บทที่ 26
ที่เมืองคาเปอรนาอุม
คาเปอรนาอุมเป็นเมืองที่พระเยซูประทับในระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินไปมา และเป็นเมืองที่เรียกกันทั่วไปว่า “เมืองของพระองค์” เมืองนี้ตั้งอยู่บนชายฝั่งของทะเลสาบกาลิลี และใกล้เขตแดนที่ราบอันสวยงามของเยนเนซาเรท ความจริงแล้วเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณนั้นเลยทีเดียว {DA 252.1}
ทะเลสาบน้ำลึกทำให้ที่ราบรอบชายฝั่งมีภูมิอากาศอบอุ่นเหมือนภูมิอากาศของทางตอนใต้ ในสมัยของพระคริสต์ตรงบริเวณนี้มีต้นปาล์มและต้นมะกอกขึ้นอย่างอุดมสมบูรณ์ มีสวนผลไม้และสวนองุ่น ทุ่งหญ้าเขียวขจี และดอกไม้สีสดใสเบ่งบานอย่างอุดมสมบูรณ์ ต้นพืชทั้งหมดนี้ได้น้ำน้ำจากลำธารไหลอย่างมีชีวิตชีวาที่พุ่งออกมาจากหน้าผา ชายฝั่งของทะเลสาบและเนินเขาห่างออกไปที่ล้อมอยู่รอบมีหมู่บ้านกระจายอยู่รอบบริเวณนั้น ทะเลสาบเต็มไปด้วยเรือประมง ทุกแห่งหนล้วนเต็มไปด้วยกิจกรรมอย่างมีชีวิตชีวา {DA 252.2}
ตัวเมืองคาเปอรนาอุมเองเหมาะที่จะเป็นศูนย์กลางของการทรงงานของพระผู้ช่วยให้รอด เนื่องจากอยู่ตรงทางหลวงจากเมืองดามัสกัสไปยังกรุงเยรูซาเล็มและประเทศอียิปต์และไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จึงเป็นทางสัญจรที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนจากหลายประเทศต่างเดินทางผ่านเมืองหรือหยุดพักในระหว่างการเดินทางไปมา ณ ที่นี่เองพระเยซูพบกับคนทุกชาติและทุกชนชั้น เศรษฐีและผู้ยิ่งใหญ่รวมทั้งคนยากจนและคนที่ต่ำต้อย และบทเรียนของพระองค์จะถูกนำไปยังประเทศอื่นและไปยังครัวเรือนจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้การศึกษาวิเคราะห์คำพยากรณ์จึงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น ความสนใจจะมุ่งตรงไปยังพระผู้ช่วยให้รอดและพันธกิจของพระองค์จะถูกนำขึ้นเสนอต่อหน้าชาวโลก {DA 252.3}
แม้ว่าสภาซันเฮดรินจะต่อต้านพระเยซูก็ตาม ประชาชนต่างเฝ้ารอคอยการพัฒนาพันธกิจของพระองค์ด้วยใจจดจ่อ ทั่วทั้งสวรรค์ต่างเคลื่อนไหวด้วยความสนใจ ทูตสวรรค์ต่างเตรียมทางให้กับการปฏิบัติกิจของพระองค์ คอยขับเคลื่อนในหัวใจของมนุษย์และนำพาพวกเขาเข้าหาพระผู้ช่วยให้รอด {DA 253.1}
ที่เมืองคาเปอรนาอุม ลูกชายของขุนนางที่พระคริสต์ทรงรักษาให้หายนั้นเป็นพยานถึงอำนาจของพระองค์ และเจ้าหน้าที่ของสำนักและครอบครัวของเขาเป็นพยานถึงความเชื่อของพวกเขาด้วยความชื่นชมยินดี เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่าพระอาจารย์เองเสด็จมาประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา ทั้งเมืองถูกปลุกให้ตื่น ฝูงชนแห่กันไปเข้าเฝ้าพระองค์ ในวันสะบาโตประชาชนเข้ามาเบียดเสียดในธรรมศาลาจนคนจำนวนมากต้องถอยกลับไปเพราะหาทางเข้าไม่ได้ {DA 253.2}
ทุกคนที่ได้ยินพระผู้ช่วยให้รอด "ก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสอนของพระองค์ เพราะพระดำรัสของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ" "พระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา" ลูกา 4 ข้อที่ 32; มัทธิว 7 ข้อที่ 29 คำสอนของพวกธรรมาจารย์และผู้ปกครองนั้นเยือกเย็นและเป็นทางการเหมือนท่องตามบท สำหรับพวกเขาแล้ว พระวจนะของพระเจ้าไม่มีฤทธิ์อำนาจใด แนวคิดและประเพณีของพวกเขาเองเข้าแทนที่คำสอนของพระเจ้า พวกเขาทำตัวว่าอธิบายธรรมบัญญัติได้ด้วยความคุ้นเคยกับพิธีกรรมที่ทำอยู่เป็นประจำ แต่ใจของพวกเขาเองหรือของผู้อื่นไม่ได้รับการกระตุ้นใจจาการทรงดลใจของพระเจ้า {DA 253.3}
พระเยซูไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องความขัดแย้งต่างๆ ในท่ามกลางชาวยิว การนำเสนอความจริงเป็นพระราชกิจของพระองค์ พระดำรัสของพระองค์ส่องแสงลงมายังคำสอนของเหล่าบรรพชนและผู้เผยพระวจนะและพระคัมภีร์มาถึงมนุษย์ด้วยการเปิดเผยใหม่ ผู้ฟังของพระองค์ไม่เคยเข้าใจความหมายพระวจนะของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน {DA 253.4}
พระเยซูทรงเข้าหาประชาชนในจุดที่พวกเขาเป็นอยู่ ในฐานะผู้ทรงคุ้นเคยกับความความกังวลใจของพวกเขา พระองค์ทรงทำให้ความจริงงดงามด้วยการนำเสนออย่างตรงไปตรงมาและอย่างเรียบง่าย ภาษาของพระองค์บริสุทธิ์ ละเอียดและชัดเจนเหมือนสายน้ำไหล พระสุรเสียงเป็นดั่งเสียงดนตรีสำหรับผู้ที่เคยฟังเสียงที่น่าเบื่อของพวกธรรมาจารย์ แต่ในขณะที่คำสอนของพระองค์เรียบง่าย พระองค์ตรัสอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ คุณลักษณะนี้ทำให้คำสอนของพระองค์แตกต่างจากคำสอนของคนอื่นทั้งหมด พวกธรรมาจารย์พูดด้วยความสงสัยและลังเลราวกับว่าจะตีความหมายของพระคัมภีร์ให้เป็นแบบหนึ่งหรือจะทำให้มีความหมายที่ตรงข้ามกับแบบแรกก็ได้ ผู้ฟังเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอนมากขึ้นทุกวัน แต่พระเยซูทรงสอนพระคัมภีร์ด้วยฤทธิ์อำนาจที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อเรื่องใด พระองค์ทรงนำเสนอด้วยฤทธิ์อำนาจราวกับว่าพระดำรัสของพระองค์ไม่อาจโต้แย้งได้ {DA 253.5}
กระนั้นพระองค์ตรัสอย่างจริงจังมากกว่าอย่างฉุนเฉียว พระองค์ตรัสดั่งผู้มีเป้าหมายแน่นอนที่จะต้องทำให้สำเร็จ พระองค์ทรงเผยให้เห็นภาพความเป็นจริงของโลกอันเป็นนิรันดร์ ทุกหัวข้อเปิดเผยให้เห็นถึงพระเจ้า พระเยซูทรงมุ่งหวังทำลายมนต์เสน่ห์แห่งความหลงใหลที่ทำให้มนุษย์หมกมุ่นอยู่กับสิ่งของทางโลก พระองค์ทรงจัดวางสิ่งต่างๆ ของชีวิตนี้ไว้ในความสัมพันธ์ที่ถูกต้องคือให้อยู่ภายใต้ผลประโยชน์ฝ่ายนิรันดร์ แต่พระองค์ไม่ทรงละเลยความสำคัญของสิ่งเหล่านี้ พระองค์ทรงสอนว่าสวรรค์และโลกเชื่อมโยงกัน และความรู้เรื่องความจริงของพระเจ้าได้เตรียมมนุษย์ให้พร้อมเพื่อทำหน้าที่ในชีวิตประจำวันได้ดียิ่งขึ้น พระองค์ตรัสเหมือนผู้ทรงคุ้นเคยกับสวรรค์ ทรงตระหนักถึงความสัมพันธ์ของพระองค์กับพระเจ้า แต่กระนั้นยังตระหนักถึงการทรงร่วมเป็นหนึ่งกับสมาชิกทุกคนในครอบครัวมนุษย์ {DA 254.1}
ข่าวสารแห่งความเมตตาของพระองค์นั้นหลากหลายเพื่อให้เหมาะกับผู้ฟังของพระองค์ พระองค์ทราบดีว่าจะ "ค้ำชูผู้อิดโรยด้วยถ้อยคำ" อย่างไร อิสยาห์ 50 ข้อที่ 4 เพราะพระคุณหลั่งลงบนริมพระโอษฐ์ของพระองค์เพื่อพระองค์จะทรงถ่ายทอดขุมทรัพย์แห่งความจริงแก่มนุษย์ด้วยวิธีที่น่าประทับใจที่สุด พระองค์ทรงมีไหวพริบประเสริฐเพื่อเผชิญหน้ากับความคิดอคติและทำให้พวกเขาประหลาดใจด้วยคำอธิบายที่ดึงดูดความสนใจ พระองค์ทรงเข้าถึงหัวใจด้วย คำอธิบายให้เห็นภาพต่างๆ ในชีวิตประจำวันและถึงแม้เป็นสิ่งของธรรมดาที่เรียบง่ายก็ตาม ทั้งหมดก็ให้ความหมายลึกซึ้ง นกในอากาศ ดอกไม้ในทุ่ง เมล็ดพืช คนเลี้ยงแกะและแกะ พระคริสต์ทรงใช้สื่อตัวแทนเหล่านี้อธิบายความจริงอมตะ และหลังจากนั้นตลอดไปเมื่อผู้ฟังของพระองค์มองไปยังสิ่งเหล่านี้ในธรรมชาติ พวกเขาก็จะหวนรำลึกถึงพระดำรัสของพระองค์ คำอธิบายของพระคริสต์สอนบทเรียนของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีก {DA 254.2}
