บทที่ 28
เลวีมัทธิว
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 9 ข้อที่ 9-17; มาระโก 2 ข้อที่ 14-22; ลูกา 5 ข้อที่ 27-29
บรรดาเจ้าหน้าที่ของชาวโรมันในแผ่นดินปาเลสไตน์ ไม่มีคนกลุ่มใดเป็นที่เกลียดชังมากไปกว่าพวกคนเก็บภาษี ความจริงคือภาษีที่รัฐบาลต่างชาติกำหนดเรียกเก็บนั้นสร้างความเคืองใจให้ชาวยิวมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเครื่องคอยเตือนใจอยู่เสมอว่าอิสรภาพของพวกเขาถูกพรากไปแล้ว และพวกเก็บภาษีไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือของการกดขี่ข่มเหงของพวกโรมันเท่านั้น ในส่วนของพวกเขาเองแล้ว พวกเขายังคอยเอาเปรียบประชาชนด้วยการกรรโชกทรัพย์เพื่อเพิ่มความร่ำรวยให้กับตนเอง คนยิวที่ชาวโรมันแต่งตั้งให้รับหน้าที่จะถูกมองว่าทรยศต่อเกียรติภูมิของชาติของตน ประชาชนดูหมิ่นคนพวกนี้ว่าเป็นผู้ละทิ้งความเชื่อและจัดพวกเขาให้อยู่กับกลุ่มสังคมที่เลวทรามที่สุด {DA 272.1}
เลวี มัทธิวอยู่ในคนกลุ่มนี้ หลังจากพระคริสต์ทรงเลือกสาวกสี่คนที่แขวงเยนเนซาเรทแล้ว พระองค์ได้ทรงเรียกเขา พวกฟาริสีตัดสินมัทธิวแล้วจากหน้าที่การงานของเขา แต่พระเยซูทรงเห็นว่าชายคนนี้มีหัวใจเปิดกว้างยอมรับความจริง มัทธิวฟังคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดมาแล้ว ในขณะที่พระวิญญาณแห่งการทรงโน้มน้าวของพระเจ้าเผยให้เขาเห็นบาปหนาของเขาแล้ว เขาก็ปรารถนาที่จะแสวงหาการทรงช่วยจากพระคริสต์แต่เขาคุ้นเคยกับการกีดกันของพวกธรรมาจารย์และไม่เคยคิดว่าพระเจ้าพระอาจารย์ยิ่งใหญ่จะทอดพระเนตรเขา {DA 272.2}
วันหนึ่งในขณะที่มัทธิวนั่งอยู่ตรงด่านเก็บภาษี เขาเห็นพระเยซูเสด็จพระราชดำเนินเข้ามาใกล้เขา ด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่งเขาได้ยินพระดำรัสตรัสที่รับสั่งตรงมายังตัวเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” {DA 273.1}
มัทธิว “ลุกขึ้น สละทิ้งทุกสิ่งและตามพระองค์ไป” ไม่มีความลังเล ไม่มีการตั้งแง่สงสัยใด ไม่มีแนวคิดของการแลกเปลี่ยนธุรกิจร่ำรวยกับความยากจนและความยากลำบาก การที่เขาจะอยู่กับพระเยซู เพื่อจะได้ฟังพระวจนะของพระองค์ และร่วมกับพระองค์ในพระราชกิจก็เป็นการเพียงพอแล้ว {DA 273.2}
สาวกที่ได้รับการทรงเรียกก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อพระเยซูทรงเรียกเปโตรและเพื่อนให้ติดตามพระองค์ พวกเขาทิ้งเรือ แหและอวนทันที สาวกบางคนยังมีเพื่อนๆ ที่ต้องพึ่งพวกเขาเพื่อการดำรงชีวิตแต่เมื่อพระผู้ช่วยในรอดทรงเชิญพวกเขา พวกเขาไม่ได้ลังเล และตั้งข้อสงสัยว่าจะดำรงชีวิตของตนต่อไปอย่างไร จะเลี้ยงดูครอบครัวของตนอย่างไร? พวกเขาเชื่อฟังคำทรงเรียกและในเวลาต่อมาเมื่อพระเยซูตรัสถามพวกเขาว่า “’เมื่อเราใช้พวกท่านออกไปโดยไม่มีถุงเงินหรือย่ามหรือรองเท้านั้น ท่านขาดอะไรบ้างไหม?’ พวกเขาทูลตอบว่า “ไม่ขาดเลย’” ลูกา 22 ข้อที่ 35 {DA 273.3}
การทดสอบเดียวกันได้มาถึงมัทธิวในความมั่งคั่งของเขา และมาถึงอันดรูว์และเปโตรในความยากจนของพวกเขา แต่ละคนก็ได้อุทิศถวายตนที่เหมือนกัน ในช่วงนาทีของความสำเร็จเมื่ออวนเต็มไปด้วยปลาและแรงผลักดันของชีวิตในอดีตยังมีอยู่อย่างหนักแน่นที่สุด พระเยซูทรงเชื้อเชิญสาวกที่ริมฝั่งทะเลให้ทิ้งทุกสิ่งเพื่อรับใช้ในพันธกิจข่าวประเสริฐ ดังนั้นจิตวิญญาณทุกดวงก็จะถูกทดสอบว่าความปรารถนาเพื่อประโยชน์ทางโลกหรือเพื่อสามัคคีธรรมร่วมกับพระคริสต์จะแรงที่สุด {DA 273.4}
