองชาวโรมันและความมุ่งมั่นในการนำสัญลักษณ์และประเพณีนอกศาสนาเข้ามาเป็นจุดกระตุ้นการจลาจล ซึ่งยุติลงด้วยเลือดของผู้กล้าหาญที่สุดแห่งชนชาติอิสราเอลนับพันคน เรื่องทั้งหมดนี้สร้างความโกรธแค้นอย่างรุนแรงในระดับชาติต่อโรมและความหวังเพื่อให้หลุดพ้นจากอำนาจของเธอก็เพิ่มมากขึ้น {DA 104.2}
ท่ามกลางความขัดแย้งและความสับสนอลหม่าน มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในถิ่นทุรกันดาร เป็นเสียงที่ทำให้สะดุ้งและเข้มงวดกวดขันแต่กระนั้นเป็นเสียงที่ให้ความหวัง “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” ด้วยพลังใหม่ที่ประหลาด ข่าวนี้ขับเคลื่อนประชาชน ผู้เผยพระวจนะพยากรณ์ไว้ว่าการเสด็จมาของพระคริสต์เป็นเหตุการณ์ในอนาคตที่ห่างไกล แต่บัดนี้มีคำประกาศว่าการเสด็จมานั้นใกล้มถึงตัวแล้ว การปรากฏตัวอย่างโดดเดียวของยอห์นทำให้จิตใจของผู้ฟังหวนนึกถึงผู้เผยพระวจนะสมัยโบราณ ท่าทางและการแต่งกายของเขามีลักษณะคล้ายผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ เขาประณามความเสื่อมโทรมของชาติและตำหนิบาปที่มีอยู่อย่างแพร่หลายด้วยจิตวิญญาณและพลังอำนาจของเอลียาห์ คำพูดของเขาเรียบง่าย เจาะจงและน่าเชื่อถือ หลายคนเชื่อว่าเขาเป็นผู้เผยพระวจนะที่กลับเป็นขึ้นจากความตาย คนทั้งประเทศถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ฝูงชนจำนวนมากหลั่งไหลไปยังถิ่นทุรกันดาร {DA 104.3}
ยอห์นประกาศการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์และเรียกร้องให้ประชาชนทั้งหลายกลับใจ เขาให้พวกเขารับบัพติศมาในแม่น้ำจอร์เดนเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการชำระบาป ด้วยบทเรียนอันมีความหมายที่สำคัญเช่นนี้เขาประกาศว่าผู้ที่อ้างว่าตนเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนั้นเปรอะเปื้อนด้วยบาปและหากจิตใจและชีวิตไม่ได้รับการชำระ พวกเขาจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเมสสิยาห์ {DA 104.4}
พวกขุนนางและพวกธรรมาจารย์ ทหาร คนเก็บภาษีและชาวนาทั้งหลายต่างเข้ามาฟังผู้เผยพระวจนะท่านนี้ ชั่วขณะหนึ่งข่าวคำเตือนอันเคร่งขรึมจากพระเจ้าทำให้พวกตื่นตระหนก หลายคนกลับใจและรับบัพติศมา คนจากทุกระดับชั้นอาชีพยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องของผู้ให้บัพติสมา เพื่อเข้าไปร่วมอาณาจักรที่เขาประกาศ {DA 105.1}
พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีมากมายเข้ามาสารภาพบาปและขอรับบัพติสมา พวกเขายกตนขึ้นเหนือคนอื่นๆ และนำคนให้ยกย่องความเคร่งครัดในศาสนาของพวกเขาเอง บัดนี้ความผิดเร้นลับในชีวิตของพวกเขาถูกเปิดเผย แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจยอห์นว่า คนมากมายเหล่านี้ไม่ได้สำนึกในบาปอย่างจริงใจ พวกเขาเป็นนักฉวยโอกาส ในฐานะมิตรของผู้เผยพระวจนะ พวกเขาหวังที่จะได้รับความชื่นชอบของเจ้าชายผู้จะเสด็จมา และโดยการขอรับบัพติศมาจากมือของอาจารย์หนุ่มผู้โด่งดังท่านนี้ พวกเขาคิดที่จะแผ่อิทธิพลในท่ามกลางประชาชนทั้งหลาย {DA 105.2}