พระคริสต์ไม่ทรงเคยยกยอปอปั้นมนุษย์คนใด พระองค์ไม่ทรงตรัสสิ่งใดเพื่อยกชูความเพ้อฝันและจินตนาการของพวกเขา พระองค์ไม่ทรงยกย่องสิ่งประดิษฐ์อันชาญฉลาดของพวกเขา แต่นักปรัชญาผู้ล้ำเลศที่ปราศจากอคติยอมรับคำสอนจากพระองค์และพบว่าคำสอนนั้นทดสอบปัญญาของพวกเขา พวกเขาประหลาดใจกับความจริงทางฝ่ายจิตวิญญาณที่แสดงออกด้วยภาพที่เรียบง่ายที่สุด คนมีการศึกษาสูงที่สุดต่างหลงใหลพระดำรัสของพระองค์ และคนที่ไม่ได้รับการศึกษาได้ประโยชน์เสมอ พระองค์ทรงมีข่าวสารสำหรับคนไร้การศึกษาและพระองค์ยังทรงทำให้คนต่างชาติเข้าใจว่าพระองค์ทรงมีข่าวสารสำหรับพวกเขาด้วย {DA 254.3}
ความเห็นใจอันอ่อนโยนพร้อมด้วยสัมผัสแห่งการรักษามาถึงหัวใจอิดโรยและเป็นทุกข์ แม้ท่ามกลางความวุ่นวายของศัตรูที่โกรธแค้นบรรยากาศแห่งความสงบสุขก็ยังล้อมรอบพระองค์ไว้ ความงดงามบนพระพักตร์ของพระองค์ ความน่ารักของพระลักษณะของพระองค์ เหนือสิ่งอื่นใดความรักที่แสดงออกทางรูปลักษณ์และน้ำเสียงชักนำคนไม่เชื่อทั้งหมดที่ใจไม่แข็งกระด้าง หากไม่ใช่วิญญาณจิตที่อ่อนหวานและเห็นอกเห็นใจที่ส่งประกายในทุกรูปลักษณ์ของทุกการแสดงออกและพระดำรัสแล้ว พระองค์คงไม่มีทางดึงดูดประชาชนขนาดใหญ่ที่เข้าร่วมชุมนุมกันเช่นนี้ได้ คนตกทุกข์ได้ยากที่เข้ามาเฝ้าพระองค์รู้สึกได้ว่าพระองค์ทรงเชื่อมโยงความสนใจของพระองค์กับพวกเขาในฐานะมิตรสหายอ่อนโยนและซื่อสัตย์ และพวกเขาปรารถนาอยากรู้ความจริงที่พระองค์ทรงสั่งสอนให้มากยิ่งขึ้น สวรรค์มาอยู่ใกล้กับพวกเขาแล้ว พวกเขาปรารถนาที่จะอยู่ใกล้พระองค์เพื่อความรักแห่งการปลอบประโลมใจจะอยู่กับพวกเขาตลอดไป {DA 254.4}
พระเยซูทอดพระเนตรสีหน้าของผู้ฟังที่เปลี่ยนไปอย่างจริงใจ ใบหน้าที่แสดงออกถึงความสนใจและความสุขใจนำความพึงพอพระทัยมาที่พระองค์อย่างมากยิ่ง ขณะที่ลูกศรแห่งความจริงเจาะทะลุผ่านจิตวิญญาณ ทำลายกำแพงขวางกั้นแห่งความเห็นแก่ตัวและดำเนินการสำนึกผิดและสำนึกในพระคุณได้ในที่สุด พระผู้ช่วยจะทรงปลื้มปีติ เมื่อพระเนตรของพระองค์ทรงกวาดไปยังฝูงชนที่ฟังพระองค์อยู่ และท่ามกลางคนเหล่านี้พระองค์ทรงจำใบหน้าของคนที่พระองค์เคยเห็นมาก่อน ทำให้สีพระพักตร์ของพระองค์แจ่มใสขึ้นมาด้วยความสุข พระองค์ทรงมองเห็นว่าพวกเขาคือประชากรในอาณาจักรของพระองค์ แต่เมื่อความจริงที่ตรัสออกไปอย่างตรงไปตรงมาสัมผัสวัตถุบูชาที่หลงใหลในใจ พระองค์ทรงมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปกลายเป็นเยือกเย็น เป็นใบหน้าที่แสดงออกถึงการปฏิเสธ ซึ่งบ่งบอกว่าแสงสว่างนั้นไม่เป็นที่ต้อนรับ เมื่อพระองค์ทรงเห็นมนุษย์ปฏิเสธข่าวสารแห่งสันติสุขพระหทัยของพระองค์ถูกทิ่มแทงทะลุเข้าไปถึงขั้วหัวใจ {DA 255.1}
ในธรรมศาลา พระเยซูตรัสถึงอาณาจักรที่พระองค์เสด็จมาจัดตั้ง พระองค์ตรัสถึงพันธกิจของการปลดปล่อยเชลยของซาตานให้เป็นอิสระ พระองค์ทรงถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกรีดร้องแห่งความหวาดกลัว คนบ้าคนหนึ่งวิ่งออกมาจากท่ามกลางผู้คนร้องว่า "พระเยซูชาวนาซาเร็ธ พระองค์มายุ่งกับเราทำไม? พระองค์จะมาทำลายเราหรือ? ข้ารู้ว่าพระองค์เป็นใคร พระองค์เป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า" {DA 255.2}
บัดนี้ มีแต่ความวุ่นวายสับสนและความตื่นตระหนก ความสนใจของประชาชนถูกเบี่ยงเบนไปจากพระคริสต์และไม่มีใครสนใจพระดำรัสของพระองค์ นี่คือจุดประสงค์ของซาตานในการนำเหยื่อของมันเข้าไปในธรรมศาลา แต่พระเยซูตรัสห้ามผีนั้นว่า "‘นิ่งเสีย จงออกมาจากตัวเขา’ ผีนั้นก็ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางฝูงชน แล้วก็ออกจากตัวเขา แต่ไม่ได้ทำอันตรายเขาเลย" {DA 255.3}
