บทที่ 51

ความสว่างแห่งชีวิต

บทนี้อ้างอิงจาก ยอห์น 8 ข้อที่ 12-59, 9


พระเยซูตรัสกับพวกเขาอีกครั้งหนึ่งว่า ‘เราเป็นความสว่างของโลก’ คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” {DA 463.1}         

ขณะที่พระเยซูตรัสพระดำรัสนี้ พระองค์ประทับอยู่ตรงบริเวณลานวิหารซึ่งเป็นที่เฉพาะสำหรับเทศกาลอยู่เพิง ตรงใจกลางลานมีเสาสูงตะหง่านสองต้นที่มีโคมไฟขนาดใหญ่ติดตั้งไว้อยู่ข้างบนเสา  หลังจากการถวายเครื่องบูชาช่วงเวลาเย็นแล้ว พวกเขาจะจุดโคมไฟทั้งหมดให้ส่องแสงสว่างไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม  พิธีนี้จัดทำขึ้นเพื่อรำลึกถึงเสาเพลิงที่นำชนชาติอิสราเอลในทะเลทราย และถือว่าเป็นแสงที่ชี้ไปยังการจะเสด็จมาของพระเมสสิยาห์  ในช่วงเย็นเมื่อจุดโคมไฟเหล่านี้ให้สว่างแล้ว ลานวิหารเป็นภาพแห่งความชื่นชม  ชายผมสีเทา พวกปุโรหิตของวิหารและพวกผู้ปกครองของประชาชนร่วมร้องรำทำเพลงไปกับเสียงของเครื่องดนตรีและเพลงสวดของพวกเลวี  {DA 463.2}         

ในความสว่างเจิดจ้าของกรุงเยรูซาเล็มประชาชนต่างแสดงออกถึงความหวังของการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์เพื่อส่องแสงแห่งความสว่างของพระองค์มายังชนชาติอิสราเอล  แต่สำหรับพระเยซูแล้ว ภาพเช่นนี้มีความหมายที่กว้างไกลกว่านี้  ในขณะที่โคมไฟของพระวิหารส่องแสงให้ความสว่างแก่ทุกสิ่งรอบข้างนั้น พระคริสต์พระผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของความสว่างฝ่ายจิตวิญญาณก็ทรงส่องสว่างไปยังความมืดของโลก  แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ  แสงดวงใหญ่ที่พระหัตถ์ของพระองค์ทรงตั้งไว้ในท้องฟ้าเป็นตัวแทนอันแท้จริงกว่าของพันธกิจแห่งพระสิริของพระองค์  {DA 463.3}                

เป็นเวลาเช้าแล้ว ดวงตะวันขึ้นอยู่เหนือภูเขามะกอกเทศ และลำแสงสว่างเจิดจ้าตกกระทบลงสู่พระราชวังหินอ่อนและทำให้ทองคำของผนังวิหารสว่างขึ้นมา  แล้วพระเยซูทรงชี้ไปตรงด้านนั้นและตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก”  {DA 463.4}                   

ภายหลังต่อมาผู้ที่ฟังพระดำรัสนี้ได้สะท้อนพระวจนะคำเหล่านี้ ให้ดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้งหนึ่งในข้อความประเสริฐล้ำเลิศที่ว่า “พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์  ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด และความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้”  “ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงได้นั้นกำลังเข้ามาในโลก”  ยอห์น 1 ข้อที่ 4-5, 9  และในเวลาต่อมาหลังจากพระเยซูเสด็จกลับสวรรค์นานแล้ว ภายใต้การทรงดลใจของพระวิญญาณของพระเจ้า เปโตรรำลึกถึงสัญลักษณ์ที่พระคริสต์ทรงใช้ไว้ว่า “และเรามีคำเผยพระวจนะที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก จะเป็นการดีถ้าพวกท่านจะเอาใจใส่คำนั้น เพราะคำนั้นเป็นเสมือนตะเกียงที่ส่องสว่างในที่มืด จนกว่าแสงอรุณจะขึ้น และดาวรุ่ง(คือ ดาวศุกร์ที่ขึ้นในเวลาเช้า) จะผุดขึ้นในใจของพวกท่าน”  2 เปโตร 1 ข้อที่ 19  {DA 464.1}            

เมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยพระองค์ต่อประชากร แสงเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงถึงการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยของพระองค์  ในปฐมกาลเมื่อพระองค์ตรัสพระดำรัสแห่งการทรงสร้าง แสงสว่างก็ส่องออกมาจากความมืด  แสงสว่างถูกปกปิดไว้ในเสาเมฆในเวลากลางวันและเป็นเสาไฟในเวลากลางคืนเพื่อนำกองทัพขนาดใหญ่ของชนชาติอิสราเอล  เปลวเพลิงลุกเป็นไฟอย่างน่าสะพรึงกลัวรอบพระยาห์เวห์บนภูเขาซีนาย  แสงสว่างอยู่เหนือพระที่นั่งพระกรุณาในพระนิเวศ  แสงสว่างปกคลุมทั่วทั้งวิหารของซาโลโมนในวันถวายพระวิหาร  แสงส่องสว่างบริเวณภูเขาของเมืองเบธเลเฮมเมื่อทูตสวรรค์ทั้งหลายนำข่าวแห่งการไถ่ให้รอดบาปมายังผู้เลี้ยงแกะที่เฝ้าแกะอยู่  {DA 464.2}           

พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง พระคริสต์ทรงเปิดเผยถึงการทรงร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้าและความสัมพันธ์กับครอบครัวมนุษยชาติเมื่อตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก” ในปฐมกาลพระองค์เองทรงเป็นผู้ “ตรัสว่าให้ความสว่างส่องออกมาจากความมืด”  2 โครินธ์ 4 ข้อที่ 6  พระองค์ทรงเป็นความสว่างของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์และดวงดาว  พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างฝ่ายจิตวิญญาณในรูปของสัญลักษณ์และเครื่องหมายและคำพยากรณ์ที่ส่องสว่างมายังชนชาติอิสราเอล  แต่แสงนี้ไม่ได้ประทานมาให้ชนชาวยิวเท่านั้น  ดั่งลำแสงดวงอาทิตย์แทรกซึมทะลวงไปยังทุกซอกทุกมุมที่ห่างไกลที่สุดของพื้นโลกฉันใด ลำแสงความสว่างของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมก็ส่องไปยังจิตวิญญาณทุกดวงด้วยเช่นกัน  {DA 464.3}              

ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงได้นั้นกำลังเข้ามาในโลก”  ยอห์น 1 ข้อที่ 9  โลกมีครูยิ่งใหญ่มากมาย ซึ่งเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาใหญ่ยิ่งและการค้นคว้าที่มหัศจรรย์  คำพูดของเขากระตุ้นความคิดและเปิดความรู้ให้กว้างไกลออกไป  เขาได้รับเกียรติเป็นผู้นำและผู้สร้างประโยชน์แก่เผ่าพันธุ์มนุษย์  แต่มีพระอาจารย์ผู้ทรงอยู่เหนือกว่าพวกเขาเหล่านั้น  “แต่ทุกคนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์นั้น พระองค์ก็จะประทานสิทธิให้เป็นลูกของพระเจ้า” “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว”  ยอห์น 1 ข้อที่ 12, 18  เราแกะรอยย้อนกลับค้นหาครูยิ่งใหญ่ในโลกนี้เท่าที่ประวัติศาสตร์ของโลกบันทึกไว้ได้ แต่พระเจ้าแห่งความสว่างทรงนำอยู่ก่อนหน้าพวกเขา  ดั่งดวงจันทร์และดวงดาวของระบบสุริยะจักรวาลของเราส่องสว่างได้ด้วยการสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ฉันใด ตราบใดที่คำสอนของนักคิดยิ่งใหญ่เหล่านี้เป็นคำสอนที่ถูกต้อง พวกเขาก็จะสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมเช่นกันฉันนั้น  อัญมณีทุกเม็ดแห่งแนวคิดอันมีค่า ทุกประกายของสติปัญญานั้นมาจากพระเจ้าพระผู้ทรงเป็นแสงสว่างของโลก  ในทุกวันนี้เราได้ยินการพูดถึงเรื่อง “การศึกษาระดับสูง” มากมาย “การศึกษาระดับสูง” ที่แท้จริงมาจากพระองค์ผู้ทรงเป็น “คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่างซ่อนอยู่ในพระองค์”  “พระองค์ทรงเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์”  โคโลสี 2 ข้อที่ 3 ยอห์น 1 ข้อที่ 4  พระเยซูตรัสว่า “คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” {DA 464.4}                  

ด้วยพระดำรัสที่ว่า “เราเป็นความสว่างของโลก” นั้นพระเยซูทรงเปิดเผยพระองค์เองว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์  ในวิหารที่พระคริสต์ทรงสั่งสอนอยู่ขณะนี้ ผู้เฒ่าสิเมโอนได้กล่าวถึงพระองค์ว่าทรง “เป็นความสว่างที่ส่องแก่คนต่างชาติ และเป็นศักดิ์ศรีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์”  ลูกา 2 ข้อที่ 32  ในคำพูดเหล่านี้เขากำลังกล่าวถึงพระองค์ด้วยคำเผยพระวจนะที่ชาวอิสราเอลทั้งหมดคุ้นเคย  พระวิญญาณบริสุทธิ์ประกาศผ่านผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “ซึ่งเจ้าจะเป็นผู้รับใช้ของเราเพื่อจะยกเผ่าทั้งหลายของยาโคบขึ้นและเพื่อให้อิสราเอลที่เหลือกลับสู่สภาพดีนั้นดูจะเป็นการเล็กน้อยเกินไป  เราจะให้เจ้าเป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติเพื่อความรอดของเราจะไปถึงสุดปลายแผ่นดินโลก”  อิสยาห์ 49 ข้อที่ 6  โดยทั่วไปแล้ว เป็นที่เข้าใจว่าคำเผยพระวจนะนี้กล่าวถึงพระเมสสิยาห์ และเมื่อพระเยซูตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก” นั้น คนทั้งหลายไม่อาจที่จะเข้าใจผิดว่าพระองค์ทรงอ้างว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์นั้นที่ทรงสัญญาไว้  {DA 465.1}            

สำหรับพวกฟาริสีและผู้ปกครองทั้งหลายแล้วคำอ้างนี้ดูเสมือนว่าเป็นคำโอ้อวดหยิ่งยโสเกินไป  พวกเขาทนไม่ได้กับกระทำของชายคนหนึ่งที่มีสภาพเหมือนพวกเขาที่แสร้งทำตัวอย่างนี้  พวกเขาทำตัวราวกับว่าละเลยพระดำรัสของพระองค์จึงท้วงถามว่า “ท่านเป็นใคร?”  พวกเขามุ่งมั่นบังคับให้พระองค์เองประกาศว่าทรงเป็นพระคริสต์  ลักษณะและผลงานของพระองค์แตกต่างจากความคาดหวังของประชาชนจนศัตรูเจ้าเล่ห์ทั้งหลายของพระองค์เชื่อว่าการประกาศอย่างตรงไปตรงมาว่าทรงเป็นพระเมสสิยาห์แล้ว จะย่อมทำให้คนทั้งหลายปฏิเสธพระองค์เพราะคิดว่าพระองค์ทรงเป็นคนหลอกลวง  {DA 465.2}              

แต่คำถามของพวกเขาที่ว่า “ท่านเป็นใคร?” นั้นพระเยซูทรงตอบว่า “เราเป็นอย่างที่เราบอกพวกท่านตั้งแต่แรกแล้ว”  ยอห์น 8 ข้อที่ 25  สิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยในพระดำรัส พระองค์ทรงเปิดเผยไว้แล้วในพระลักษณะนิสัยของพระองค์  พระองค์ทรงเป็นจุดศูนย์รวมของความจริงที่ทรงสั่งสอน  พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ พระบิดาทรงสอนเราอย่างไร เราก็กล่าวอย่างนั้น และพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาก็สถิตอยู่กับเรา พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ”  พระองค์ไม่ทรงพยายามพิสูจน์คำกล่าวอ้างความเป็นพระเมสสิยาห์ แต่ทรงแสดงให้เห็นการทรงร่วมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า  หากพวกเขายอมเปิดใจให้กับความรักของพระเจ้าแล้วพวกเขาจะต้องรับพระเยซูด้วย  {DA 465.3}     

ท่ามกลางผู้ที่ฟังพระองค์มีคนมากมายถูกดึงดูดเข้ามาหาพระองค์ด้วยความเชื่อ และพระองค์ตรัสกับคนเหล่านี้ว่า “ถ้าพวกท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท ” {DA 466.1}          

พระดำรัสเหล่านี้ทำให้พวกฟาริสีทั้งหลายขุ่นเคือง  พวกเขาอุทานขึ้นมาด้วยความโกรธโดยไม่คำนึงถึงประเทศชาติของตนที่อยู่ภายใต้แอกการปกครองของต่างชาติมาอย่างเนิ่นนานว่า “เราสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัม และไม่เคยเป็นทาสใครเลย ทำไมท่านถึงกล่าวว่าเราจะเป็นไท?”  พระเยซูทอดพระเนตรคนเหล่านี้ที่ตกเป็นทาสของความผูกพยาบาท ผู้ที่มีแต่ความคิดของการแก้แค้น และทรงตอบอย่างเศร้าพระทัยว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป”  พวกเขาตกอยู่ภายใต้ความเป็นทาสที่เลวร้ายที่สุดตือถูกครอบงำด้วยวิญญาณแห่งความชั่ว  {DA 466.2}                   

