บทที่ 20

ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ท่านก็จะไม่เชื่อ

อ้างอิงจาก ยอห์น 4 ข้อที่ 43-54


ชาวกาลิลีที่กลับจากการเข้าร่วมเทศกาลปัสกานำรายงานเรื่องพระราชกิจอัศจรรย์ของพระเยซูกลับมาด้วย  การที่ผู้ทรงเกียรติในกรุงเยรูซาเล็มพิพากษาพระราชกิจของพระองค์ได้เปิดโอกาศให้กับพระองค์ในแคว้นกาลิลี  หลายคนโอดครวญถึงการใช้พระวิหารในทางที่ผิดรวมทั้งความโลภและการแสดงอย่างโอ้อวดของพวกปุโรหิต  พวกเขาหวังว่าพระผู้ทรงเป็นมนุษย์พระองค์นี้ที่ทรงทำให้ผู้นำทั้งหลายหนีกระเจิงไปอาจเป็นพระผู้ช่วยกู้ที่พวกเขารอคอยด้วยความหวัง  บัดนี้ดูประหนึ่งว่าข่าวที่แพร่ออกไปนั้นจะยืนยันว่าวันแห่งการรอคอยด้วยความหวังอันเจิดจ้าที่สุดมาถึงแล้ว  มีรายงานว่าผู้เผยพระวจนะท่านนั้นยังทรงเปิดเผยว่าตนเป็นพระเมสสิยาห์ด้วย  {DA 196.1}        

แต่ชาวนาซาเร็ธไม่เชื่อพระองค์  ด้วยเหตุผลนี้ พระเยซูจึงไม่เสด็จไปเยี่ยมหมู่บ้านนาซาเร็ธขณะเสด็จพระราชดำเนินไปยังหมู่บ้านคานา  พระผู้ช่วยให้รอดตรัสบอกสาวกของพระองค์ว่าผู้เผยพระวจนะจะไม่ได้รับเกียรติในบ้านเมืองของตนเอง  มนุษย์ประเมินลักษณะอุปนิสัยจากสิ่งที่ตนเองซาบซึ้งได้เท่านั้น  คนที่มีความคิดคับแคบและโน้มเอียงไปทางโลกตัดสินพระคริสต์จากชาติกำเนิดอันต่ำต้อย ชุดอาภรณ์อันสมถะยากจนและงานตรากตรำประจำวัน  พวกเขาไม่ชื่นชอบกับความบริสุทธิ์ของวิญญาณจิตที่ปราศจากรอยด่างของบาป  {DA 196.2}   

ข่าวการเสด็จกลับไปยังหมู่บ้าคานาแพร่ไปทั่วแคว้นกาลิลีโดยเร็ว  เป็นข่าวที่ให้ความหวังแก่ผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากและความระทม  ข่าวดีนี้นำความชื่นชมยินดีไปให้กับข้าราชการชาวยิวคนหนึ่งที่เมืองคาเปอรนาอุมที่ปฏิบัติกิจในพระราชสำนักของพระมหากษัตริย์  บุตรชายคนหนึ่งของข้าราชการท่านนี้ป่วย  ดูปะหนึ่งว่าป่วยด้วยโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้  แพทย์หมดหนทางรักษาจึงปล่อยให้เขารอวันตาย  แต่เมื่อผู้เป็นพ่อได้ยินถึงเรื่องของพระเยซู เขาตัดสินใจไปขอให้พระองค์ช่วย  เด็กมีอาการอ่อนเพลียมากและต่างก็วิตกว่าเด็กนี้จะมีชีวิตอยู่รอดได้จนกว่าผู้เป็นพ่อจะกลับมาหรือไม่  แต่ถึงกระนั้นข้าราชการท่านนี้คิดว่าเขาควรนำเสนอเรื่องนี้ด้วยตัวเขาเอง  เขาหวังว่าคำทูลขอของผู้เป็นพ่ออาจปลุกความเห็นใจของแพทย์ผู้ประเสริฐยิ่งใหญ่พระองค์นี้  {DA 196.3}               