ยอห์นเผชิญหน้าพวกเขาด้วยคำถามอันน่ากลัวว่า “พวกชาติงูร้าย ใครเตือนพวกท่านหนีจากพระพิโรธที่จะมานั้น เพราะฉะนั้นจงเกิดผลให้สมกับการกลับใจ อย่าทึกทักว่าตัวเองมีอับราฮัมเป็นบรรพบุรุษ เพราะข้าพเจ้าบอกพวกท่านว่า พระเจ้าทรงสามารถให้บุตรแก่อับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้” {DA 105.3}
ชาวยิวแปลความหมายพระสัญญาของพระเจ้าชนชาติอิสราเอลได้รับความโปรดปรานอันเป็นนิรันดร์ผิดไป “พระยาห์เวห์ผู้ทรงให้ดวงอาทิตย์เป็นแสงสว่างตอนกลางวัน และทรงให้กฎเกณฑ์แก่ดวงจันทร์ และทรงให้บรรดาดวงดาวเป็นแสงสว่างตอนกลางคืน ผู้ทรงกวนทะเลให้คลื่นกำเริบ พระนามของพระองค์ คือพระยาห์เวห์จอมทัพ ตรัสดังนี้ว่า ‘หากระเบียบตายตัวนี้จะพรากไปจากหน้าเรา แล้วเชื้อสายของอิสราเอลจึงจะสิ้นสุดจากการเป็นชนชาติหนึ่งต่อหน้าเราเป็นนิตย์’ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘หากฟ้าสวรรค์เบื้องบนเป็นที่วัดได้ และรากฐานของพิภพเบื้องล่างเป็นที่ให้สำรวจได้ แล้วเราจึงจะปลดเชื้อสายทั้งสิ้นของอิสราเอลทิ้งไปเสีย เพราะทุกสิ่งซึ่งเขาได้ทำนั้น’ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” เยเรมีย์ 31 ข้อที่ 35-39 ชาวยิวถือว่าการสืบเชื้อสายจากอับราฮัมเป็นสิทธิเพื่ออ้างพระสัญญาข้อนี้ แต่พวกเขามองข้ามข้อกำหนดของพระเจ้า ก่อนจะประทานพระสัญญา พระองค์ตรัสไว้แล้วว่า “เราจะบรรจุธรรมบัญญัติไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของ. . . .เราจะให้อภัยความผิดบาปของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาอีกต่อไป” เยเรมีย์ 31 ข้อที่ 33, 34 {DA 106.1}
สำหรับจิตใจของผู้ที่มีพระบัญญัติของพระเจ้าจารึกไว้แล้วนั้นจะได้รับความมั่นใจถึงความโปรดปรานของพระเจ้า พวกเขาได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในพระองค์ แต่ชาวยิวแยกตัวเองออกจากพระเจ้าแล้ว เพราะบาปพวกเขาตกสู่ความทุกข์ภายใต้การพิพากษาของพระองค์ นี่เป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาตกเป็นทาสของชนชาตินอกศาสนา การล่วงละเมิดทำให้จิตใจของพวกเขามืดบอดไปเพราะในอดีตพระยาห์เวห์ทรงโปรดปรานพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาแก้ตัวให้กับการทำบาป พวกเขายกยอปอปั้นว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่นและเป็นผู้มีสิทธิรับพระพรของพระองค์ {DA 106.2}
สิ่งเหล่านี้ “ได้เขียนไว้เพื่อเตือนสติเราผู้ซึ่งมาถึงวาระสุดท้ายของยุคนี้แล้ว” 1 โครินธ์ 10 ข้อที่ 11 บ่อยครั้งเพียงไรที่เราตีความหมายเรื่องพระพรของพระเจ้าผิดไปและอวดตัวว่าเราเองเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าอันสืบเนื่องจากความดีบางประการในตัวเรา! พระเจ้าไม่อาจประกอบกิจเพื่อเราในสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ได้ เราใช้ของประทานของพระองค์ไปเพิ่มความพึงพอใจในตนเองและทำให้ใจของเราแข็งกระด้างด้วยความไม่เชื่อและบาป {DA 106.3}