หลักการนั้นเข้มงวดอยู่เสมอ ไม่มีใครคนใดจะประสบความสำเร็จในการรับใช้พระเจ้าได้เว้นเสียแต่ว่าใจทั้งหมดของเขาอยู่ในการทำงานรับใช้และถือว่าทุกสิ่งล้วนด้อยค่าเมื่อเทียบกับคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์ ไม่มีผู้ใดอุทิศตนเพียงบางส่วนจะมาเป็นสาวกของพระคริสต์ได้ ยิ่งจะเป็นผู้ร่วมงานก็ไม่ได้เลย เมื่อมนุษย์สำนึกถึงความยิ่งใหญ่ของการทรงช่วยให้รอดแล้ว การเสียสละตนในชีวิตของพระคริสต์จะแสดงออกให้เห็นในชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าพระองค์จะทรงนำไปทางใดพวกเขาก็ยินดีจะติดตาม {DA 273.5}
การทรงเรียกมัทธิวให้เข้าร่วมเป็นสาวกคนหนึ่งของพระคริสต์ทำให้เกิดความโกรธเคืองอย่างมากยิ่ง การที่ครูสอนศาสนาคนหนึ่งเลือกคนเก็บภาษีเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมอย่างใกล้ชิดทำผิดต่อประเพณีทางศาสนา สังคมและธรรมเนียมของประเทศชาติ พวกฟาริสีหวังว่าจะหันเหกระแสความรู้สึกต่อต้านพระเยซูด้วยการเข้าหาอคติของผู้คน {DA 273.6}
ในท่ามกลางคนเก็บภาษี มีเรื่องน่าสนใจหนึ่งถูกปลุกปั่นขึ้นมาอย่างกว้างขวาง ใจของพวกเขาถูกดึงดูดเข้าไปหาพระอาจารย์ผู้เสด็จมาจากพระเจ้า ด้วยความยินดีที่ได้มาเป็นสาวกใหม่คนหนึ่งของพระเยซู มัทธิวปรารถนาที่จะนำเพื่อนร่วมงานในอดีตของเขามาหาพระองค์ด้วย ดังนั้น เขาจึงจัดงานเลี้ยงที่บ้านของเขาเองและเชิญญาติและมิตรสหายของเขามาร่วมงาน งานนี้ไม่ใช่มีเฉพาะคนเก็บภาษีเท่านั้นแต่ยังประกอบด้วยคนอื่นๆ อีกมากมายที่มีชื่อเสียงในทางไม่น่าเชื่อถือและเป็นคนที่เพื่อนบ้านประณามว่าเสื่อมเสียทางศีลธรรมจรรยา {DA 273.7}
งานเลี้ยงรับรองนี้จัดขึ้นเพื่อถวายเกียรติแด่พระเยซู และพระองค์ไม่ทรงลังเลที่จะตอบรับคำเชิญอันเป็นมิตรนี้ พระองค์ทรงทราบดีว่างานนี้จะสร้างความขุ่นเคืองใจใแก่พวกฟาริสีและจะลดคุณค่าของพระองค์ในสายตาของประชาชน แต่ไม่มีข้อสงสัยในนโยบายใดที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวของพระองค์ สำหรับพระองค์แล้ว ความเป็นเลิศภายนอกไม่มีค่าอะไรเลย สิ่งที่ดึงดูดพระหทัยของพระองค์คือจิตวิญญาณที่กระหายน้ำแห่งชีวิต {DA 274.1}
พระเยซูประทับเป็นแขกผู้มีเกียรติที่โต๊ะของคนเก็บภาษี ด้วยความเห็นอกเห็นใจและพระเมตตาคุณที่มีต่อสังคม พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงยอมรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และมนุษย์ปรารถนาที่จะมีค่าควรแก่ความเชื่อมั่นของพระองค์ พระวจนะของพระองค์หลั่งด้วยพลังแห่งความสุขที่ให้ชีวิตลงมายังหัวใจที่กระหายของพวกเขา แรงกระตุ้นใหม่ถูกปลุกขึ้นและมีความเป็นไปได้ที่ชีวิตใหม่เปิดกว้างให้กับคนเหล่านี้ที่ถูกสังคมทอดทิ้ง {DA 274.2}
ในการสังสรรค์กันเช่นนี้ มีคนไม่น้อยประทับใจกับคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอด คนเหลนี้ไม่ได้ยอมรับพระองค์จนกระทั่งพระองค์เสด็จกลับสวรรค์แล้ว เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงหลั่งลงมาและสามพันคนกลับใจในวันเดียว ท่ามกลางคนเหล่านี้ มีหลายคนที่ได้ยินพระวจนะแห่งความจริงเป็นครั้งแรกที่โต๊ะของคนเก็บภาษีและพวกเขาบางคนกลายเป็นผู้ประกาศพระกิตติคุณ สำหรับมัทธิวเอง แบบอย่างของพระเยซูในงานเลี้ยงเป็นบทเรียนที่คงอยู่ตลอดเวลา คนเก็บภาษีที่ถูกดูแคลนกลายเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่อุทิศตนที่สุดคนหนึ่งในพันธกิจแห่งการรับใช้ของเขาเองด้วยการดำเนินตามพระอาจารย์ของเขาอย่างใกล้ชิด {DA 274.3}