       เมื่อมาถึงหมู่บ้านคานา เขาพบฝูงชนขนาดใหญ่ล้อมพระเยซู  ด้วยความร้อนใจเขาเข้าไปถึงเบื้องพระพักตร์พระผู้ช่วยให้รอด  ความเชื่อของเขาสั่นคลอนเมื่อเขามองเห็นชายคนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อผ้าสมถะเรียบง่าย มีฝุ่นจับและเก่าจากการใส่เดินทาง  เขาสงสัยว่าบุรุษท่านนี้จะประกอบกิจอันใดตามคำทูลขอหรือไม่ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังขอเข้าเฝ้าพระเยซู เพื่อทูลพระองค์ถึงความในใจและร้องขอให้พระเยซูเสด็จไปบ้านพร้อมกับเขา  แต่ความทุกข์โศกของเขานั้นไปถึงพระเยซูแล้ว  ก่อนที่เขาจะออกเดินจากบ้าน พระผู้ช่วยทรงทอดพระเนตรความทุกข์ของเขาแล้ว  {DA 197.1}              

แต่พระองค์ทรงทราบด้วยว่าผู้เป็นพ่อได้ตั้งข้อแม้เรื่องความเชื่อในพระเยซูไว้ในความคิดของเขา  หากการร้องทูลขอของเขาไม่ได้รับการตอบสนองแล้ว เขาจะไม่ยอมรับพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์  ในขณะที่ข้าราชการรอคอยด้วยใจจดจ่ออย่างมีความทุกข์ พระเยซูตรัสว่า “ถ้าพวกท่านไม่เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ท่านก็จะไม่เชื่อ”  {DA 198.1}        

ทั้งๆ มีหลักฐานมากมายที่แสดงว่าพระเยซูคือพระคริสต์ แต่ผู้ที่ทูลขอก็ยังคงตั้งใจที่จะตั้งความเชื่อของเขาบนข้อแม้ของการได้รับคำตอบจากการทูลขอของเขาเอง  พระผู้ช่วยให้รอดทรงเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความสงสัยไม่เชื่อนี้กับความเชื่ออันเรียบง่ายของชาวสะมาเรียที่ไม่ได้ขอการอัศจรรย์หรือหมายสำคัญใดๆ  พระวจนะของพระองค์ที่ทรงเป็นหลักฐานยืนยันถึงการทรงเป็นพระเจ้าของพระองค์ตลอดกาลนั้นเป็นพลังอำนาจโน้มน้าวที่เข้าถึงจิตใจของพวกเขา  พระคริสต์ทรงปวดเร้าที่เห็นประชากรของพระองค์เองซึ่งได้รับพระคำอันศักดิ์สิทธิ์ปฏิเสธที่จะฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับพวกเขาในพระบุตรของพระองค์  {DA 198.2}             

แต่ถึงกระนั้น ข้าราชการท่านนี้ก็มีความเชื่ออยู่ระดับหนึ่ง เพราะเขาได้มาขอสิ่งที่ดูเสมือนหนึ่งว่าเป็นพระพรที่มีคุณค่าสำหรับเขามากที่สุด  พระเยซูทรงมีของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ที่จะประทานให้แก่เขา  พระเยซูทรงปรารถนาไม่เพียงแต่รักษาเด็กน้อยให้หายแต่ยังทรงหวังที่จะให้ข้าราชการและทุกคนในครอบครัวรับพระพรแห่งความรอดและจุดประกายแสงสว่างขึ้นที่เมืองคาเปอรนาอุมซึ่งอีกไม่ช้าจะเป็นพื้นที่สำหรับการปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์  แต่ข้าราชการท่านนี้จะต้องตระหนักถึงความต้องการของตนก่อนที่เขาจะหวังได้พระคุณของพระคริสต์  ข้าราชบริพารท่านนี้เป็นตัวแทนของคนจำนวนอีกมากมายในประเทศของเขา  พวกเขาสนใจพระเยซูด้วยเป้าหมายที่เห็นแก่ตัว  พวกเขาหวังที่จะได้รับประโยชน์พิเศษโดยผ่านอำนาจของพระองค์และเอาความหวังของพวกเขาตั้งเป็นเดิมพันไว้อยู่บนของประทานทางฝ่ายโลกแต่ไม่รู้สึกตัวถึงโรคทางฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเขาเองและมองไม่เห็นว่าต้องการพระคุณของพระเจ้า  {DA 198.3}         