จิตวิญญาณทุกดวงที่ปฏิเสธการมอบถวายตนให้แก่พระเจ้าจะไปอยู่ภายใต้การควบคุมของอีกอำนาจหนึ่ง  เขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง  เขาอาจพูดถึงเสรีภาพแต่เขาตกอยู่ในสภาพความเป็นทาสน่าสังเวชที่สุด  เขาไม่ได้รับอนุญาตให้มองเห็นความงามของความจริงเพราะความคิดของเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน  ในขณะที่เขายกยอตนเองว่ากำลังปฏิบัติตามแนวคิดของตนเอง แต่เขากำลังปฏิบัติตามคำสั่งการของเจ้าชายแห่งความมืด  พระคริสต์เสด็จมาเพื่อปลดโซ่ตรวนแห่งความเป็นทาสของบาปออกจากจิตวิญญาณ “ถ้าพระบุตรทรงทำให้พวกท่านเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ” “เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ได้ทำให้” เราทั้งหลาย  “พ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย”  โรม 8 ข้อที่ 2  {DA 466.3}      

พระราชกิจแห่งการทรงไถ่นั้นไม่มีการบังคับ  ไม่มีการใช้แรงจากภายนอก  ภายใต้อิทธพลของพระวิญญาณของพระเจ้ามนุษย์มีเสรีภาพที่จะเลือกว่าจะปรนนิบัติผู้ใด  เมื่อจิตวิญญาณที่มอบถวายพระคริสต์แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาจะสัมผัสได้ถึงเสรีภาพที่สูงส่งที่สุด  การขับไล่บาปให้ออกไปเป็นการกระทำของจิตวิญญาณเอง  จริงอยู่เราไม่มีอำนาจที่จะปลดปล่อยตัวเราเองออกจากการควบคุมของซาตาน แต่เมื่อเราปรารถนาที่จะหลุดพ้นจากบาปและในความต้องการของเราร้องขออำนาจที่อยู่ภายนอกและอยู่เหนือตัวเราแล้ว อำนาจจากจิตวิญญาณจะอิ่มเอิบด้วยพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเจ้าและพวกเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งของความตั้งใจในการปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าให้สำเร็จ  {DA 466.4}      

เงื่องไขเดียวของเสรีภาพมนุษย์คือการอยู่ร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ “สัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท” และพระคริสต์ทรงเป็นสัจจะ  บาปจะมีชัยชนะได้ก็ต่อเมื่อมันทำให้สมองอ่อนแอ และด้วยการทำลายเสรีภาพของจิตวิญญาณ  การมอบถวายตัวให้พระเจ้าเป็นการทำให้จิตวิญญาณกลับสู่สภาพตัวของเขาเอง  คือกลับไปสู่พระสิริและความมีเกียรติของความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง  พระบัญญัติของพระเจ้าที่เราเข้ามอบตัวเพื่ออยู่ภายใต้การควบคุมนั้น คือ “หลักเกณฑ์แห่งเสรีภาพ”  ยากอบ 2 ข้อที่ 14  {DA 466.5}                

พวกฟาริสีประกาศไปแล้วว่าพวกเขาเป็นลูกของอับราฮัม พระเยซูตรัสบอกพวกเขาว่าวิธีเดียวเพื่อพิสูจน์คำอ้างนี้คือให้ปฏิบัติตามที่อับราฮัมปฏิบัติ  ลูกที่แท้จริงของอับราฮัมจะดำเนินชีวิตแห่งการเชื่อฟังพระเจ้าเหมือนอับราฮัม พวกเขาจะไม่พยายามฆ่าพระองค์ผู้ตรัสความจริงที่พระเจ้าประทานให้แก่พระองค์ เมื่อพวกธรรมาจารย์วางแผนทำร้ายพระคริสต์ พวกเขาไม่ได้เดินตามรอยเท้าของอับราฮัม การเป็นแค่ทายาทสายตรงของอับราฮัมไม่มีค่าอันใด  พวกเขาไม่ใช่ลูกของอับราฮัมเว้นแต่พวกเขาจะมีความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณกับท่าน ซึ่งจะแสดงออกโดยการมีวิญญาณจิตเและการทำงานแบบเดียวกัน  {DA 466.6}                

หลักการนี้เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่เขย่าสังคมคริสเตียนด้วยความสำคัญที่เท่าเทียมกันมาเนิ่นนานแล้ว นั่นคือปัญหาเรื่องอำนาจของการสืบทอดทางศาสนา  ชื่อและสายโลหิตที่ตกทอดมานั้นไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นผู้สืบสกุลจากอับราฮัม แต่ด้วยการมีลักษณะอุปนิสัยคล้ายคลึงกันต่างหาก  ด้วยเหตุนี้การสืบทอดทางศาสนาไม่ได้ขึ้นกับการส่งต่อซึ่งอำนาจทางฝ่ายศาสนา แต่ขึ้นกับความสัมพันธ์ทางฝ่ายจิตวิญญาณ  ชีวิตที่นำโดยวิญญาณของอัครทูต ความเชื่อและการสอนความจริงที่พวกเขาสอนล้วนเป็นหลักฐานที่แท้จริงของการสืบทอดทางศาสนา  นี่คือองค์ประกอบของเหล่าคนทั้งหลายซึ่งเป็นผู้สืบทอดมรดกของการเป็นครูสอนข่าวประเสริฐรุ่นแรก  {DA 467.1}            

พระเยซูทรงปฏิเสธว่าชาวยิวเป็นบุตรของอับราฮัม พระองค์ตรัสว่า “พวกท่านทำสิ่งที่พ่อของท่านทำ”  พวกเขาทูลพระองค์อย่างเย้ยหยันว่า “เราไม่ได้เกิดจากการล่วงประเวณี เรามีพระบิดาองค์เดียวคือพระเจ้า”  คำพูดนี้มีนัยพาดพิงถึงลักษณะการพระสูติของพระองค์โดยมุ่งโต้พระคริสต์ต่อหน้าคนทั้งหลายที่เริ่มจะเชื่อพระองค์  พระเยซูไม่ได้ทรงใส่พระทัยกับการพูดเป็นนัยในเชิงอันต่ำช้า แต่ตรัสว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพระบิดาของพวกท่านแล้ว ท่านก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้าและอยู่นี่แล้ว”  {DA 467.2}                   

ผลงานของพวกเขาแสดงออกให้เห็นว่าเขามีความสัมพันธ์กับผู้หนึ่งที่พูดมุสาและเป็นฆาตกร  พระเยซูตรัสว่า “พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ  มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา  แต่พวกท่านไม่เชื่อเราเพราะเราพูดความจริง”  ยอห์น 8 ข้อที่ 44, 45  ผู้นำชาวยิวไม่ยอมรับพระเยซูเนื่องจากว่าพระองค์ตรัสความจริงและยังตรัสได้อย่างแน่วแน่ด้วย  สัจจะทำให้คนเหล่านี้ที่ถือว่าตนชอบธรรมโกรธเคือง  สัจจะเปิดโปงความผิดพลาดของความผิดทั้งหลาย  สัจจะตำหนิคำสอนและการกระทำของพวกเขา และพวกเขาไม่ต้อนรับสิ่งเหล่านี้  พวกเขาต้องการปิดตาให้กับสัจจะมากยิ่งกว่าถ่อมตนลงเพื่อสารภาพว่าตนผิดพลาด  พวกเขาไม่รักสัจจะ  ไม่ประสงค์ที่จะได้สัจจะทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นความจริง  {DA 467.3}                  