เมื่อพวกธรรมาจารย์ได้รับรายงานว่าพระเยซูเสด็จไปงานเลี้ยงของมัทธิว พวกเขาฉวยโอกาสกล่าวหาพระองค์ แต่พวกเขาเลือกที่จะทำงานผ่านพวกสาวก โดยการปลุกอคติของพวกเขา พวกเขาหวังจะทำให้พวกเขาเหินห่างออกไปจากพระอาจารย์ เป็นนโยบายของพวกเขาที่จะกล่าวโทษพระคริสต์ต่อหน้าสาวกและสาวกต่อไปยังพระคริสต์โดยเล็งลูกศรไปยังที่น่าจะเกิดบาดแผลได้มากที่สุด นี่เป็นวิธีการทำงานของซาตานนับตั้งแต่เกิดความบาดหมางในสวรรค์ และทุกคนที่พยายามทำให้เกิดความไม่ลงรอยกันและก่อให้เกิดความแตกแยกกันก็ถูกกระตุ้นโดยวิญญาณของมัน {DA 275.1}
“ทำไมอาจารย์ของพวกท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับพวกคนเก็บภาษี และพวกคนบาป?” พวกธรรมาจารย์ที่มีใจริษยาทวงถาม {DA 275.2}
พระเยซูไม่ทรงรอให้สาวกของพระองค์ตอบข้อกล่าวหา แต่พระองค์เองตรัสตอบว่า "คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป” พวกฟาริสีอ้างว่าตนเป็นคนสมบูรณ์ฝ่ายวิญญาณดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องการแพทย์ในขณะที่พวกเขามองว่าคนเก็บภาษีและคนต่างชาติกำลังพินาศด้วยโรคทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่พระราชกิจของพระองค์ในฐานะแพทย์ที่จะเข้าให้ถึงทุกชนชั้นที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์หรือ? {DA 275.3}
แต่ถึงแม้พวกฟาริสีจะคิดว่าตัวเองสูงส่งมาก แท้จริงแล้วพวกเขาตกอยู่ในสภาพที่เลวร้ายยิ่งกว่าคนที่พวกเขาดูหมิ่นเสียอีก พวกคนเก็บภาษีเป็นคนหัวดื้อรั้นถือทิฐิและพึ่งตนเองน้อยกว่า จึงเปิดรับอิทธิพลของความจริงได้ดีกว่า พระเยซูตรัสกับพวกธรรมาจารย์ว่า "ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’" ด้วยประการฉะนี้ พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นว่าในขณะที่พวกเขาอ้างว่าอธิบายพระวจนะของพระเจ้าได้ แต่พวกเขาแทบจะไม่มีความรู้เรื่องของพระวิญญาณเสียเลย {DA 275.4}
พวกฟาริสีเงียบไปสักครู่ใหญ่ แต่กลับมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้นเพื่อสร้างความเป็นศัตรูต่อกัน และแล้วต่อมาพวกเขาเข้าหาสาวกของยอห์นผู้ให้บัพติศมาและพยายามยุให้พวกเขาต่อต้านพระผู้ช่วยให้รอด พวกฟาริสีเหล่านี้ไม่ยอมรับพันธกิจของผู้ให้บัพติศมา ด้วยความเหยียดหยามพวกเขาชี้ไปยังชีวิตที่ปฏิเสธตนของเขา นิสัยเรียบง่ายของเขา เสื้อผ้าที่หยาบและยังประกาศว่าเขาเป็นผู้คลั่งศาสนา เนื่องจากเขาประณามพวกเขาว่าเป็นคนหน้าซื่อใจคด พวกเขาจึงต่อต้านคำพูดของเขาและพยายามปลุกปั่นผู้คนให้ต่อต้านเขาด้วย พระวิญญาณของพระเจ้าทรงขับเคลื่อนอยู่ในใจของคนเยาะเย้ยเหล่านี้ ทรง ทำให้พวกเขารู้จักบาป แต่พวกเขาปฏิเสธคำปรึกษาของพระเจ้าและประกาศว่ายอห์นถูกปีศาจเข้าสิง {DA 275.5}
บัดนี้เมื่อพระเยซูเสด็จมาคลุกคลีอยู่กับประชาชน เสวยและดื่มที่โต๊ะของพวกเขา พวกเขากล่าวหาว่าพระองค์ตะกละและเมาเหล้า คนที่ตั้งข้อหานี้เองเป็นคนทำผิดด้วยข้อกล่าวหาเช่นนี้ เมื่อนำเสนอพระเจ้าไปในทางที่ผิดและซาตานปั้นแต่งพระองค์ด้วยคุณลักษณะของซาตานเอง ผู้สื่อข่าวของพระเจ้าก็จะถูกคนชั่วเหล่านี้บิดเบือนเช่นนี้แหละ {DA 276.1}
