บทที่ 35
"จงสงบเงียบ"
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 8 ข้อที่ 23-34; มาระโก 4 ข้อที่ 35-41; 5 ข้อที่ 1-20; ลูกา 8 ข้อที่ 22-39
วันนั้นเป็นวันหนึ่งที่มีความหมายสำคัญในชีวิตของพระเยซู ณ ริมฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ตรัสอุปมาเรื่องแรกของพระองค์โดยใช้ภาพประกอบที่คุ้นเคยเพื่ออธิบายให้ประชาชนฟังอีกครั้งถึงธรรมชาติของอาณาจักรของพระองค์และวิธีที่จะสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ทรงเปรียบพระราชกิจของพระองค์เองกับงานของผู้หว่านพืชและการพัฒนาอาณาจักรของพระองค์กับการเติบโตของเมล็ดมัสตาร์ดและผลของเชื้อฟูในก้อนแป้งขนมปัง พระองค์ทรงบรรยายภาพการแยกคนชอบธรรมและคนชั่วซึ่งจะเกิดขึ้นครั้งสุดท้ายอย่างยิ่งใหญ่ไว้ในอุปมาเรื่องข้าวสาลีและข้าวละมานและอวนจับปลา ความจริงล้ำค่าอันเหลือล้นที่พระองค์ทรงสอนนั้นอธิบายด้วยเรื่องของสมบัติที่ซ่อนอยู่และไข่มุกอันล้ำค่า ส่วนในคำอุปมาเรื่องเจ้าของบ้านพระองค์ทรงสอนสาวกของพระองค์ว่าพวกเขาจะต้องทำงานอย่างไรในฐานะตัวแทนของพระองค์ {DA 333.1}
ตลอดทั้งวันพระองค์ทรงสั่งสอนและรักษา และเมื่อถึงเวลาเย็นฝูงชนก็ยังคงล้อมกันอยู่รอบพระองค์ วันแล้ววันเล่าพระองค์ทรงปรนนิบัติพวกเขาจนแทบจะไม่ได้หยุดพักรับประทานอาหารหรือพักผ่อน การตำหนิติเตียนและการตีความอย่างผิดๆ และมุ่งร้ายที่พวกฟาริสีคอยตามจับพระองค์อยู่ตลอดเวลานั้นทำให้พระราชกิจของพระองค์ดำเนินไปด้วยความยุ่งยากและลำบากมากยิ่งขึ้น และในช่วงท้ายวันนี้ จะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยอย่างถึงที่สุด พระองค์ทรงมุ่งที่จะพักผ่อนในสถานที่สันโดษสักแห่งหนึ่งในอีกฟากของทะเลสาบ {DA 333.2}
ชายฝั่งตะวันออกของเยนเนซาเรทใช่ว่าจะปลอดผู้คนอาศัย เพราะมีเมืองตั้งกระจัดกระจายอยู่ริมทะเลสาบ แต่กระนั้นก็ยังเป็นพื้นที่รกร้างเมื่อเทียบกับฝั่งตะวันตก มีประชากรนอกศาสนามากกว่าชาวยิวและพวกเขาสื่อสารกับชาวกาลิลีเพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงเอื้ออำนวยที่พักอันสงบโดดเดี่ยวให้แก่พระเยซูตามที่พระองค์ทรงแสวงหา และบัดนี้พระองค์ทรงบัญชาให้สาวกของพระองค์ไปที่นั่นกับพระองค์ {DA 333.3}
หลังจากที่พระองค์ทรงส่งมหาชนกลับไปแล้ว พวกเขาก็พาพระองค์ลงเรือ "อย่างที่เป็นอยู่" และรีบออกเดินทาง แต่พวกเขาไม่ได้ไปเพียงลำพัง มีเรือประมงลำอื่นๆ ที่จอดอยู่ใกล้ชายฝั่งและผู้คนก็แออัดกันลงเรือติดตามพระเยซูไป พวกเขากระตือรือร้นที่จะเข้าเฝ้าและคอยฟังพระองค์ทรงสั่งสอน {DA 334.1}