มีใครในพวกท่านที่อาจชี้ให้เห็นว่าเรามีบาป?  ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านถึงไม่เชื่อเรา?”  วันแล้ววันเล่าเป็นเวลาสามปี ศัตรูของพระคริสต์ติดตามพระองค์อยู่เสมอ  คอยพยายามหาจุดด่างพร้อยในลักษณะนิสัยของพระองค์  ซาตานพร้อมด้วยเหล่าบริวารพยายามที่จะเอาชนะพระองค์แต่พวกเขาหาช่องทางใดเพื่อเอาเปรียบพระองค์ไม่ได้  แม้แต่มารก็ยังถูกบังคับให้สารภาพว่า “พระองค์เป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า”  มาระโก 1 ข้อที่ 24  พระเยซูปฏิบัติตามพรบัญญัติต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ต่อหน้าโลกอื่นๆ ที่ไม่ได้ล้มลงในบาปและต่อหน้ามนุษย์ที่ตกอยู่ในความบาป  พระองค์ตรัสต่อหน้าทูตสวรรค์ มนุษย์และมารทั้งหลายว่า “เราทำตามชอบพระทัยพระองค์เสมอ” ซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วง แต่หากประโยคนี้ออกจากปากผู้อื่นก็จะเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า {DA 467.4}              

ความจริงที่ว่าชาวยิวหาบาปจากในตัวพระคริสต์ไม่ได้และยังไม่ยอมแม้แต่จะยอมรับพระองค์ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเลย  พวกเขาจำและยอมรับพระสุรเสียงของพระเจ้าในข่าวสารที่พระบุตรทรงสั่งสอนไม่ได้  พวกเขาคิดว่ากำลังตัดสินพระคริสต์ แต่โดยการปฏิเสธพระองค์ พวกเขากำลังกำหนดโทษตนเอง  พระเยซูตรัสว่า “คนที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังพระดำรัสของพระเจ้า  พวกท่านไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเหตุนี้พวกท่านจึงไม่ฟัง”  {DA 468.1}          

บทเรียนนี่ใช้ได้ทุกยุคสมัย  หลายคนที่ชื่นชอบกับการพูดประชดประชัน ตำหนิ หาข้อสงสัยในพระคำของพระเจ้า คิดว่าตนแสดงออกซึ่งความคิดที่อิสระและเฉียบแหลมทางปัญญา  เขาคิดว่าตนกำลังนั่งตัดสินด้วยพระคัมภีร์ แท้จริงแล้วเขากำลังตัดสินตนเอง  เขาแสดงออกให้เห็นว่าเขาไม่รู้สำนึกคุณค่าของความจริงที่มีต้นกำเนิดจากสวรรค์และครอบคลุมถึงนิรันดร์กาล  เมื่อเขาอยู่เบื้องหน้าภูเขายิ่งใหญ่แห่งความชอบธรรมของพระเจ้าจิตวิญญาณของเขาไม่มีความเกรงกลัว  เขาทำตัวยุ่งอยู่กับการค้นหาเศษไม้และฟาง และด้วยการทำนี้เขาแสดงออกให้เห็นถึงจิตใจคับแคบและธรรมชาติที่ฝักใฝ่ทางฝ่ายโลก หัวใจกำลังสูญเสียสมรรถภาพที่จะซาบซึ้งในพระเจ้าไปอย่างรวดเร็ว  ผู้ที่มีหัวใจตอบสนองต่อการสัมผัสของพระเจ้าจะแสวงหาสิ่งที่จะเพิ่มความรู้ของเขาในเรื่องพระเจ้าและจะทำให้ลักษณะอุปนิสัยของเขานุ่มนวลและสูงส่งขึ้น  ดั่งดอกไม้ที่หันเข้าไปหาดวงอาทิตย์เพื่อให้ลำแสงสว่างเจิดจ้าตบแต่งด้วยแววสีงดงามตา จิตวิญญาณก็จะหันเข้าหาดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม เพื่อให้แสงสว่างของสวรรค์ทำให้ลักษณะอุปนิสัยงดงามด้วยพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์  {DA 468.2}                  

พระเยซูตรัสต่อไปเพื่อให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างจุดยืนของชาวยิวกับของอับราฮัมว่า “อับราฮัมบิดาของพวกท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และท่านก็เห็นแล้วและมีความยินดี” {DA 468.3}           

อับราฮัมปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ที่จะเห็นพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงสัญญาไว้  ก่อนวันตายเขาอธิษฐานด้วยความจริงใจอย่างสุดซึ้งที่จะได้พบพระเมสสิยาห์  และเขาก็ได้พบพระคริสต์  มีแสงหนึ่งที่เหนือธรรมชาติได้ทรงโปรดประทานให้แก่เขา และเขายอมรับพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์  เขาเห็นวันของพระองค์และชื่นชมยินดี  เขาได้รับพระราชทานภาพของการถวายบูชาของพระเจ้าเพื่อไถ่บาป ในการถวายบูชานี้ เขาได้เห็นภาพแสดงตัวอย่างจากประสบการณ์ของเขาเอง  พระบัญชาได้มาถึงเขาว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก. . . .และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา”  ปฐมกาล 22 ข้อที่ 2  เขาวางบุตรที่พระองค์ทรงสัญญาไว้บนแท่นถวายบูชา บุตรที่เขาตั้งความหวังทั้งหมดของเขาไว้กับเขา  แล้วเขาก็รอคอยอยู่ข้างแท่นบูชา ชูมีดขึ้นสูงพร้อมปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้าและเขาได้ยินเสียงหนึ่งจากสวรรค์พูดว่า “อย่าแตะต้องเด็กนั้น อย่าทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า และเจ้าไม่ได้หวงบุตรชายคือบุตรชายคนเดียวของเจ้าไว้จากเรา”  ปฐมกาล 22 ข้อที่ 12  การทดสอบอันทรหดน่ากลัวที่สุดถูกกำหนดให้เกิดขึ้นกับอับราฮัมเพื่อเขาจะได้มองเห็นวันของพระคริสต์และตระหนักถึงความรักใหญ่ยิ่งของพระเจ้าที่ทรงมีไว้ให้โลก ยิ่งใหญ่มากจนกระทั่งยกชูโลกขึ้นมาให้พ้นจากความเสื่อมทรามของมัน พระองค์ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ให้มาสิ้นพระชนม์ด้วยความตายที่อัปยศที่สุด  {DA 468.4}                             