ซาตานทำให้จิตใจของผู้ตกทุกข์น่าสงสารเวทนาคนนี้มืดบอดไปแต่ต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้ช่วยให้รอดมีลำแสงแห่งความสว่างหนึ่งเจาะทะลุผ่านความมัวหมองนี้ แสงนี้ปลุกให้เขาปรารถนาอิสรภาพเพื่อหลุดพ้นจากการจองจำของซาตาน แต่มารต่อต้านอำนาจของพระคริสต์ เมื่อชายคนนี้พยายามอ้อนวอนทูลขอให้พระเยซูช่วย วิญญาณชั่วก็นำคำพูดมาใส่ในปากของเขาและเขาร้องขึ้นด้วยความกลัวอย่างทรมาน คนที่ถูกผีสิงพอเข้าใจว่าตนอยู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงปลดปล่อยให้เขามีอิสรภาพได้ แต่เมื่อเขาพยายามเข้ามาใกล้ให้อยู่ภายในเอื้อมพระหัตถ์ของพระองค์ ก็มีอีกความปรารถนาหนึ่งที่ครอบงำตัวเขาไว้และมีอีกคำพูดหนึ่งออกจากปากของเขา ความขัดแย้งระหว่างอำนาจของซาตานและความปรารถนาเสรีภาพของเขานั้นรุนแรง {DA 255.4}
พระองค์ผู้ทรงเอาชนะซาตานในถิ่นทุรกันดารแห่งการล่อลวงมาแล้วได้มาเผชิญตัวต่อตัวกับศัตรูของพระองค์อีกครั้ง มารลงแรงด้วยความพยายามทั้งหมดกุมเหยื่อของมันไว้ หากมันแพ้ที่นี่ก็หมายถึงการยกชัยชนะให้พระเยซู ดูประหนึ่งว่าคนที่ตกทุกข์อยู่ต้องเสียชีวิตในการดิ้นรนกับศัตรูที่ทำลายความเป็นมนุษย์ของเขาไป แต่พระผู้ช่วยตรัสด้วยฤทธิ์อำนาจและทรงปล่อยเหยื่อไปอย่างอิสระ ชายคนนั้นที่เคยถูกผีเข้าสิงยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนที่มึนงงด้วยความสุขที่หลุดพ้นจากการจองจำ แม้ผีมารยังเป็นพยานเห็นอำนานาจของพระเจ้าในพระผู้ช่วยให้รอด {DA 256.1}
ชายคนนั้นสรรเสริญพระเจ้าที่ได้รับการช่วยกู้แล้ว ดวงตาที่ไม่นานมานี้ลุกเป็นไฟจากความบ้าคลั่งนั้น บัดนี้ส่องประกายด้วยปัญญาของความฉลาดและเอ่อล้นด้วยน้ำตาขอบพระคุณ ประชาชนพูดไม่ออกด้วยความประหลาดใจ ทันทีที่พวกเขาอ้าปากพูดได้นั้น พวกเขาร้องอุทานโต้ตอบระหว่างกันว่า "นี่มันอะไรกัน ต้องเป็นคำสอนใหม่ที่ประกอบด้วยสิทธิอำนาจแน่ๆ เขาสั่งได้แม้แต่ผีโสโครกและพวกมันก็ยอมเชื่อฟังเขา” มาระโก 1 ข้อที่ 27 {DA 256.2}
สาเหตุอันเร้นลับของการตกทุกข์ระกำลำบากจนทำให้ชายคนนี้สร้างภาพแห่งความหวาดกลัวให้กับมิตรสหายและเป็นภาระให้กับตัวเขาเองนั้นเกิดจากการใช้ชีวิตของเขาเอง เขาลุ่มหลงอยู่กับความเพลิดเพลินของบาป และเคยคิดที่จะทำให้ชีวิตเป็นงานฉลองรื่นเริงยิ่งใหญ่ เขาคิดไม่ถึงว่าจะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนที่น่าหวาดกลัวต่อชาวโลกและนำความเสียหายมาให้กับครอบครัว เขาคิดว่าเวลาของเขานั้นทุ่มให้กับความโง่เขลาอย่างไร้เดียงสาได้ แต่ในทันใดที่เขาก้าวลงสู่ทางเดินที่ดิ่งลงต่ำ เท้าของเขามุ่งลงต่ำไปอย่างรวดเร็ว การควบคุมตนไม่ได้และความสนุกสนานบิดเบือนคุณลักษณะธรรมชาติอันประเสริฐของเขาไป และซาตานควบคุมเขาได้อย่างเต็มที่ {DA 256.3}
ความสำนึกผิดมาสายเกินไปแล้ว เมื่อเขายอมเสียเงินทองและความสุขสำราญเพื่อเอาความเป็นคนที่สูญไปกลับคืนมา เมื่อตกไปอยู่ในอำนาจการควบคุมของมารชั่วแล้วเขาก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้ว เขาวางตัวเองไปไว้ในดินแดนของศัตรู และซาตานครองตัวเขาทั้งหมด ผู้ล่อลวงนำเสนอเวทมนตร์ของขลังให้แก่เขามากมายแต่เมื่อชายน่าสังเวชคนนี้ตกไปอยู่ใต้อำนาจของมัน ปีศาจก็ไม่ยอมอ่อนข้อในความโหดเหี้ยมทารุณ ผลที่ได้คือความโกรธแค้นที่น่ากลัว ทุกคนที่ปล่อยตัวให้กับความชั่วก็จะเป็นเช่นนี้ ความเพลิดเพลิดอย่างลุ่มหลงของชีวิตในช่วงแรกเริ่มจะสิ้นสุดลงในความมืดแห่งความสิ้นหวังหรือความบ้าคลั่งของจิตวิญญาณที่ถูกทำลายไป {DA 256.4}