ในที่สุดพระผู้ช่วยให้รอดก็ทรงหลุดพ้นจากแรงกดดันของฝูงชน และด้วยความเหนื่อยล้าและทรงหิวพระกระยาหาร พระองค์ทรงเอนพระกายลงที่ท้ายเรือและในไม่ช้าก็หลับไป เป็นค่ำคืนที่สงบและน่ารื่นรมย์ ความเงียบปกคลุมอยู่เหนือทะเลสาบ แต่ทันใดนั้นความมืดปกคลุมทั่วท้องฟ้า ลมพัดอย่างแรงกระหน่ำลงมาตามช่องเขาของแถบชายฝั่งด้านตะวันออกและพายุรุนแรงก็พัดมายังทะเลสาบ {DA 334.2}
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว และความมืดของยามค่ำคืนก็อยู่เหนือทะเลปั่นป่วน ลมที่พัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรงและขู่จะกลืนเรือลำนั้น คลื่นซัดเข้ามาในเรือของสาวกด้วยความโกรธเกรี้ยว ชาวประมงที่แข็งแกร่งเหล่านั้นใช้ทั้งชีวิตอยู่ในทะเลสาบและนำเรือฝ่าพายุเข้าฝั่งได้อย่างปลอดภัยหลายครั้งมาแล้ว แต่บัดนี้ความบึกบึนและความเชี่ยวชาญไร้ซึ่งความหมาย พวกเขาช่วยตัวเองไม่ได้ในขณะที่ตกเข้าไปอยู่ในอุ้งมือของพายุ และพวกเขาก็สิ้นหวังในขณะที่เห็นน้ำเต็มลำเรือ {DA 334.3}
ขณะที่หมกมุ่นอยู่กับความพยายามที่จะช่วยตัวเองให้รอด พวกเขาลืมไปว่าพระเยซูประทับอยู่ในเรือด้วย บัดนี้ เมื่อเห็นว่าการลงแรงนั้นไร้ผลและเห็นแต่ความตายอยู่เบื้องหน้า พวกเขาจึงนึกขึ้นมาได้ว่าใครเป็นผู้ที่บัญชาให้พวกเขาลงเรือข้ามทะเลสาบ ความหวังเดียวของพวกเขาอยู่ในพระเยซู เมื่อทำอะไรไม่ถูกและสิ้นหวังพวกเขาจึงร้องว่า "พระอาจารย์ พระอาจารย์!" แต่ความมืดทึบซ่อนพระองค์จากสายตาของพวกเขา เสียงของพวกเขาถูกเสียงคำรามของพายุกลบไปและไม่มีเสียงตอบกลับมา ความสงสัยและความกลัวครอบงำพวกเขาไว้ พระเยซูทรงทอดทิ้งพวกเขาแล้วหรือ? พระองค์ผู้ทรงพิชิตโรคร้ายและปีศาจและแม้กระทั่งความตายจะไม่มีอำนาจที่จะช่วยสาวกของพระองค์ในเวลานี้หรือ? พระองค์ไม่ทรงใส่ใจพวกเขาในความทุกข์ยากหรือ? {DA 334.4}
พวกเขาร้องขอความช่วยเหลืออีกครั้ง แต่ไม่มีคำตอบนอกจากเสียงกรีดร้องของลมและพายุที่กระแทกอย่างน่ากลัว เรือกำลังจะจม อีกเสี้ยวนาที พวกเขาจะถูกคลื่นลมสลาตันกลืนไปอย่างแน่นอน {DA 334.5}
ทันใดนั้น แสงฟ้าแลบพุ่งทะลุผ่านความมืดและพวกเขาก็เห็นพระเยซูบรรทมอยู่โดยไม่ถูกความสับสนอลหม่านรบกวน ด้วยความประหลาดใจและสิ้นหวังพวกเขาร้องกันขึ้นมาว่า "พระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงเป็นห่วงว่าพวกเรากำลังจะพินาศหรือ?" พระองค์ทรงบรรทมอย่างสุขสบายได้อย่างไรในขณะที่พวกเขาตกอยู่ในภัยอันตรายและต่อสู้กับความตาย? {DA 334.6}