อับราฮัมได้รับบทเรียนยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระเจ้าอย่างที่ยังไม่เคยประทานให้กับมนุษย์มตะคนใด  คำอธิษฐานของเขาเพื่อขอให้เห็นพระคริสต์ก่อนตายนั้นได้รับคำตอบแล้ว  เขาได้เห็นพระคริสต์ เขาได้เห็นทั้งหมดที่มนุษย์มตะจะเห็นได้และยังมีชีวิตอยู่  ด้วยการมอบถวายชีวิตทั้งหมด เขาจึงเข้าใจนิมิตเรื่องพระคริสต์ที่ทรงโปรดประทานให้แก่เขา  เขาได้รับการเปิดเผยให้เห็นว่าด้วยการประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อช่วยคนบาปให้รอดจากความพินาศชั่วนิรันดร์นั้น พระเจ้าทรงเสียสละที่ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์กว่าการเสียสละใดที่มนุษย์จะทำได้  {DA 469.1}              

ประสบการณ์การของอับราฮัมตอบคำถามที่ว่า “ข้าพเจ้าจะนำอะไรเข้ามาเฝ้าพระยาห์เวห์ และกราบไหว้พระเจ้าเบื้องสูง?  ควรข้าพเจ้าจะเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยเครื่องบูชาเผาทั้งตัวหรือ?  ด้วยลูกวัวอายุหนึ่งปีหลายตัวหรือ?  พระยาห์เวห์จะพอพระทัยการถวายแกะผู้หลายพันตัวและธารน้ำมันหลายหมื่นสายหรือ?  ควรข้าพเจ้าจะถวายบุตรหัวปีไถ่การละเมิดของตนหรือ?  คือถวายบุตรไถ่บาปของตน”  มีคาห์ 6 ข้อที่ 6, 7  ด้วยคำพูดของอับราฮัม “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา”  ปฐมกาล 22 ข้อที่ 8  และการทรงจัดเตรียมเครื่องเผาบูชาไปแทนอิสอัคนั้นเป็นการประกาศว่าไม่มีมนุษย์คนใดลบบาปให้แก่ตนเองได้  ระบบการถวายเครื่องบูชาของคนนอกศาสนานั้นไม่เป็นที่ยอมรับของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง  ไม่มีพ่อคนใดจะต้องเอาบุตรชายหรือบุตรหญิงของตนขึ้นถวายเพื่อลบบาป  พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าเท่านั้นผู้ทรงแบกรับบาปของโลกได้  {DA 469.2}           

ด้วยความทุกข์ทรมานของตัวเขาเองที่ทำให้อับราฮัมเห็นพันธกิจแห่งการเสียสละของพระผู้ช่วยให้รอด  แต่ชนชาติอิสราเอลไม่ยอมทำความเข้าใจกับสิ่งที่หัวใจหยิ่งยโสของพวกเขาไม่ต้อนรับ  พระดำรัสของพระคริสต์ที่ตรัสถึงอับราฮัมนั้นไม่มีความหมายสำคัญต่อผู้ฟังของพระองค์  ฟารีสีทั้งหลายเห็นแต่โอกาสใหม่เพื่อการถากถาง  พวกเขาโต้กลับด้วยการเย้ยหยันเพื่อต้องการพิสูจน์ว่าพระเยซูเสียสติไปแล้วว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี ท่านเคยเห็นอับราฮัมแล้วหรือ?” {DA 469.3}            

ด้วยความภูมิฐานอย่างน่าเกรงขามพระเยซูทรงตอบว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” {DA 469.4}              

ความเงียบครอบคลุมฝูงชนขนาดใหญ่ที่มาชุมนุมกันอยู่นี้ พระนามของพระเจ้าที่ทรงโปรดประทานให้โมเสสเพื่อแสดงถึงการทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยนิรันดร์นั้นถูกพระอาจารย์กาลิลีท่านนี้อ้างมาเป็นของตน  พระองค์ทรงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่ได้ด้วยตนเอง  พระองค์ผู้ทรงได้รับการสัญญาไว้สาหรับชนชาติอิสราเอลว่า “ต้นตระกูลของท่านมาจากสมัยเก่า จากสมัยโบราณกาล”  มีคาห์ 5 ข้อที่ 2  {DA 469.5}                

อีกครั้งหนึ่งพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ร้องตะโกนกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นผู้หมิ่นประมาทพระเจ้า  คำอ้างของพระองค์ในคราวก่อนที่ว่าทรงอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งกับพระเจ้านั้นปลุกพวกเขาให้ทำลายชีวิตของพระองค์ และหลายเดือนต่อมาพวกเขาประกาศอย่างเปิดเผยว่า “เราจะขว้างท่านไม่ใช่เพราะการดีใดๆ แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า”  ยอห์น 10 ข้อที่ 33  เนื่องจากว่าพระองค์ทรงเป็น และยังทรงอ้างตนว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า พวกเขาจึงตั้งหน้าที่จะทำลายพระองค์  บัดนี้คนจำนวนมากที่เข้าข้างพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์หยิบก้อนหินขึ้นมาจะขว้างพระองค์ “แต่พระเยซูทรงหลบเลี่ยงและเสด็จออกไปจากบริเวณพระวิหาร”  {DA 470.1}              

พระองค์ทรงเป็นแสงสว่างส่องไปยังความมืดแต่ “ความมืดไม่อาจเอาชนะความสว่างได้”  ยอห์น 1 ข้อที่ 5  {DA 470.2}                

ขณะพระองค์เสด็จไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด  พวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ ใครทำบาป คนนี้หรือพ่อแม่ของเขา เขาถึงเกิดมาตาบอด?’ พระเยซูตรัสตอบว่า ‘ไม่ใช่คนนี้หรือพ่อแม่ของเขาที่ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา. . . .เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด แล้วตรัสสั่งเขาว่า ‘จงไปล้างโคลนออกในสระสิโลอัม’ (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็มองเห็น” {DA 470.3}                

โดยทั่วไปแล้ว ชาวยิวเชื่อว่าบาปจะถูกลงโทษในชั่วชีวิตนี้  ทุกความทุกข์ยากจะถือว่าเกิดจากการลงโทษของการกระทำผิดอันเกิดจากตัวเขาเองหรือของพ่อแม่ของเขา  จริงอยู่ที่ความทุกข์ทรมานเป็นผลสืบเนื่องจากการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า แต่ความจริงนี้ถูกบิดเบือนไปแล้ว  ซาตานผู้เป็นต้นกำเนิดบาปและผลทั้งหลายของบาปนั้นนำพาให้มนุษย์เข้าใจว่าโรคและความตายเกิดมาจากพระเจ้า เป็นการลงโทษอันเนื่องจากบาปที่ทำไป  ด้วยเหตุนี้เมื่อผู้ใดได้รับทุกข์ภัยหรือตกอยู่ในความทรมาน เขาจะถูกซ้ำเติมว่าเป็นคนบาปยิ่งใหญ่  {DA 471.1}                      