พวกฟาริสีจะไม่ยอมคำนึงว่าการที่พระเยซูทรงร่วมรับประทานอาหารกับคนเก็บภาษีและคนบาปนั้นก็เพื่อนำแสงสว่างไปให้แกผู้ที่ยังตกอยู่ในความมืด พวกเขาไม่ยอมที่จะรับรู้ว่าพระวจนะทุกคำที่พระเจ้าพระอาจารย์ตรัสไว้จะเป็นเมล็ดที่จะงอกและเกิดผลเพื่อถวายพระสิริพระเจ้า พวกเขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ยอมรับแสงสว่างและแม้พวกเขาปฏิเสธพันธกิจของผู้ให้บัพติศมา บัดนี้พวกเขาพร้อมที่จะผูกมิตรกับสาวกของเขา โดยหวังที่จะได้มาซึ่งความร่วมมือต่อต้านพระเยซู พวกเขานำเสนอว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ทำลายประเพณีโบราณ และพวกเขาเปรียบเทียบความเคร่งศาสนาของผู้ให้บัพติศมากับแนวทางของพระเยซูในการเข้าร่วมงานเลี้ยงสังสรรค์กับคนเก็บภาษีและคนบาป {DA 276.2}
ในเวลานี้สาวกของยอห์นตกอยู่ในสภาพของความโศกเศร้าอย่างมาก เป็นช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาได้ไปเข้าเฝ้าพระเยซูเพื่อนำข่าวสารที่ยอห์นฝากไปให้พระองค์ อาจารย์ที่พวกเขารักยังคงอยู่ในเรือนจำ และในแต่ละวันที่ผ่านไป พวกเขาได้แต่ทุกข์คร่ำครวญร้องไห้ และพระเยซูไม่ทรงแสดงออกว่าจะพยายามหาทางช่วยยอห์นออกจากเรือนจำและดูเหมือนว่าจะสร้างความเสื่อมเสียให้กับคำสอนของเขาด้วย หากยอห์นเป็นผู้ที่พระเจ้าประทานมาแล้ว ทำไมพระเยซูและสาวกของพระองค์จึงดำเนินแนวทางที่แตกต่างไปอย่างมากเช่นนี้เล่า? {DA 276.3}
สาวกของยอห์นไม่เข้าใจพระราชกิจของพระคริสต์ได้อย่างชัดเจน พวกเขาคิดว่าการกล่าวหาของพวกฟาริสีอาจมีมูลเหตุบ้าง พวกเขาปฏิบัติตามกฎหลายข้อที่พวกธรรมาจารย์กำหนดและแม้กระทั่งหวังว่าจะได้รับความชอบธรรมจากการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ การถืออดอาหารเป็นพิธีกรรมที่ชาวยิวปฏิบัติเพื่อสร้างบุญและคนที่เข้มงวดที่สุดในหมู่พวกเขาจะถืออดอาหารสัปดาห์ละสองวัน พวกฟาริสีและสาวกของยอห์นอดอาหารอยู่เมื่อสาวกคนหนึ่งของยอห์นเข้ามาเฝ้าพระเยซูทูลถามว่า "ทำไมเราและพวกฟาริสีถืออดอาหาร แต่พวกสาวกของท่านไม่ถือ?" {DA 276.4}
พระเยซูทรงตอบพวกเขาอย่างอ่อนโยน พระองค์ไม่ทรงพยายามแก้ไขแนวคิดของการถืออดอาหารที่ผิดๆ ของพวกเขา แต่เพียงเพื่อช่วยพวกเขาให้เข้าใจพันธกิจของพระองค์เองให้ถูกต้อง และพระองค์ทรงทำเช่นนี้ด้วยการตัวอย่างภาพประกอบเดียวกับที่ผู้ให้บัพติศมาเองใช้ในการเป็นพยานถึงพระเยซู ยอห์นเคยกล่าวไว้ว่า "ท่านที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว เพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าวก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว เพราะฉะนั้นความปีติยินดีของข้าพเจ้าจึงเต็มเปี่ยม" ยอห์น 3 ข้อที่ 29. สาวกของยอห์นคงนึกถึงคำพูดเหล่านี้ของอาจารย์ของพวกเขาได้ พระเยซูยกตัวอย่างภาพประกอบนี้และตรัสว่า "ท่านจะให้เพื่อนๆ ของเจ้าบ่าวอดอาหารขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขาอย่างนั้นหรือ?" {DA 276.5}