วิญญาณชั่วตนเดียวกันที่ล่อลวงพระคริสต์ในถิ่นทุรกันดารและสิงอยู่ในคนบ้าคลั่งแห่งเมืองคาเปอรนาอุมก็คอยควบคุมพวกยิวที่ไม่เชื่อ แต่กับพวกคนเหล่านี้ มารทำตัวเป็นคนเคร่งศาสนาและคอยหาทางหลอกพวกเขาเพื่อชักชวนให้พวกเขาปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด สภาพของพวกเขานั้นสิ้นหวังกว่าคนที่ถูกผีสิงเพราะพวกเขาไม่รู้สึกถึงความต้องการพระคริสต์และด้วยเหตุนี้อำนาจของซาตานจึงกุมพวกเขาไว้แน่น {DA 256.5}
ในช่วงเวลาที่พระคริสต์ทรงลงมือปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์นั้นเป็นเวลาที่อำนาจของอาณาจักรแห่งความมืดกระทำการอย่างขยันขันแข็งที่สุด เป็นเวลาหลายยุคมาแล้วที่ซาตานพร้อมด้วยสมุนชั่วของมันคอยหาทางควบคุมกายและใจของมนุษย์เพื่อนำบาปและความระทมทุกข์มาให้แก่พวกเขาและมันก็โทษความลำเค็ญทุกข์ยากทั้งหมดใส่พระเจ้า พระเยซูทรงเปิดเผยพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ พระองค์ทรงทำลายอำนาจของซาตานและทรงปล่อยเชลยของมันให้รับอิสรภาพ ชีวิตใหม่และความรักและพลังจากสวรรค์ขับเคลื่อนอยู่ในใจของมนุษย์และเจ้าชายแห่งความชั่วร้ายถูกปลุกให้ต่อสู้เพื่อคงอำนาจครอบครองความเป็นใหญ่ในอาณาจักรของมัน ซาตานระดมกองกำลังทั้งหมดของมันและโต้พระราชกิจของพระคริสต์ในทุกขั้นตอน {DA 257.1}
ในการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ขั้นสุดท้ายระหว่างความชอบธรรมและบาปก็จะเป็นเช่นนี้ ในขณะที่ชีวิตใหม่แสงสว่างและอำนาจหลั่งจากเบื้องบนลงมาบนสาวกทั้งหลายของพระคริสต์นั้น ชีวิตใหม่อีกอันก็ได้ผุดขึ้นมาจากเบื้องล่างและเพิ่มพลังให้กับตัวแทนของซาตาน เพิ่มพลังเข้มข้นกับทุกองค์ประกอบของโลก ด้วยความเฉียบแหลมที่ได้มาจากความขัดแย้งตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา เจ้าชายแห่งความชั่วทำงานภายใต้การปิดบังอำพราง มันแต่งกายเป็นทูตแห่งความสว่างและฝูงชน "หันไปเชื่อฟังวิญญาณทั้งหลายที่ล่อลวง และคำสอนของพวกผี” 1 ทิโมธี 4 ข้อที่ 1 {DA 257.2}
ในสมัยของพระคริสต์ผู้นำและครูทั้งหลายของชนชาติอิสราเอลไม่มีอำนาจต่อต้านการทำงานของซาตาน พวกเขาละเลยวิธีเดียวที่พวกเขาต้านทานวิญญาณชั่วร้ายได้ โดยพระวจนะของพระเจ้าพระคริสต์ทรงชนะผู้ชั่วร้ายมาแล้ว ผู้นำของอิสราเอลแสดงตนว่าเป็นผู้อธิบายพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาศึกษาพระวจนะนั้นเพียงเพื่อดำรงไว้ซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีของพวกเขาเท่านั้น และบงการให้ถือกฎระเบียบที่มนุษย์ทำขึ้นเอง ด้วยการตีความไปเองของพวกเขาแสดงออกถึงแนวคิดที่พระเจ้าไม่เคยประทานให้ พวกเขาปั้นแต่งเรื่องเวทมนตร์ของขลังขึ้นมาจนทำให้คำสอนอันชัดแจ้งของพระเจ้าคลุมเครือ พวกเขาโต้กันด้วยหลักวิชาที่ไม่สำคัญและปฏิเสธความจริงอันสำคัญที่สุด ด้วยประการฉะนี้ จึงประกาศคำสอนนอกรีตออกไปอย่างแพร่หลาย พวกเขาปล้นอำนาจในพระวจนะของพระเจ้าไปและวิญญาณชั่วทำงานตามความต้องการของพวกมัน {DA 257.3}
ประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยพระคัมภีร์ที่กางอยู่ต่อหน้าพวกเขาและการแสดงตนว่าเคารพคำสอน ผู้นำศาสนามากมายในยุคของเราทำลายความเชื่อของคนในพระวจนะของพระเจ้า พวกเขายุ่งอยู่กับการชำแหละพระคำและตั้งความคิดของตนไปอยู่เหนือคำสอนที่ชัดแจ้ง พระวจนะของพระเจ้าสูญเสียพลังของการสร้างชีวิตใหม่ในมือของพวกเขา นี่เป็นเหตุของการสอนนอกรีตวุ่นวายไปทั่ว และความชั่วกระจายไปอย่างแพร่หลาย {DA 258.1}