ยอห์นเปิดเผยให้ครูทั้งหลายของชนชาติอิสราเอลทราบว่า ความหยิ่งยโส ความเห็นแก่ตัวและความทารุณเหี้ยมโหดของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นชาติงูร้ายแทนที่จะเป็นบุตรของอับราฮัมผู้ชอบธรรมและผู้เชื่อฟังซึ่งเป็นคำสาปแช่งอันโหดร้ายต่อประชาชนทั้งหลาย เมื่อคำนึงถึงแสงสว่างที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้าแล้ว พวกเขาตกอยู่ในสภาพที่แย่กว่าคนนอกศาสนาที่พวกเขาคิดว่าตนเองเหนือกว่าเสียอีก พวกเขาลืมไปแล้วว่าถูกตัดออกมาจากหินก้อนใดและขุดออกมาจากหลุมบ่อลึกใด พระเจ้าไม่ทรงต้องพึ่งพวกเขาเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ พระองค์ทรงเรียกอับราฮัมจากคนนอกศาสนาอย่างไร พระองค์ทรงเรียกผู้อื่นๆ เพื่อเข้ามารับใช้ของพระองค์ได้เหมือนกัน ดูเสมือนว่าใจของพวกเขาปราศจากชีวิตเหมือนหินของทะเลทราย แต่พระวิญญาณของพระองค์ทรงกระตุ้นให้พวกเขากระทำตามพระประสงค์และให้รับพระสัญญาที่สำเร็จแล้วของพระองค์ {DA 106.4}
ผู้เผยพระวจนะกล่าวต่อไปว่า “บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องถูกตัดแล้วโยนทิ้งในกองไฟ” คุณค่าของต้นไม้ไม่ได้กำหนดด้วยชื่อแต่ด้วยผลของมัน หากต้นไม้เกิดผลที่ไร้ค่า ชื่อของมันก็ไม่อาจช่วยต้นไม้จากการถูกทำลาย ยอห์นประกาศให้ชาวยิวทราบว่า ฐานะของพวกเขาจำเพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นถูกกำหนดด้วยลักษณะอุปนิสัยและชีวิต ตำแหน่งอาชีพการงานไม่มีค่า หากชีวิตและลักษณะอุปนิสัยของพวกเขาไม่ประสานเข้ากันเป็นหนึ่งกับพระบัญญัติของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ใช่ประชากรของพระองค์ {DA 107.1}
ด้วยคำพูดของเขาที่ตรวจสอบหัวใจ ผู้ฟังสำนึกในความผิด พวกเขาเข้ามาหายอห์นด้วยคำถามว่า “เราจะต้องทำอย่างไร?” ยอห์นจึงตอบว่า “ใครมีเสื้อสองตัวจงแบ่งปันให้แก่คนที่ไม่มี และใครมีอาหารก็จงทำเหมือนกัน” เขาเตือนคนเก็บภาษีในเรื่องความไม่ยุติธรรมและเตือนทหารในเรื่องความรุนแรง {DA 107.2}
ยอห์นกล่าวต่อไปว่า ทุกคนที่เข้าร่วมเป็นพลเมืองในแผ่นดินของพระคริสต์จะต้องแสดงให้เห็นถึงความเชื่อและการกลับใจ ในชีวิตของพวกเขาจะต้องแสดงออกให้เห็นถึงความเมตตา ความสุจริตและความจงรักภักดี พวกเขาจะต้องช่วยคนยากจนและนำเครื่องบูชาถวายพระเจ้า พวกเขาต้องปกป้องผู้ที่ไม่มีทางช่วยเหลือตัวเองและเป็นแบบอย่างของความดีและความเห็นใจ ผู้ติดตามพระคริสต์ก็ควรแสดงออกให้เห็นถึงอำนาจการเปลี่ยนแปลงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะต้องให้เห็นถึงความยุติธรรม ความเมตตาและความรักของพระเจ้าในชีวิตประจำวัน ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะเป็นแกลบที่โยนทิ้งลงในไฟ {DA 107.3}