ด้วยประการฉะนี้จึงเป็นการปูทางให้ชาวยิวปฏิเสธพระเยซู  พระองค์ผู้ทรง “แบกความเจ็บไข้ของพวกเรา และหอบความเจ็บปวดของเราไป" นั้นถูกชาวยิว "ดูหมิ่นและถูกทอดทิ้ง" และพวกเขาเบือนหน้าไปจากพระองค์  อิสยาห์ 53 ข้อที่ 4, 3  {DA 471.2}                

พระเจ้าประทานบทเรียนที่ออกแบบไว้เพื่อป้องกันเรื่องนี้  ประวัติศาสตร์เรื่องของโยบแสดงให้เห็นว่าซาตานเป็นผู้กระทำให้เกิดทุกข์ทรมาน และพระเจ้าทรงขัดขวางเพื่อจุดประสงค์แห่งความเมตตา  แต่ชนชาติอิสราเอลไม่เข้าใจบทเรียน  ความผิดเดียวกันที่พระเจ้าทรงติเตียนสหายของโยบนั้นกำลังเกิดขึ้นในคนยิวอีกครั้งด้วยการปฏิเสธพระคริสต์  {DA 471.3}     

สาวกของพระคริสต์ยึดถือตามความเชื่อของชาวยิวในเรื่องความสัมพันธ์ของบาปและความทุกข์  ในขณะที่พระเยซูทรงแก้ไขความผิดของพวกเขา พระองค์ไม่ได้อธิบายสาเหตุความทุกข์ของมนุษย์แต่ทรงบอกพวกเขาถึงผลที่จะตามมา  เนื่องจากผลเช่นนี้ พระราชกิจของพระเจ้าจะได้ปรากฏให้เห็น  พระองค์ตรัสว่า “ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราก็เป็นความสว่างของโลก”  เมื่อทรงเอาโคลนทาที่ตาของคนตาบอดแล้ว พระองค์ตรัสสั่งให้เขาไปล้างที่สระสิโลอัมและตาของชายนั้นก็เปิดออก  ด้วยวิธีนี้พระเยซูทรงตอบคำถามของสาวกด้วยการลงมือปฏิบัติซึ่งเป็นวิธีที่พระองค์มักทรงใช้ตอบคำถามที่ถามพระองค์เพราะความอยากรู้อยากเห็น สาวกไม่มีหน้าที่ไปถกปัญหาว่าผู้ใดกระทำบาปหรือไม่ได้กระทำบาป แต่พวกเขาจะต้องเข้าใจอำนาจและพระเมตตาคุณของพระเจ้าในการประทานการมองเห็นให้แก่คนตาบอดเป็นที่ประจักษ์ว่าทั้งโคลนและสระน้ำที่คนตาบอดไปล้างนั้นไม่มีฤทธิ์อำนาจในการรักษา แต่ฤทธิ์อำนาจนั้นอยู่ในพระคริสต์  {DA 471.4}                              

พวกฟาริสีไม่อาจทำอะไรได้นอกจากตะลึงกับการรักษา  ถึงกระนั้นพวกเขาก็โกรธแค้นมากยิ่งนักเพราะการอัศจรรย์นี้กระทำในวันสะบาโต  {DA 471.5}                       

เพื่อนบ้านของชายหนุ่มและผู้ที่รู้จักเขาในสมัยที่เขายังตาบอดต่างพูดกันว่า “คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน?”  พวกเขามองดูชายหนุ่มด้วยความสงสัย เพราะเมื่อตาของเขาเปิดออกแล้วหน้าตาของเขาก็เปลี่ยนไปและสดใสขึ้น  และมีลักษณะเป็นคนละคนกัน  พวกเขาถามกันไปมา  บางคนพูดว่า “ใช่คนนั้นแหละ”  บางคนก็ว่า “แต่เขาเหมือนคนนั้น” แต่ผู้ที่ได้รับพระพรยิ่งใหญ่นี้ตอบคำถามนี้ด้วยการพูดว่า “ข้าพเจ้าคือคนนั้น” และเขาบอกพวกเขาถึงเรื่องของพระเยซูและวิธีที่พระองค์ทรงรักษาให้เขาหาย และพวกเขาถามอีกว่า “เขาอยู่ไหน?’ คนนั้นบอกว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ” {DA 471.6}                      

แล้วพวกเขาก็พาชายคนนี้ไปที่สภาของฟาริสี  พวกเขาถามชายคนนี้อีกครั้งหนึ่งว่าตาหายบอดได้อย่างไร  "เขาจึงบอกคนเหล่านั้นว่า ‘ท่านเอาโคลนทาตาของข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าก็ไปล้างออกแล้วก็มองเห็น’  พวกฟาริสีบางคนพูดว่า ‘ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า เพราะเขาไม่ได้รักษาวันสะบาโต’”  ฟาริสีทั้งหลายหวังจะจัดพระเยซูให้เป็นคนบาปและด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่พระเมสสิยาห์  พวกเขาไม่รู้เลยว่าพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้สร้างวันสะบาโต และทรงทราบถึงข้อผูกมัดทั้งหมดของเรื่องวันสะบาโตนั้นคือผู้ที่รักษาคนตาบอดให้หาย  พวกเขาทำตัวว่าร้อนรนในการถือรักษาวันสะบาโตแต่กระนั้นก็ยังกำลังวางแผนที่จะฆ่าพระองค์ในวันนั้น  แต่คนมากมายประทับใจอย่างสุดซึ้งเมื่อได้ยินถึงเรื่องการอัศจรรย์นี้และเชื่ออย่างมั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงเปิดตาของคนตาบอดนั้นเป็นมากยิ่งกว่าคนธรรมดา  เพื่อตอบการกล่าวหาว่าพระเยซูเป็นคนบาปเพราะพระองค์ไม่ทรงถือรักษาวันสะบาโตพวกเขาพูดว่า “คนบาปจะทำหมายสำคัญอย่างนั้นได้อย่างไร?”  {DA 472.1}                         

อีกครั้งหนึ่งพวกธรรมาจารย์ร้องขอชายตาบอดว่า “’เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาทำให้ตาของเจ้าหายบอด?’ ชายคนนั้นตอบว่า ‘ท่านเป็นผู้เผยพระวจนะ’” แล้วพวกฟาริสีก็กล่าวอ้างว่าชายนี้ไม่ได้เกิดมาตาบอดและได้รับการรักษาให้หายบอด  พวกเขาไปตามบิดามารดาของเขามาและซักถามพวกเขาว่า “ชายคนนี้เป็นลูกของเจ้าที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาตั้งแต่เกิดหรือ?”  {DA 472.2}                  