เสียงร้องของพวกเขาปลุกพระเยซูตื่น ในขณะที่แสงจ้าของสายฟ้าแลบส่องให้พวกเขามองเห็นพระองค์ พวกเขาเห็นความสงบของสวรรค์อยู่บนพระพักตร์ของพระองค์ พวกเขามองเห็นความรักอันอ่อนโยนและละทิ้งตนบนพระพักตร์พระองค์ หัวใจของพวกเขาก็หันไปยังพระองค์ และร้องขึ้นมาว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์โปรดช่วยเถิด เรากำลังจะจมอยู่แล้ว" {DA 335.1}
ไม่เคยมีจิตวิญญาณดวงไหนจะไม่ได้รับความช่วยเหลือเมื่อร้องเรียกเช่นนี้ ในขณะที่สาวกจับไม้พายเพื่อพยายามครั้งสุดท้าย พระเยซูก็ทรงลุกขึ้น พระองค์ทรงยืนอยู่ท่ามกลางสาวกของพระองค์ในขณะที่พายุโหมกระหน่ำคลื่นซัดเข้าใส่พวกเขาและสายฟ้าส่องสว่างต้องกับพระพักตร์ของพระองค์ พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ที่บ่อยครั้งใช้เพื่อประกอบกิจแห่งความเมตตาและตรัสกับทะเลดุเดือดว่า "จงสงบเงียบ" {DA 335.2}
พายุหยุด คลื่นลมสงบลง เมฆม้วนตัวจากไปและดวงดาวก็ส่องสว่าง เรือจอดนิ่งบนทะเลที่เงียบสงบ แล้วพระเยซูทรงหันไปหาสาวกของพระองค์ตรัสถามอย่างเศร้าใจว่า "ทำไมพวกเจ้ากลัว? พวกเจ้าไม่มีความเชื่อหรือ?" มาระโก 4 ข้อที่ 40 {DA 335.3}
ความเงียบปกคลุมอยู่เหนือสาวกทั้งหลาย แม้แต่เปโตรเองก็ไม่ได้แสดงออกถึงความน่าเกรงขามที่เต็มล้นอยู่ในหัวใจของเขา เรือที่ออกเดินทางไปพร้อมกับพระเยซูก็ตกอยู่ในภัยอันตรายเช่นเดียวกับพวกสาวก ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังเกาะกุมคนในเรือไว้ แต่พระบัญชาของพระเยซูนำความสงบมายังภาพที่โกลาหล ความรุนแรงของพายุผลักดันเรือต่างๆ ให้มาอยู่บริเวณใกล้กัน และทุกคนบนเรือก็เห็นการอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ความสงบที่ตามมาทำให้ทุกคนลืมความกลัวไป ผู้คนต่างกระซิบกันว่า "ท่านผู้นี้เป็นใครกันแน่ แม้แต่ลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน?" {DA 335.4}
เมื่อสาวกปลุกพระเยซูให้ตื่นมาเผชิญกับพายุนั้น พระองค์ทรงสงบนิ่งอย่างสมบูรณ์ ไม่มีร่องรอยความหวาดกลัวในพระดำรัสหรือสีพระพักตร์เพราะไม่มีความหวาดกลัวในพระทัยของพระองค์ แต่พระองค์ไม่ได้พักสงบนิ่งในพลังอำนาจที่ทรงครอบครองอยู่ ไม่ใช่ฐานะ "เจ้าแห่งพื้นดินและทะเลและท้องฟ้า" ที่ทำให้พระองค์นิ่งสงบได้เช่นนี้ อำนาจนั้นพระองค์ทรงละไว้แล้ว และพระองค์ตรัสว่า "เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้" ยอห์น 5 ข้อที่ 30 พระองค์ทรงวางพระทัยในอำนาจของพระบิดา ด้วยความเชื่อคือการมีความเชื่อในความรักและความห่วงใยของพระเจ้าที่ทำให้พระเยซูทรงพักสงบนิ่งได้ และพลังอำนาจของพระดำรัสนั้นที่ทำให้พายุนิ่งสงบก็คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า {DA 336.1}