เจ้าชายแห่งฟ้าสวรรค์ประทับอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์ ของขวัญยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระเจ้าประทานให้โลกแล้ว ความชื่นชมยินดีจงมีให้กับคนยากจน เพราะพระคริสต์เสด็จมาเพื่อให้พวกเขาเป็นทายาทแห่งอาณาจักรของพระองค์ ความชื่นชมยินดีจงมีให้กับคนร่ำรวย เพราะพระองค์จะสอนพวกเขาวิธีที่จะได้ความร่ำรวยนิรันดร์ ความชื่นชมยินดีจงมีให้กับคนขาดความรู้ เพราะพระองค์จะทรงทำให้พวกเขามีปัญญานำไปสู่ความรอด ความชื่นชมยินดีจงมีให้กับคนมีความรู้ เพราะพระองค์ทรงเปิดความล้ำลึกที่ลึกซึ้งกว่าที่พวกเขาเคยหยั่งถึง ความจริงที่ถูกปิดซ่อนตั้งแต่การวางรากฐานของโลกจะเปิดออกให้กับมนุษด้วยพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอด {DA 277.1}
ยอห์นผู้ให้บัพติศมามีความสุขเมื่อได้พบกับพระผู้ช่วยให้รอด เป็นวโรกาสแห่งความชื่นชมยินดีอย่างมากยิ่งเพียงไรสำหรับสาวกที่ได้ร่วมเดินและสนทนาไปกับพระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งแห่งฟ้าสวรรค์! นี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะโศกเศร้าและถืออดอาหาร พวกเขาต้องเปิดใจเพื่อรับแสงสว่างแห่งพระสิริของพระองค์เพื่อพวกเขาจะส่องแสงสว่างแก่ผู้ที่นั่งอยู่ในความมืดและในเงามืดแห่งความตาย {DA 277.2}
เป็นภาพที่สว่างไสวซึ่งพระวจนะของพระคริสต์ทรงยกขึ้นมา แต่มีเงาหนาทึบซึ่งพระเนตรของพระองค์มองเห็นได้เพียงพระองค์เดียว "แต่วันนั้นจะมาถึง" พระองค์ตรัส "เมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไป ในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร" TKJV เมื่อพวกเขาเห็นพระเจ้าของพวกเขาถูกทรยศและถูกตรึงพวกสาวกจะโศกเศร้าและอดอาหาร ในพระดำรัสสุดท้ายของพระองค์ที่ตรัสกับพวกเขาในห้องชั้นบนพระองค์ตรัสว่า "อีกหน่อยพวกท่านจะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยพวกท่านก็จะเห็นเรา? เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า ท่านจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี พวกท่านจะเป็นทุกข์ แต่ความทุกข์ของท่านจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี" ยอห์น 16 ข้อที่ 19, 20. {DA 277.3}
เมื่อพระองค์จะเสด็จออกจากอุโมงค์ฝังศพ ความเศร้าโศกของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นความปีติยินดี หลังจากที่พระองค์เสด็จขึ้นไปยังสวรรค์แล้วพระองค์จะไม่ทรงอยู่ร่วมกับพวกเขา แต่โดยทางองค์ผู้ช่วย พระองค์จะยังคงสถิตอยู่ร่วมกับพวกเขาและพวกเขาจะไม่ใช้เวลากับการทุกข์โศก นี่คือสิ่งที่ซาตานต้องการ มันต้องการให้พวกเขาทำให้โลกรู้สึกว่าพวกเขาถูกหลอกและผิดหวัง แต่โดยความเชื่อพวกเขาต้องมองไปยังพระนิเวศเบื้องบนที่ซึ่งพระเยซูทรงปรนนิบัติเพื่อพวกเขาอยู่ พวกเขาจะต้องเปิดใจรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงเป็นตัวแทนของพระองค์และชื่นชมยินดีในแสงสว่างแห่งการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ แต่ถึงกระนั้นวันแห่งการทดลองและการทุกข์ยากจะมาถึงเมื่อพวกเขาจะต้องเข้าไปสู่ความขัดแย้งกับผู้ปกครองของโลกนี้และผู้นำของอาณาจักรแห่งความมืด เมื่อพระคริสต์ไม่ได้สถิตอยู่กับพวกเขาด้วยตาที่มองเห็นได้แล้ว และพวกเขาพลาดที่จะหยั่งรู้ถึงองค์ผู้ช่วย เมื่อนั้นการถืออดอาหารจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม {DA 277.4}