ชายคนที่ประกาศด้วยตัวเขาเองว่าตาบอดและได้รับการรักษาให้หายแล้วอยู่ที่นั่น แต่พวกฟาริสีต้องการที่จะปฏิเสธหลักฐานต่างๆ ที่ตนเองได้สัมผัสมากกว่าที่จะยอมรับว่าตนเองผิด  อคตินั้นมีอำนาจรุนแรงเพียงไรและความชอบธรรมอย่างฟาริสีนั้นผิดเพี้ยนจนบิดเบือนได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ  {DA 472.3}                     

พวกฟารีสียังคงมีความหวังเดียวที่เหลืออยู่และนั่นก็คือการขู่บิดามารดาของชายคนนั้น  ด้วยการแสดงออกให้เห็นว่าจริงใจ พวกเขาถามว่า “แล้วทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น?” บิดามารดากลัวที่จะประนีประนอมกับตนเองเพราะเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าใครก็ตามที่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์จะต้องถูก “ถูกขับออกจากธรรมศาลา” ซึ่งหมายความว่าจะต้องถูกกันออกจากธรรมศาลานานสิบวัน  ในช่วงเวลานี้จะนำเด็กมาประกอบพิธีสุหนัตไม่ได้และห้ามไว้ทุกข์ให้กับผู้ตายที่บ้านของผู้ถูกขับออก  การตัดสินเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องหายนะยิ่งใหญ่ และหากโทษนี้ไม่ได้ทำให้เขากลับใจแล้วเขาจะได้รับโทษที่ยิ่งใหญ่กว่านี้  พระราชกิจยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นในลูกชายของพวกเขาทำให้ผู้เป็นบิดามารดารับการดลใจ  แต่ถึงกระนั้นก็ยังตอบไปว่า “เรารู้ว่าคนนี้เป็นลูกของเรา และรู้ว่าเขาเกิดมาตาบอด แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาถึงมองเห็นหรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด  ถามเขาเอาเองเถิด เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เขาเล่าเรื่องเองได้”  ด้วยประการฉะนี้พวกเขาผลักความรับผิดชอบทั้งหมดจากตัวเขาเองไปให้บุตรชายเพราะพวกเขาไม่กล้ารับพระคริสต์  {DA 472.4}                        

ภาวะวิกฤตที่พวกฟาริสีเผชิญหน้าอยู่นี้รวมทั้งการสอบสวนและอคติจนถึงเรื่องความไม่เชื่อในข้อเท็จจริงกำลังเปิดตาของประชาชนโดยเฉพาะตาของคนสามัญชนทั่วไป  พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์อย่างเปิดเผยตามถนนหนทางอยู่บ่อยครั้งและเป็นพระราชกิจที่จัดว่ามีลักษณะของการบรรเทาความทุกข์ทรมาน  คำถามที่เกิดขึ้นในสมองของคนจำนวนมากคือ พระเจ้าจะทรงกระทำพระราชกิจยิ่งใหญ่ผ่านคนหลอกลวงตามที่พวกฟาริสียืนยันว่าพระเยซูเป็นเช่นนั้นหรือ?  ข้อพิพากโต้แย้งระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นกลายเป็นเรื่องที่ทำกันอย่างจริงจัง  {DA 473.1}                            

พวกฟาริสีมองเห็นว่าพวกเขากำลังทำให้ผลงานของพระเยซูถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชน  พวกเขาไม่อาจปฏิเสธการอัศจรรย์  คนตาบอดเปี่ยมล้นด้วยความสุขและซาบซึ้งในพระคุณ  เขามองเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของธรรมชาติและหัวใจเต็มล้นด้วยความชื่นบานเมื่อเห็นความงามของโลกและท้องฟ้า  เขาเล่าประสบการณ์ได้อย่างคล่องแคล่วและอีกครั้งพวกฟาริสีพยายามหยุดห้ามเขาโดยพูดว่า “จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า  เรารู้ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป”  คือพวกเขากำลังบอกว่าอย่าได้พูดอีกว่าชายคนนี้ทำให้เจ้ามองเห็นแต่พระเจ้าต่างหากที่ได้ทรงประกอบกิจนี้  {DA 473.2}                             

คนตาบอดตอบว่า “ชายคนนั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าพเจ้าไม่ทราบ  สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าทราบคือข้าพเจ้าเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามองเห็นได้แล้ว” {DA 473.3}                   

แล้วพวกเขาก็ซักถามอีกว่า “คนนั้นทำอะไรกับเจ้า? เขาทำอย่างไรตาของเจ้าถึงหายบอด?”  ด้วยคำพูดมากมายพวกเขาพยายามทำให้ชายคนนั้นสับสนเผื่อเขาอาจจะคิดว่าตนเองถูกหลอกลวง  ซาตานและทูตชั่วของมันอยู่ฝ่ายของพวกฟาริสี และรวมพลังและเล่ห์เหลี่ยมร่วมกับเหตุผลของมนุษย์เพื่อลบล้างอิทธิพลของพระคริสต์  พวกเขาทำลายความเชื่อที่กำลังจะฝังลึกลงในใจของหลายคน  ทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็อยู่เคียงข้างเช่นกันชูกำลังช่วยชายที่ตาถูกรักษาให้หายบอด  {DA 473.4}                         

พวกฟาริสีไม่ได้ตระหนักว่าพวกเขากำลังเข้าไปเกี่ยวข้องกับอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่ใช่ชายที่ไม่มีการศึกษาและเกิดมาตาบอด  พวกเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ที่พวกเขากำลังต่อสู้อยู่  แสงจากพระเจ้าส่องสว่างเข้าไปยังห้องชั้นในของจิตวิญญาณของคนตาบอด ขณะที่คนหน้าไหว้หลังหลอกเหล่านี้พยายามทำให้เขาไม่เชื่อ พระเจ้าทรงช่วยเขาตอบอย่างกระฉับกระเฉงและเฉียบแหลมเพื่อแสดงว่าเขาไม่ถูกหลอก  เขาตอบว่า “’ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วแต่ท่านไม่ฟัง ทำไมท่านถึงอยากฟังอีก? อยากเป็นศิษย์ของคนนั้นด้วยหรือ?’  คนเหล่านั้นจึงเยาะเย้ยเขาว่า ‘เอ็งเป็นศิษย์ของเขา แต่เราเป็นศิษย์ของโมเสส  เรารู้ว่าพระเจ้าตรัสกับโมเสส แต่สำหรับคนนั้นเราไม่รู้ว่ามาจากไหน’” {DA 474.2}                   