โดยความเชื่อพระเยซูทรงพักสงบนิ่งอยู่ภายใต้การดูแลของพระบิดาฉันใด พวกเราก็จะต้องพักสงบนิ่งอยู่ใต้การดูแลของพระผู้ช่วยให้รอดด้วยเช่นกันฉันนั้น หากพวกสาวกวางใจในพระองค์ พวกเขาก็น่าจะซ่อนตัวอยู่ในความสงบสุข ความกลัวของพวกเขาในช่วงเวลาแห่งภัยอันตรายเผยให้เห็นถึงความไม่เชื่อของพวกเขา ความพยายามที่จะช่วยตัวเองทำให้พวกเขาลืมพระเยซูไป และมีเพียงเมื่อรู้สึกสิ้นหวังที่จะพึ่งตนเองเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาหันไปหาพระองค์ผู้ทรงช่วยพวกเขาได้ {DA 336.2}
บ่อยครั้งเพียงไรที่ประสบการณ์ของสาวกเป็นของเราด้วยเช่นกัน! เมื่อพายุแห่งการล่อลวงเข้ามาหา สายฟ้าแลบผ่าลงมาอย่างดุเดือดและคลื่นซัดเข้ามาท่วมเรา เราดิ้นรนต่อสู้ในพายุเพียงลำพังจนลืมไปว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่งทรงช่วยเราได้ เราวางใจในกำลังของเราเองจนความหวังของเราสูญสิ้นไปและเราพร้อมที่จะพินาศ แล้วเราจึงระลึกถึงพระเยซู และถ้าเราร้องทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด เราจะไม่ร้องไห้อย่างสูญเปล่า แม้พระองค์จะทรงตำหนิความไม่เชื่อและความมั่นใจในตนเองของเราอย่างเศร้าพระทัยก็ตาม แต่พระองค์ก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวังที่จะให้ความช่วยเหลือตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะอยู่บนบกหรืออยู่ในทะเล หากเรามีพระผู้ช่วยให้รอดอยู่ในใจของเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัว การมีความเชื่ออย่างมีชีวิตในพระผู้ไถ่จะทำให้ทะเลแห่งชีวิตราบรื่นและจะช่วยเราให้พ้นจากอันตรายด้วยวิธีที่ดีที่สุดตามการทรงนำของพระองค์ {DA 336.3}
ยังมีบทเรียนทางจิตวิญญาณอีกบทหนึ่งในการอัศจรรย์ของการห้ามคลื่นลมให้สงบ ประสบการณ์ของมนุษย์ทุกคนเป็นประจักษ์พยานถึงความจริงของพระวจนะในพระคัมภีร์ “คนอธรรมนั้นเหมือนทะเลที่กำเริบซึ่งนิ่งสงบอยู่ไม่ได้. . . .ไม่มีสันติสุขแก่คนอธรรม พระเจ้าของข้าพเจ้าตรัส" อิสยาห์ 57 ข้อที่ 20, 21 บาปทำลายความสงบสุขของเราไปแล้ว ตราบใดที่ตัวตนของเราไม่ถูกควบคุมให้สงบ เราจะไม่มีทางพบกับการหยุดพักได้ ไม่มีอำนาจใดของมนุษย์จะสามารถควบคุมตัณหาที่ครองความเป็นใหญ่ในใจได้ ในเรื่องนี้พวกเราทำอะไรไม่ได้เช่นเดียวกับสาวกที่ไม่อาจทำให้คลื่นลมบ้าสงบลงได้ แต่พระองค์ผู้ทรงบัญชาความสงบให้แก่คลื่นลมของทะเลสาบกาลิลีได้ตรัสพระดำรัสแห่งความสงบแก่จิตวิญญาณทุกดวง