เมื่อซาตานบ่อนทำลายความเชื่อในพระคัมภีร์ได้แล้ว มันก็ชี้นำมนุษย์ให้ไปหาแหล่งของแสงและอำนาจอื่น เพื่อทำให้เป้าหมายนี้สำเร็จ ซาตานลงมือเองเพื่อหาวิธีสอนมนุษย์ คนทั้งหลายที่หันหน้าออกไปจากคำสอนที่ชัดแจ้งของพระคัมภีร์และอำนาจของพระวิญญาณของพระเจ้าที่ช่วยให้รู้แจ้งเรื่องของบาปแล้ว ก็กำลังต้อนรับมารปีศาจให้มาควบคุมชีวิตของเขา การวิจารณ์จับผิดและการสงสัยพระคัมภีร์เปิดทางให้กับลัทธิทรงวิญญาณและศาสนาที่ยึดหลักปรัชญาเทววิทยา ทั้งสองนี้คือรูปแบบศาสนาทันสมัยของลัทธินอกศาสนาสมัยโบราณที่พัฒนากันมาเพื่อเข้ายืดครองแม้กระทั่งคริสตจักรที่อ้างว่าเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้า {DA 258.2}
สื่อตัวแทนของวิญญาณหลอกลวงทำงานของมันเคียงข้างกับการประกาศกิตติคุณข่าวประเสริฐ หลายคนยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่เมื่อเห็นผลของการทำงานที่มากกว่าอำนาจของมนุษย์ เขาก็ถูกหลอกให้จมลึกเข้าไปเรื่อยๆ จนเขาถูกควบคุมด้วยอำนาจที่เหนือกว่าความตั้งใจของเขาเอง เขาหนีให้พ้นจากอำนาจลึกลับนี้ไม่ได้ {DA 258.3}
เมื่อแนวปกป้องของจิตวิญญาณพังทลายไปแล้ว เขาก็จะไม่มีแนวป้องกันบาปอีกต่อไป เมื่อคนหนึ่งปฏิเสธการเหนี่ยวรั้งของพระวจนะของพระเจ้าและพระวิญญาณของพระองค์ ไม่มีใครรู้ว่าเขาคนนั้นจะดิ่งลงต่ำไปถึงขนาดไหน บาปลับหรือกิเลสตัณหาร้ายแรงอาจยึดจับเขาเป็นเชลยจนเขาหมดหนทางช่วยเหลือตัวเองเหมือนอย่างคนที่ถูกผีสิงแห่งเมืองคาเปอรนาอุม แต่กระนั้นสภาพของเขาก็ยังไม่สิ้นหวัง {DA 258.4}
วิธีที่เราจะเอาชนะผู้ชั่วร้ายคือวิธีที่พระคริสต์ใช้เพื่อเอาชนะมันมาแล้ว นั่นคือการพึ่งในอำนาจของพระวจนะ หากเราไม่ยินยอมพระเจ้าจะเข้าควบคุมจิตใจของเราไม่ได้ แต่เมื่อเราปรารถนาที่จะรู้และทำตามพระประสงค์ของพระองค์ พระสัญญาของพระองค์จะเป็นของเรา "และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท" "ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง" ยอห์น 8 ข้อที่ 32; 7 ข้อที่ 17 โดยความเชื่อในพระสัญญาเหล่านี้ มนุษย์ทุกคนจะได้รับการช่วยให้หลุดพ้นจากกับดักของความผิดพลาดและการควบคุมของบาปได้ {DA 258.5}
มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือกว่าจะให้อำนาจใดปกครองอยู่เหนือเขา ไม่มีใครตกต่ำจนเกินไป ไม่มีใครชั่วช้าจนเกินไป แต่พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดในพระคริสต์ คนที่ถูกผีสิงพูดได้แต่คำของซาตานแทนคำอธิษฐาน แต่กระนั้น พระเจ้าทรงได้ยินคำทูลขอจากหัวใจที่ไม่เปล่งเป็นวาจา ไม่มีคำร้องขอจากจิตวิญญาณที่ต้องการความช่วยเหลือจะถูกมองข้ามถึงแม้จะไม่ได้พูดออกมาเป็นคำก็ตาม ผู้ที่ยอมเข้าสู่ความสัมพันธ์ร่วมทำพันธสัญญากับพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะไม่ถูกทอดทิ้งให้ตกเข้าไปอยู่ใต้อำนาจของซาตานหรือความอ่อนแอของธรรมชาติของตัวเขาเอง พระผู้ช่วยให้รอดทรงเชิญพวกเขาว่า "ให้มันยอมอยู่ใต้การปกป้องของเรา ให้มันสร้างสันติภาพกับเรา ให้มันสร้างสันติภาพกับเรา" อิสยาห์ 27 ข้อที่ 5 วิญญาณแห่งความมืดจะต่อสู้เพื่อวิญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ภายใต้การปกครองของพวกมัน แต่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะต่อสู้เพื่อวิญญาณเหล่านั้นด้วยอำนาจที่เหนือกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า "จะเอาเหยื่อไปจากนักรบได้หรือ? และจะช่วยเชลยของผู้กดขี่ให้หลุดได้หรือ? พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “แน่นอน แม้แต่เชลยของผู้มีกำลังก็จะต้องถูกเอาไป และเหยื่อของผู้น่ากลัวก็จะต้องช่วยให้หลุด เพราะเราเองจะต่อสู้กับผู้ต่อสู้เจ้า และเราเองจะช่วยบุตรทั้งหลายของเจ้าให้รอด" อิสยาห์ 49 ข้อที่ 24, 25 {DA 258.6}