       ดั่งแสงจ้าของดวงสว่าง พระดำรัสของพระเจ้าเปิดหัวใจของข้าราชการท่านนี้  เขามองเห็นว่าความตั้งใจของเขาที่แสวงหาพระเยซูนั้นเห็นแก่ตัว  ความเชื่อที่สั่นคลอนของเขาเผยให้เขาเห็นลักษณะอุปนิสัยที่แท้จริงของเขา  ด้วยความทุกข์ระทมที่สุดเขาสำนึกได้ว่า ความสงสัยของเขาอาจส่งผลเสียต่อชีวิตของบุตรชาย  เขาทราบดีว่าเขาเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรงอ่านความคิดและพระผู้ทรงกระทำทุกสิ่งได้  เขาร้องทูลอ้อนวอนด้วยความเจ็บปวดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอเสด็จไปก่อนที่ลูกน้อยของข้าพเจ้าจะตาย”  ความเชื่อของเขายึดพระคริสต์ไว้ เหมือนเช่นยาโคบที่ปล้ำสู้กับทูตสวรรค์และร้องขึ้นว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า"  ปฐมกาล 32 ข้อที่ 26  {DA 198.4}         

เขาได้รับชัยชนะเหมือนยาโคบ  พระผู้ช่วยเสด็จไม่เสดจไปจากจิตวิญญาณที่เข้ามายังพระองค์เพื่อร้องทูลขอความต้องการยิ่งใหญ่  “กลับไปเถิด” พระองค์ตรัส “ลูกของท่านจะไม่ตาย”  ข้าราชการทูลลาไปจากเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ช่วยด้วยสันติสุขและความสุขที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน  เขาไม่เพียงแต่เชื่อว่าบุตรชายของเขาจะหายจากความเจ็บป่วยแต่เขายังวางใจด้วยความเชื่อมั่นที่เข้มแข็งว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ไถ่   {DA 198.5}         

ในโมงเดียวกันนั้น ในบ้านที่เมืองคาเปอรนาอุม ผู้ที่พยาบาลเด็กน้อยเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันและแปลกประหลาด  เงาแห่งความตายถูกยกออกไปจากใบหน้าของผู้ที่ทุกข์ทรมานอยู๋  ความร้อนวูบวาบของไข้สูงหลีกทางให้กับแววแห่งความนุ่มนวลของสุขภาพดีที่กลับคืนมา  ดวงตาอันมัวหมองสว่างสดใสขึ้นด้วยปัญญาและเรี่ยวแรงที่กลับมาสู่ร่างอันอ่อนเปลี้ยเพลียแรง  ไม่มีร่องรอยของความเจ็บป่วยเหลืออยู่ในเด็กคนนี้ เนื้อตัวที่อ่อนแรงกลับนุ่มนวลและชุ่มชื่นขึ้นมา  แล้วเขาก็หลับไปในความเงียบ ไข้สูงลดลงในช่วงกลางวันที่ร้อนแผดเผา  คนในครอบครัวต่างอัศจรรย์ใจและชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง  {DA 199.1} 

หมู่บ้านคานาอยู่ไม่ไกลจากเมืองคาเปอรนาอุม ข้าราชการท่านนี้น่าจะกลับไปถึงบ้านในเย็นวันที่เขาเข้าเฝ้าพระเยซู  แต่เขาไม่ได้เร่งรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงเมืองคาเปอรนาอุมก็เป็นเช้าของวันรุ่งขึ้น  ช่างเป็นการกลับบ้านที่ยิ่งใหญ่เพียงไร!  เมื่อเขาเดินทางออกจากบ้านไปหาพระเยซู หัวใจของเขาหนักอึ้งด้วยความโศกเศร้า  ดูประหนึ่งว่าแสงอาทิตย์โหดร้ายต่อเขา  เสียงเพลงของหมู่วิหกเป็นเสียงเย้ยหยัน  บัดนี้ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากเพียงไร! ธรรมชาติทั้งปวงสวมลักษณะใหม่  เขามองด้วยดวงตาคู่ใหม่  ขณะที่เขาเดินทางในความสงบเงียบของยามเช้าตรู่ ธรรมชาติทั้งมวลดูประหนึ่งว่ากำลังสรรเสริญพระเจ้าร่วมกับเขา  ขณะที่เขายังอยู่ห่างจากบ้านนั้น พวกบ่าวต่างวิ่งเข้ามาหาเขา ตื่นเต้นที่จะรีบมาช่วยแบ่งเบาความกังวลที่พวกเขามั่นใจว่าเขามีอยู่  เขาไม่ได้แสดงออกถึงความแปลกใจในข่าวที่พวกบ่าวนำมา  เขาถามว่าเด็กอาการเริ่มดีขึ้นเวลาใด  ด้วยความสนใจอย่างสุดซึ้งที่พวกบ่าวไม่อาจเข้าใจได้ พวกเขาตอบว่า “ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง” ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่ความเชื่อของผู้เป็นพ่อยึดความมั่นใจไว้ “ลูกของท่านจะไม่ตาย” ความรักของพระเจ้าสัมผัสเด็กน้อยที่กำลังตาย  {DA 199.2}           