“ข้าพเจ้าให้ท่านรับบัพติศมาด้วยน้ำ” ยอห์นกล่าว “แสดงว่ากลับใจใหม่ก็จริง แต่พระองค์ผู้จะมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะถือฉลองพระบาทของพระองค์ พระองค์จะทรงให้พวกท่านรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยไฟ” มัทธิว 3 ข้อที่ 11 ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ประกาศว่าพระเจ้าจะทรงชำระความผิดบาปจากประชากรของพระองค์ “ด้วยวิญญาณแห่งการพิพากษาและวิญญาณแห่งการเผาไหม้” พระดำรัสของพระเจ้าตรัสกับอิสราเอลว่า “เราจะหันมือของเรามาสู้เจ้า เราจะถลุงไล่ขี้แร่ของเจ้าออกเหมือนล้างด้วยน้ำด่าง เราจะเอาสิ่งเจือปนของเจ้าออกให้หมด” อิสยาห์ 4 ข้อที่ 4; 1 ข้อที่ 25 ไม่ว่าจะพบบาปที่ใด “พระเจ้าของเรานั้นทรงเป็นเพลิงที่เผาผลาญ” ฮีบรู 12 ข้อที่ 29 ทุกคนที่ยอมจำนนต่ออำนาจของพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณของพระองค์จะเผาบาปไป แต่หากมนุษย์ยึดติดอยู่กับบาป พวกเขาจะหลอมละลายกับบาปให้เป็นเนื้อเดียวกัน และแล้วพระสิริของพระเจ้าซึ่งทำลายบาปจะทำลายพวกเขาไปด้วย หลังจากยาโคบปล้ำสู้กับพระผู้ทรงเป็นทูตสวรรค์ทั้งคืนแล้ว เขาอุทานขึ้นมาว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าต่อหน้าข้าพเจ้า แล้วพระองค์ทรงไว้ชีวิตข้าพเจ้า” ปฐมกาล 32 ข้อที่ 30 ยาโคบทำบาปยิ่งใหญ่ด้วยวิธีของเขาในการปฏิบัติต่อเอซาว แต่เขากลับใจใหม่แล้ว การล่วงละเมิดของเขาได้รับการอภัย และบาปของเขาถูกชำระให้สะอาดแล้ว ดังนั้นเขาจึงทนอยู่ได้เมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์เองต่อหน้าเขา แต่ที่ไม่ว่ามนุษย์จะเข้าเฝ้าพระเจ้า ณ ที่ใดก็ตาม พวกเขายังจงใจหวงแหนความชั่วไว้ พวกเขาก็จะถูกทำลาย เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา คนชั่วจะถูกเผาด้วย “ลมพระโอษฐ์ของพระองค์” และทำลายด้วย “การเสด็จมาอันรุ่งโรจน์ของพระองค์” 2 เธสะโลนิกา 2 ข้อที่ 8 แสงแห่งพระสิริของพระเจ้าซึ่งประทานชีวิตแก่ผู้ชอบธรรมจะสังหารคนอธรรม {DA 107.4}
ในสมัยของยอห์นผู้ให้บัพติศมา พระคริสต์ใกล้จะเสด็จมาปรากฏในฐานะผู้เปิดเผยพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า การปรากฎตัวของพระองค์เองจะทำให้มนุษย์มองเห็นบาปของตนเอง หากเพียงแต่พวกเขายินยอมที่จะรับการชำระจากบาปเท่านั้น พวกเขาก็จะเข้าร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ได้ บุคคลที่มีใจบริสุทธิ์เท่านั้นที่อยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ {DA 108.1}
ด้วยประการฉะนี้ผู้ให้บัพติศมาประกาศข่าวของพระเจ้าให้แก่ชนชาติอิสราเอล หลายคนตอบสนองคำสอนของเขา หลายคนยอมสละทุกสิ่งเพื่อเชื่อปฏิบัติตาม ฝูงชนจำนวนมากติดตามครูใหม่ไปยังสถานที่ต่างๆ มีคนไม่น้อยเก็บถนอมความหวังว่าท่านอาจเป็นพระเมสสิยาห์ แต่ขณะที่ยอห์นเห็นคนทั้งหลายหันมาหาเขา เขาหาทุกโอกาสเพื่อหันเหความเชื่อของพวกเขาให้มุ่งไปยังพระองค์ผู้ทรงกำลังเสด็จมา {DA 108.2}
*********