ในขณะที่ชุมนุมชนในธรรมศาลายังคงตะลึงงันด้วยความเกรงขามอยู่นั้น พระเยซูเสด็จไปบ้านของเปโตรเพื่อพักสักเล็กน้อย แต่ที่นี่ก็มีเงาตกอยู่เหนือพวกเขาด้วยเช่นกัน แม่ของภรรยาเปโตนอนป่วยหนักมี "ไข้สูง" พระเยซูทรงประณามโรคและคนป่วยลุกขึ้นปรนนิบัติพระอาจารย์และสาวกของพระองค์ {DA 259.1}
ข่าวพระราชกิจของพระคริสต์แพร่สะพัดไปทั่วเมืองคาเปอรนาอุมอย่างรวดเร็ว ประชาชนต่างหวาดกลัวพวกธรรมาจารย์จึงไม่กล้าออกไปหาพระองค์เพื่อรับการรักษาในวันสะบาโต จนกระทั่งเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ความชุลมุนวุ่นวายเกิดขึ้นทันที ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมือง บ้างมาจากบ้าน ร้านรวง และจากตลาด ต่างมุ่งตรงไปยังบ้านอันต่ำต้อยที่พระเยซูทรงใช้เป็นที่พักพิง คนเจ็บป่วยถูกหามมาบนแคร่ บางคนใช้ไม้เท้ายันกายเดินโขยกเขยกมา บ้างก็มีเพื่อนช่วยพยุงมา พวกเขาเดินโซซัดโซเซด้วยความอ่อนล้ามาเฝ้ายังเบื้องพระพักตร์พระผู้ช่วยให้รอด {DA 259.2}
ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าที่พวกเขาพากันมาแล้วกลับไป เพราะไม่มีใครทราบว่าในวันรุ่งขึ้นจะยังมีโอกาสพบพระองค์ผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้รักษาอยู่กับพวกเขาอีกหรือไม่ ชาวเมืองคาเปอรนาอุมไม่เคยพบเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนวันนี้มาก่อน บรรยากาศต่างอบอวลไปด้วยเสียงโห่ร้องฉลองชัย และเสียงร้องด้วยความยินดีที่ได้รับการปลดปล่อยจากโรคภัยไข้เจ็บที่พวกเขาต้องเผชิญ พระผู้ช่วยให้รอดทรงเปี่ยมล้นด้วยความสุขที่พระองค์ทรงก่อให้เกิดขึ้นมา ในขณะที่ทรงมองเห็นความทุกข์ทรมานของคนที่เข้ามาเฝ้าพระองค์ พระหทัยของพระองค์ทรงปั่นป่วนด้วยพระเมตตาสงสาร และพระองค์ทรงชื่นชมยินดีในพลังอำนาจของพระองค์ที่ฟื้นฟูสุขภาพและความสุขให้กลับคืนสู่พวกเขา {DA 259.3}
พระเยซูจะไม่ทรงหยุดพักจากพระราชกิจจนกระทั่งทรงรักษาคนป่วยคนสุดท้ายให้หาย เป็นเวลาดึกมากเมื่อฝูงชนทั้งหมดลาจากพระองค์ไป ทั่วบริเวณบ้านของซีโมนก็มีแต่ความเงียบสงัด วันอันยาวนานที่เต็มไปด้วยเรื่องน่าตื่นเต้นผ่านพ้นไปและพระเยซูทรงหาเวลาหยุดพัก ขณะที่ชาวเมืองกำลังหลับอยู่นั้น “ในเวลาเช้ามืด” พระผู้ช่วยให้รอด “ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่สงบและทรงอธิษฐานที่นั่น” {DA 259.4}
พระเยซูทรงใช้ชีวิตของพระองค์ในโลกด้วยประการฉะนี้ บ่อยครั้ง พระองค์ทรงอนุญาตให้สาวกกลับไปเยี่ยมบ้านและหาเวลาพักผ่อน แต่พระองค์ทรงต้านพวกเขาอย่างอ่อนโยนเมื่อพวกเขาเชิญชวนพระองค์ให้ละงานของพระองค์เพื่อไปพักผ่อน พระองค์ทรงทำงานอย่างตรากตรำ สอนคนที่ไม่มีความรู้ รักษาคนเจ็บป่วย ประทานสายตาให้คนตาบอดให้มองเห็น เลี้ยงอาหารฝูงชน และในเวลาพลบค่ำหรือในเวลารุ่งสาง พระองค์เสด็จออกไปยังวิหารของพระองค์ตามภูเขาเพื่อสื่อสัมพันธ์กับพระบิดาของพระองค์ บ่อยครั้ง พระองค์ใช้เวลาตลอดทั้งคืนอธิษฐานและใคร่ครวญพระวจนะ และทรงกลับมาในเวลารุ่งอรุณเพื่อทำงานท่ามกลางประชาชน {DA 259.5}
เช้าตรู่วันนั้น เปโตรและมิตรสหายได้ไปเข้าเฝ้าพระเยซู ทูลพระองค์ว่า ประชาชนในเมืองคาเปอรนาอุมกำลังตามหาพระองค์ สาวกผิดหวังอย่างขมขื่นกับท่าทีในการต้อนรับของพระคริสต์ในเวลานี้ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในกรุงเยรูซาเล็มพยายามสังหารพระองค์ แม้แต่ชาวเมืองของพระองค์เองก็พยายามเอาชีวิตของพระองค์ แต่ประชาชนของเมืองคาเปอรนาอุมต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดีอย่างตื่นเต้น และความหวังของพวกสาวกก็ถูกปลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง อาจเป็นไปได้ว่าชาวกาลิลีที่รักเสรีภาพเหล่านี้จะกลายมาเป็นผู้สนับสนุนอาณาจักรใหม่ แต่ด้วยความประหลาดใจพวกเขาได้ยินพระดำรัสของพระคริสต์ที่ว่า "เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นๆ ด้วย พระองค์ทรงใช้เรามาก็เพราะเหตุนี้" {DA 260.1}