คุณพ่อรีบเร่งไปหาบุตรชาย  เขากอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมอกอย่างแน่นราวกับว่ากลับคืนมาจากความตายและขอบคุณพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าสำหรับการทรงรักษาให้หายจากความเจ็บป่วย  {DA 200.1}       

ข้าราชการท่านนี้หวังที่จะรู้จักพระคริสต์ให้มากขึ้น  ต่อมาเมื่อเขาเรียนรู้คำสอนของพระคริสต์มากขึ้นแล้วเขาและครอบครัวได้เข้ามาเป็นสาวก  ความทุกข์ลำบากของพวกเขาผ่านการชำระจนนำคนทั้งครอบครัวไปสู่การกลับใจ  ข่าวดีของการอัศจรรย์แพร่กระจายออกไปและที่เมืองคาเปอรนาอุมซึ่งมีการอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมายได้ปูทางไว้เพื่อพันธกิจส่วนบุคคลของพระคริสต์  {DA 200.2}                

พระองค์ผู้ประทานพระพรให้แก่ข้าราชการที่เมืองคาเปอรนาอุม ทรงมีพระประสงค์ใหญ่ยิ่งที่จะอวยพระพรพวกเราเช่นกัน  แต่เหมือนเช่นคุณพ่อของเด็กที่ป่วย บ่อยครั้งเรามักแสวงหาพระเยซูเพื่อหวังการตอบแทนด้วยสิ่งของทางฝ่ายโลกและเมื่อเราได้รับสิ่งที่เราทูลขอแล้ว เราจึงตั้งความหวังในความรักของพระองค์  พระผู้ช่วยทรงประสงค์ที่จะประทานพระพรยิ่งใหญ่กว่าที่เราขอและพระองค์ทรงชะลอตอบคำทูลขอของเราเพื่อพระองค์จะเปิดเผยให้เราเห็นความชั่วในใจของเราเองและความต้องการพระคุณของพระองค์ด้วยใจจดใจจ่อของเรา  พระองค์ทรงประสงค์ให้เราตัดความเห็นแก่ตัวที่นำเรามาแสวงหาพระองค์ทิ้งไป  ด้วยการสารภาพว่าเราหมดหนทางแล้วและขาดแคลนอย่างระทมใจ เราต้องมอบถวายความวางใจทั้งหมดไว้ในความรักของพระองค์  {DA 200.3}                

ข้าราชการท่านนี้ต้องการเห็นคำอธิษฐานของเขาได้รับคำตอบก่อนที่เขาจะเชื่อ  แต่เขาจะต้องยอมรับพระดำรัสของพระเยซูว่าคำทูลขอของเขาได้ทรงโปรดสดับและพระพรได้ประทานให้แล้ว  บทเรียนนี้เราจะต้องเรียนด้วยเช่นกัน  ไม่ใช่เป็นเพราะเราเห็นหรือรู้สึกว่าพระเจ้าสดับฟังการทูลของเราแล้วที่เราจะเชื่อ  เราจะต้องวางใจในพระสัญญาของพระองค์  เมื่อเราเข้ามาเฝ้าพระองค์ด้วยความเชื่อ ทุกการทูลขอของเราจะไปถึงพระหทัยของพระเจ้า  เมื่อเราได้ทูลขอพระพรของพระองค์แล้ว เราจะต้องเชื่อว่าเราได้รับแล้วและขอบพระคุณพระองค์ว่าเราได้รับแล้ว  แล้วเราจะทำภารกิจด้วยความมั่นใจว่าจะได้พระพรนั้นในเวลาที่เราต้องการมากที่สุด  เมื่อเราเรียนรู้ที่จะกระทำเช่นนี้เราจะมั่นใจว่าคำอธิษฐานของเราได้รับคำตอบแล้ว  พระเจ้าทรง “ทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่า” “ตามพระสิริอันอุดมของพระองค์”และ “การทำกิจอันทรงอานุภาพและทรงพลังของพระองค์”  เอเฟซัส 3 ข้อที่ 20, 16; 1 ข้อที่ 19 {DA 200.4}

********