พวกฟาริสีพยายามยกระดับตัวเองด้วยการปฏิบัติตามรูปแบบที่เคร่งครัดในขณะที่หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉาและการทะเลาะวิวาท "นี่แน่ะ" พระคัมภีร์กล่าวว่า " เจ้าอดอาหารเพียงเพื่อวิวาทและต่อสู้และเพื่อต่อยด้วยหมัดอธรรม การอดอาหารอย่างเจ้าในวันนี้ จะไม่ทำให้เสียงของเจ้าได้ยินไปถึงที่สูง นี่คือการอดอาหารที่เราเลือกหรือ? คือวันที่คนถ่อมตัวเองลงหรือ? คือการก้มศีรษะของเขาลงเหมือนต้นอ้อเล็ก แล้วปูผ้ากระสอบและขี้เถ้าเป็นที่รองนั่งหรือ? เจ้าจะเรียกการอย่างนี้ว่าอดอาหารหรือ? และเป็นวันที่พระยาห์เวห์โปรดปรานหรือ?" อิสยาห์ 58 ข้อที่ 4, 5. {DA 278.1}
การอดอาหารที่แท้จริงไม่ใช่เป็นเพียงแค่พิธีกรรม พระคัมภีร์อธิบายถึงการอดอาหารที่พระเจ้าทรงเลือกกลวคือ "การแก้พันธนะอธรรม การแก้สายรัดของแอก การปลดปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ และการหักแอกทั้งหมดเสีย” “ทุ่มเทชีวิตของเจ้าแก่ผู้หิวโหย และทำให้ผู้ถูกข่มใจได้อิ่มเอิบ" อิสยาห์ 58 ข้อที่ 6, 10 นี่บ่งบอกถึงจิตวิญญาณและลักษณะงานของพระคริสต์ ทั้งชีวิตของพระองค์คือการเสียสละตนเพื่อการกอบกู้โลกให้รอด ไม่ว่าจะอดอาหารในถิ่นทุรกันดารแห่งการทดลองหรือรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษีในงานเลี้ยงของมัทธิว พระองค์ทรงสละชีวิตเพื่อไถ่ผู้หลงหาย การแสดงออกถึงวิญญาณของการอุทิศตนที่แท้จริงไม่ใช่ทำด้วยการจมอยู่กับการไว้ทุกข์ ด้วยการทรมานทางร่างกายและการเสียสละสารพัดมากมายอย่างไร้ความหมาย แต่เป็นการแสดงออกให้เห็นด้วยการยอมจำนนตนตอการรับใช้พระเจ้าและมนุษย์ด้วยความเต็มใจ {DA 278.2}
พระเยซูตรัสคำอุปมาต่อเนื่องเพื่อตอบสาวกของยอห์น พระเยซูตรัสอุปมาหนึ่งว่า "ไม่มีผู้ใดฉีกท่อนผ้าจากเสื้อใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเสื้อใหม่นั้นจะขาดเสียไป ทั้งท่อนผ้าที่เอามาจากเสื้อใหม่นั้นก็จะไม่สมกับเสื้อเก่าด้วย" จะต้องไม่นำข่าวสารของยอห์นผู้ให้บัพติศมามาผสมผสานเข้ากับประเพณีและความเชื่อที่งมงาย ความพยายามที่จะเอาความเสแสร้งของฟาริสีมาผสมให้เข้ากันกับความอุทิศตนของยอห์นนั้นเพียงแต่สร้างความร้าวฉานแตกแยกระหว่างทั้งสอง {DA 278.3}
หลักการคำสอนของพระคริสต์ก็ไม่อาจนำมารวมเข้าด้วยกันกับรูปแบบของระบบฟาริสี พระคริสต์เสด็จมาไม่ใช่เพื่อปิดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นจากคำสอนของยอห์น พระองค์จะทรงแยกความแตกต่างระหว่างของเก่าและของใหม่ให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น พระเยซูทรงอธิบายข้อเท็จจริงนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า "ไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นน้ำองุ่นใหม่จะทำให้ถุงหนังเก่าขาดไป และน้ำองุ่นจะรั่ว ถุงหนังก็จะเสียไปด้วย" ภาชนะทำด้วยหนังใช้บรรจุน้ำหงุ่นหมักใหม่นั้น เมื่อเวลาผ่านไปภาชนะหนังนี้จะแห้งและกรอบและจะไม่มีค่าที่จะนำกลับมาใช้เหมือนเดิม พระเยซูนำเสนอภาพของผู้นำชาวยิวจากตัวอย่างคำอธิบายนี้ พวกปุโรหิตพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ปกครองที่ยึดติดอยู่กับสภาพที่เคยชินของพิธีกรรมและประเพณี หัวใจของพวกเขาหดเล็กลงเหมือนถุงหนังแห้งที่พระองค์ทรงใช้เปรียบพวกเขา ในขณะที่พวกเขายังคงพึงพอใจกับศาสนาตามตัวบทกฎหมาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเปลี่ยนมาเป็นผู้ดูแลความจริงอันมีชีวิตของสวรรค์ พวกเขาคิดว่าความชอบธรรมของตนเองเพียงพอแล้วและไม่ปรารถนาที่จะนำองค์ประกอบใหม่เข้ามาในศาสนาของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมรับว่าความโปรดปรานของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากตัวพวกเขา พวกเขาเชื่อมโยงความโปรดปรานนี้เข้ากับคุณความดีของตนเองเนื่องจากการทำดีของพวกเขา ความเชื่อที่กระทำด้วยความรักและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์จะรวมเข้าไม่ได้กับศาสนาของพวกฟาริสีซึ่งประกอบขึ้นด้วยพิธีการและคำสั่งห้ามของมนุษย์ ความพยายามที่จะรวมคำสอนของพระเยซูเข้ากับศาสนาที่จัดตั้งมาแล้วนั้นจะไม่เกิดผล ความจริงอันทรงพลังที่มีชีวิตของพระเจ้าเป็นเหมือนเช่นน้ำองุ่นที่หมักอยู่จะไปทำให้ถุงหนังเก่าที่ผุพังของประเพณีฟาริสีแตก {DA 278.4}
พวกฟาริสีคิดว่าตนฉลาดเกินที่จะรับฟังคำสั่งสอน ชอบธรรมเกินที่จะต้องการความรอดและมีเกียรติสูงเกินที่จะต้องการเกียรติที่มาจากพระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงหันหลังให้พวกเขาเพื่อแสวงหาผู้อื่นที่จะรับข่าวสารแห่งสวรรค์ ชาวประมงที่ไม่ได้รับการอบรมฝึกฝน คนเก็บภาษีที่ตลาด หญิงชาวสะมาเรีย คนทั่วไปที่จะยอมฟังพระองค์ด้วยความยินดี พระองค์ทรงพบขวดใหม่ของพระองค์เพื่อใส่เหล้าองุ่นใหม่ เครื่องมือที่จะใช้ในพระพระกิตติคุณคือจิตวิญญาณที่ยินดีรับแสงสว่างซึ่งพระเจ้าประทานมาให้แก่พวกเขา คนเหล่านี้คือตัวแทนเพื่อส่งต่อความรู้แห่งความจริงให้แก่โลก หากโดยพระคุณของพระคริสต์ประชากรของพระองค์จะเปลี่ยนเป็นถุงหนังใหม่พระองค์ก็จะเติมพวกเขาให้เต็มด้วยเหล้าองุ่นใหม่ {DA 279.1}
คำสอนของพระคริสต์แม้ว่าจะถูกนำเสนอว่าเป็นเหล้าองุ่นใหม่นั้นก็ไม่ใช่คำสอนใหม่แต่ประการใด แต่เป็นการเปิดเผยในสิ่งที่สอนไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่สำหรับพวกฟาริสีแล้ว พวกเขาสูญเสียความสำคัญและความงดงามดั่งเดิมของความจริงของพระเจ้าไปแล้ว สำหรับพวกเขาแล้วคำสอนของพระคริสต์เป็นเรื่องใหม่ในเกือบทุกมิติและพวกเขามองไม่เห็นคุณค่าและไม่เป็นที่ยอมรับ {DA 279.2}
พระเยซูทรงเน้นให้เห็นถึงอำนาจของคำสอนเทียมเท็จที่จะทำลายความซาบซึ้งถึงคุณค่าและความปรารถนาที่จะแสวงหาความจริง "ไม่มีใคร" พระองค์ตรัส "เมื่อดื่มเหล้าองุ่นหมักเก่าแล้ว จะอยากได้เหล้าองุ่นหมักใหม่ เพราะเขาย่อมจะกล่าวว่า ‘ของเก่านั้นดีกว่า’ " ความจริงทั้งหมดที่ได้มอบไว้ให้กับโลกโดยผ่านทางบรรพชนและผู้เผยพระวจนะทั้งหลายเปล่งประกายออกมาในความงดงามใหม่ในพระดำรัสของพระคริสต์ แต่พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีต่างไม่ปรารถนาเหล้าองุ่นหมักใหม่อันล้ำค่า พวกเขาไม่มีความคิดหรือหัวใจให้กับคำสอนของพระคริสต์จนกว่าจะกำจัดขนบธรรมเนียมประเพณีและการปฏิบัติเก่าๆ ให้หมดไป พวกเขายึดติดกับรูปแบบที่ตายแล้วและหันออกจากความจริงและพลังอำนาจอันมีชีวิตของพระเจ้า {DA 279.3}