ความตื่นเต้นที่แผ่ซ่านไปทั่วเมืองคาเปอรนาอุมจะมีภัยทำให้ผู้คนตกอยู่ในอันตรายของการหลงลืมเป้าหมายพันธกิจของพระองค์ พระเยซูไม่ทรงพอพระทัยที่จะดึงดูดความสนใจของประชาชนให้เข้ามาหาพระองค์เพียงแค่ในฐานะผู้ประกอบกิจอันอัศจรรย์หรือเป็นผู้ทรงรักษาโรคภัยฝ่ายกายเท่านั้น แต่พระองค์ทรงประสงค์ชักนำมนุษย์ทั้งหลายให้เข้ามายังพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด ในขณะที่ประชาชนกระตือรือร้นที่จะเชื่อว่าพระองค์เสด็จมาเป็นพระราชาเพื่อจัดตั้งอาณาจักรทางฝ่ายโลก พระองค์ทรงปรารถนาที่จะหันความคิดของพวกเขาออกจากทางโลกไปยังเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณ ความสำเร็จทางโลกเพียงอย่างเดียวอาจขัดขวางพระราชกิจของพระองค์ได้ {DA 260.2}
ความรู้สึกประหลาดใจที่ฝูงชนไม่แยแสได้สะเทืยนพระทัยของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงให้การยกชูตนเองเข้ามาปะปนกับชีวิตของพระองค์ ความเคารพนับถือที่โลกให้กับตำแหน่งหรือความมั่งคั่งหรือความสามารถเป็นเรื่องประหลากสำหรับของบุตรมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงใช้วิธีของมนุษย์เพื่อได้มาซึ่งความจงรักภักดีหรือความเคารพนับถือ หลายศตวรรษก่อนที่พระองค์จะเสด็จมาบังเกิดมีการพยากรณ์ถึงพระองค์ว่า "ท่านจะไม่ร้องเสียงดังหรือเปล่งเสียงของท่านหรือทำให้เสียงของท่านได้ยินตามถนน ไม้อ้อช้ำแล้ว ท่านจะไม่หัก และไส้ตะเกียงริบหรี่นั้น ท่านจะไม่ดับ ท่านจะส่งความยุติธรรมออกไปด้วยความซื่อสัตย์ ท่านจะไม่อ่อนล้า หรือชอกช้ำ จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก" อิสยาห์ 42 ข้อที่ 2-4 {DA 260.3}
ฟาริสีแสวงหาความโดดเด่นมาใส่ตัวด้วยการถือรักษาพิธีกรรมการศาสนาอย่างเคร่งครัดพิถีพิถัน และโอ้อวดในการนมัสการและการให้ทาน พวกเขาพิสูจน์ความกระตือรือร้นในศาสนาด้วยการทำให้เป็นหัวข้อหลักของการสนทนา การโต้แย้งระหว่างนิกายที่ขัดแย้งกันทำกันอย่างเปิดเผยและยืดเยื้อ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะได้ยินเสียงทะเลาะวิวาทกันตามท้องถนนจากดอกเตอร์ผู้คงแก่เรียนทางกฎหมาย {DA 261.1}
เรื่องทั้งหมดนี้แตกต่างจากชีวิตของพระเยซูอย่างมาก ในชีวิตของพระองค์นั้นไม่มีการถกเถียงด้วยเสียงที่ดังหนวกหู ไม่มีการนมัสการอย่างโอ้อวด ไม่มีการกระทำเพื่อหวังการปรบมือเป็นประจักษ์พยาน พระคริสต์ทรงซ่อนไว้อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าทรงถูกเปิดเผยให้เห็นผ่านทางพระลักษณะนิสัยของพระบุตรของพระองค์ การเปิดเผยเช่นนี้เป็นสิ่งที่พระเยซูประสงค์ให้จิตใจมนุษย์หันเข้าไปหาและให้ความเคารพนับถือ {DA 261.2}
ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมไม่ได้สาดส่องพระรัศมีภาพมายังโลกด้วยความงามแห่งพระสิริของพระคริสต์อย่างแรงกล้าจนทำให้ตาพร่ามัว มีข้อความหนึ่งที่บันทึกถึงเรื่องของพระคริสต์ไว้ว่า "การปรากฏของพระองค์ก็แน่นอนเหมือนรุ่งอรุณ" โฮเชยา 6 ข้อที่ 3 แสงตะวันยามเช้าค่อยๆ ฉายแสงอย่างเงียบๆ และอ่อนโยนมายังโลก ขับไล่เงามืดมิดและปลุกโลกให้มีชีวิตฉันใด ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมก็จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในลักษณะเดียวกันนั้นพร้อมกับ "ปีกรักษาโรคภัย" มาลาคี 4 ข้อที่ 2 ของพระองค์ฉันนั้น {DA 261.3}
***********