พระเยซูเจ้าทรงทราบถึงการต่อสู้ที่ชายคนนั้นกำลังเผชิญอยู่และพระองค์ประทานพระคุณและคำพูดให้แก่เขา เพื่อเขาจะเป็นพยานให้กับพระคริสต์  เขาตอบพวกฟาริสีด้วยคำพูดที่ตำหนิผู้ถามอย่างเจ็บปวด  พวกเขาซึ่งทำหน้าที่ผู้นำศาสนาระดับชาติอ้างว่าตนเป็นผู้อธิบายพระคัมภีร์ได้ แต่ถึงกระนั้นมีท่านผู้หนึ่งอยู่ที่นี่ทรงประกอบกิจแห่งการอัศจรรย์และพวกเขาสารภาพว่าไม่รู้แหล่งที่มาของฤทธิ์อำนาจของพระองค์ และลักษณะนิสัยและคำกล่าวอ้างสิทธิ์ของพระองค์  ชายคนนั้นพูดว่า “เออ ประหลาดจริงๆ นะที่พวกท่านไม่รู้ว่าคนนั้นมาจากไหน แต่เขาก็ทำให้ตาของข้าพเจ้าหายบอดได้  เรารู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงฟังคนบาป แต่ทรงฟังคนที่ยำเกรงพระองค์และทำตามพระทัยของพระองค์  ตั้งแต่สมัยไหนๆ ก็ไม่เคยมีใครได้ยินว่ามีคนสามารถทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้  ถ้าคนนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เขาจะไม่สามารถทำได้” {DA 474.2}              

ชายคนนี้โต้ผู้สอบสวนด้วยตัวของเขาเอง  พวกเขาโต้เหตุผลของเขาไม่ได้  พวกฟาริสีประหลาดใจและแน่นิ่งไป  พวกเขาตะลึงกับคำพูดที่เฉียบแหลมและแน่วแน่  ชั่วขณะหนึ่งมีแต่ความเงียบ  และแล้วปุโรหิตและธรรมาจารย์ที่ถมึงทึงเหล่านี้ก็รวบชายเสื้อแนบชิดกับตัวทำตัวเสมือนหนึ่งกลัวเปรอะเปื้อนจากการแตะต้องตัวเขา  พวกเขาสะบัดฝุ่นออกจากเท้าและโหมกระหน่ำคำตะคอกใส่เขา “เอ็งมันบาปมาตั้งแต่เกิดแล้วยังจะมาสอนเราหรือ?” และแล้วพวกเขาก็อเปหิเขาไป  {DA 474.3}                  

พระเยซูทรงได้ยินการกระทำที่เกิดขึ้นกับชายคนนี้และเมื่อพบเขาในเวลาไม่นานต่อมาพระองค์ตรัสว่า “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?”  {DA 474.4}          

ชายตาบอดเฝ้ามองเป็นครั้งแรกไปยังพระพักตร์พระเจ้าพระผู้ทรงรักษาให้เขาหาย  ต่อหน้าสภาเขาเห็นบิดามารดาตกอยู่ในความทุกข์และความงุนงงงสับสน  เขาเห็นคิ้วขมวดบนใบหน้าของพวกธรรมาจารย์ บัดนี้ดวงตาของเขาจ้องไปยังพระพักตร์ที่ทรงเปี่ยมด้วยรักและสันติสุขของพระเยซู  บัดนี้เขาเองต้องจ่ายด้วยราคาสูงเมื่อยอมรับพระองค์ว่าเป็นตัวแทนของอำนาจพระเจ้า บัดนี้การเปิดเผยระดับที่สูงขึ้นได้ทรงโปรดประทานให้แก่เขา  {DA 474.5}     

เมื่อพระเยซูตรัสถามเขาว่า “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?”  ชายที่เคยตาบอดตอบโดยถามขึ้นว่า “ท่านเจ้าข้า ใครคือบุตรมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะวางใจได้?”  และพระเยซูทรงตอบว่า “ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน”  ชายคนนั้นกราบนมัสการลงแทบพระบาทของพระเยซู เขาไม่เพียงแต่ได้รับสายตาในธรรมชาติคืนมาแต่สายตาแห่งความเข้าใจก็ได้ถูกเปิดออกด้วย  พระคริสต์ทรงปรากฏอยู่ต่อจิตวิญญาณของเขาและเขายอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ที่พระเจ้าประทาน  {DA 475.1}                      

บริเวณใกล้เคียงนั้นมีฟาริสีกลุ่มหนึ่งชุมนุมกันอยู่ และภาพของคนพวกนี้ทำให้พระคริสต์ทรงคิดถึงผลของพระดำรัสและพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ตรัสว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด”  พระคริสต์เสด็จมาเพื่อเปิดตาของคนตาบอด  เพื่อประทานแสงสว่างแก่เขาเหล่านั้นที่นั่งอยู่ในความมืด  พระองค์ทรงประกาศว่าพระองค์เองทรงเป็นความสว่างของโลกและการอัศจรรย์ที่กระทำไปเมื่อสักครู่นี้เป็นการยืนยันถึงพันธกิจของพระองค์  ผู้ที่มองเห็นพระผู้ช่วยให้รอดในการเสด็จมาของพระองค์ได้รับการโปรดปรานด้วยการทรงสำแดงถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์อย่างเต็มล้นมากขึ้นยิ่งกว่าที่โลกเคยได้ชื่นชมมา  ความรู้ในเรื่องของพระเจ้าถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น  แต่ในการเปิดเผยอันนี้เอง การพิพากษาได้ลงมาถึงคนทั้งหลายด้วยลักษณะอุปนิสัยของพวกเขาถูกทดสอบและชะตากรรมถูกกำหนดแล้ว  {DA 475.2}

การทรงสำแดงอำนาจของพระเจ้าที่ทรงมอบทั้งดวงตาทางฝ่ายธรรมชาติและและดวงตาฝ่ายจิตวิญญาณแก่คนตาบอดนั้น ทำให้พวกฟาริสีจมลงสู่ความมืดมากยิ่งขึ้น  ผู้ฟังบางคนของพระองค์รู้สึกตัวว่าพระองค์ตรัสถึงพวกเขา จึงถามขึ้นว่า “’เราตาบอดด้วยหรือ?’พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า ‘ถ้าพวกท่านตาบอดท่านก็จะไม่มีบาป’”  หากพระเจ้าทรงประกอบกิจเพื่อให้ท่านมองไม่เห็นความจริงแล้วความไม่รู้ของท่านจะไม่ทำให้ท่านมีความผิด  “แต่พวกท่านพูดเดี๋ยวนี้เองว่า ‘เรามองเห็น’”  ท่านเชื่อเอาว่าตัวท่านเองมองเห็นและปฏิเสธผู้ที่ทรงทำให้ท่านเห็นแสงสว่างได้  สำหรับคนที่ตระหนักถึงความต้องการ พระคริสต์จะเสด็จมาช่วยอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด  แต่พวกฟาริสียอมรับว่าไม่ต้องการสิ่งใด  พวกเขาปฏิเสธที่จะมาหาพระคริสต์และด้วยเหตุนี้จึงตกอยู่ในสภาพตาบอด เป็นความบอดที่พวกเขาต้องรับผิดเอง  พระเยซูตรัสว่า “บาปของท่านยังมีอยู่”  {DA 475.3}

***********