เรื่องนี้แหละเป็นที่มาซึ่งความพินาศของชาวยิวและจะเป็นที่มาของความพินาศจิตวิญญาณมากมายในสมัยของเราด้วย คนนับพันยังคงทำผิดแบบเดียวกันกับความผิดของพวกฟาริสีที่พระคริสต์ทรงตำหนิในงานเลี้ยงของมัทธิว แทนที่จะละทิ้งความคิดที่ที่ยึดมั่นหรือทัศนะคติที่คลั่งไคล้ หลายคนปฏิเสธความจริงที่พระบิดาแห่งความสว่างประทาน พวกเขาเชื่อมั่นในตนเองและพึ่งสติปัญญาของตนเองและไม่ตระหนักถึงความยากจนทางจิตวิญญาณ พวกเขายืนกรานว่าความรอดได้มาโดยการประพฤติด้วยการทำงานที่สำคัญบางประการได้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าไม่มีทางที่จะสานตัวตนของตนเองเข้าไปในงานได้แล้ว พวกเขาก็ปฏิเสธความรอดที่ได้ทรงจัดเตรียมไว้ {DA 280.1}
ศาสนาตามบทกฎหมายนำจิตวิญญาณให้ไปถึงพระคริสต์ไม่ได้ เพราะเป็นศาสนาที่ปราศจากความรักและไม่มีพระคริสต์ การถืออดอาหารหรือการอธิษฐานที่กระทำด้วยวิญญาณเพื่อทำให้ตนชอบธรรมเป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนในสายพระเนตรของพระเจ้า การนมัสการในรูปแบบที่ศักดิ์สิทธิ์ พิธีกรรมทางศาสนาที่วกวน การแสดงถึงความถ่อมตนแต่เพียงภายนอก การถวายเครื่องบูชาอย่างโอ่อ่าตระการตาประกาศว่าผู้กระทำสิ่งเหล่านี้ถือว่าตนเองนั้นชอบธรรมและมีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์ แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการหลอกลวง ความประพฤติของเราไม่มีทางซื้อความรอดได้ {DA 280.2}
ในสมัยของพระคริสต์เป็นเช่นใด ในเวลานี้ก็จะเป็นเช่นนั้น พวกฟาริสีไม่ทราบถึงสภาพอันแร้นแค้นทางจิตวิญญาณของพวกเขา ข่าวสารที่มาถึงพวกเขาคือ "เพราะเจ้าพูดว่า ‘ข้าเป็นเศรษฐีและข้าร่ำรวยแล้ว ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเลย’ เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนน่าสมเพช น่าสังเวช เจ้ายากจน ตาบอด และเปลือยกาย เราแนะนำเจ้าให้ซื้อทองคำที่หลอมด้วยไฟจากเรา เพื่อเจ้าจะได้มั่งมี และให้ซื้อเสื้อผ้าสีขาว เพื่อจะได้สวมให้พ้นจากความอับอายที่ต้องเปลือยกาย และซื้อยาหยอดตาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้เห็น" วิวรณ์ 3 ข้อที่ 17, 18 ความเชื่อและความรักเป็นทองคำที่ผ่านไฟหลอมมาแล้ว แต่สำหรับคนมากมายทองคำหมองไปแล้วและสมบัติอันมีค่าก็สูญหายไป สำหรับพวกเขาแล้วความชอบธรรมของพระคริสต์เป็นเสื้อคลุมที่พวกเขาไม่ได้เอามาสวม เป็นน้ำพุที่พวกเขาไม่ได้แตะ มีคำกล่าวถึงพวกเขาว่า "แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือว่าเจ้าละทิ้งความรักครั้งแรกของเจ้า เพราะฉะนั้นจงระลึกถึงสภาพเดิมที่เจ้าตกลงมาแล้วนั้น จงกลับใจใหม่และทำตามที่ประพฤติในตอนแรก มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้า และจะย้ายคันประทีปของเจ้าออกจากที่ของมัน นอกจากว่าเจ้าจะกลับใจใหม่" วิวรณ์ 2 ข้อที่ 4, 5 {DA 280.3}
"เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงปรารถนาคือจิตใจที่แตกสลาย ใจที่แตกสลายและสำนึกผิดนั้น ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงดูถูก” สดุดี 51 ข้อที่ 17 มนุษย์คนใดจะมาเชื่อพระเยซูได้อย่างเต็มตัวนั้น เขาจะต้องกำจัดตัวตนทิ้งไปเสียก่อน เมื่อเขาปฏิเสธตนแล้ว พระยาห์เวห์จึงทรงสร้างเขาให้เป็นคนใหม่ได้ ถุงหนังจึงบรรจุเหล้าองุ่นหมักใหม่ได้ ความรักของพระคริสต์จะทำให้ผู้เชื่อคนนั้นมีชีวิตใหม่ คนที่หันหน้ามองไปยังพระเจ้าผู้ทรงเบิกทางความเชื่อ และผู้ทรงทำให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์จะเปิดเผยพระลักษณะอุปนิสัยของพระคริสต์ออกมาให้ประจักษ์ {DA 280.4}
**********