ไม่ว่าลมพายุจะร้ายแรงเพียงไร ผู้ที่หันไปหาพระเยซูด้วยเสียงร้องว่า "องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระองค์โปรดช่วยเถิด" จะได้รับการช่วยให้รอด พระคุณของพระองค์ที่ทำให้จิตวิญญาณกลับคืนดีกับพระเจ้าจะปราบความขัดแย้งของตัณหามนุษย์ และในความรักของพระองค์หัวใจจะพักสงบ "พระองค์ทรงทำให้พายุสงบลง และคลื่นทะเลก็นิ่ง แล้วเขาทั้งหลายก็ยินดีเพราะมีความสงบและพระองค์ทรงนำเขามาถึงเมืองท่าที่เขาปรารถนา" สดุดี 107 ข้อที่ 29, 30 "เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงอยู่อย่างสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา" "ผลงานของความชอบธรรมจะเป็นสันติสุข และผลลัพธ์ของความชอบธรรมคือความเงียบสงบและความวางใจเป็นนิตย์" โรม 5 ข้อที่ 1; อิสยาห์ 32 ข้อที่ 17 {DA 336.4}
ในเวลาเช้าตรู่พระผู้ช่วยให้รอดและสหายของพระองค์ได้มาถึงฝั่ง และแสงของดวงอาทิตย์ขึ้นสาดส่องลงมาเหนือทะเลและแผ่นดินราวกับพระพรแห่งความสงบ แต่ไม่ช้านักหลังจากที่ก้าวเท้าขึ้นบก สายตาของพวกเขาประสานกับภาพหนึ่งที่น่ากลัวกว่าความเกรี้ยวกราดของพายุร้าย จากที่ซ่อนเร้นลับแห่งหนึ่งท่ามกลางสุสาน มีคนบ้าสองคนวิ่งกรูเข้าหาพวกเขาราวกับจะฉีกพวกเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่คอของสองคนนั้นมีชิ้นส่วนของโซ่ที่พวกเขาทำให้ขาดเพื่อหนีออกจากการกักขัง เนื้อตัวของพวกเขาบาดเจ็บจากหินคมที่กรีดตัวเองจนเลือดไหลเป็นทาง ตาของพวกเขาจ้องผ่านเส้นผมที่ยาวและจับตัวเป็นก้อน ดูเหมือนว่าลักษณะความเป็นมนุษย์ถูกปีศาจที่เข้าสิงในตัวพวกเขากำจัดทิ้งไปแล้ว และพวกเขาดูคล้ายสัตว์ป่ามากกว่ามนุษย์ {DA 337.1}
สาวกและพวกหนีไปด้วยความหวาดกลัว แต่พบว่าพระเยซูไม่ได้อยู่กับพวกเขา พวกเขาจึงหันกลับไปหาพระองค์ พระองค์ประทับอยู่ตรงที่เดิม พระองค์ผู้ห้ามพายุ ผู้ทรงเผชิญหน้ากับซาตานและเอาชนะมันมาแล้ว ไม่ได้หนีไปต่อหน้าพวกปีศาจเหล่านี้ เมื่อคนที่ขบกัดฟันและน้ำลายฟูมปากทั้งสองนี้เข้ามาใกล้พระเยซู พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ที่ทรงห้ามคลื่นลมให้หยุดนิ่งขึ้น พวกเขาก็เข้ามาใกล้ไม่ได้ พวกเขายืนอยู่เบื้องพระพักตร์ด้วยความโกรธแค้นและช่วยตัวเองไม่ได้ {DA 337.2}
ด้วยสิทธิอำนาจ พระองค์ตรัสสั่งให้วิญญาณโสโครกออกจากตัวพวกเขา พระดำรัสของพระองค์ทะลุผ่านสมองมืดทึบของชายผู้เคราะห์ร้ายทั้งสอง พวกเขาสำนึกได้แต่เพียงเลือนลางว่าพระเจ้าองค์หนึ่งมาสถิตอยู่ใกล้ ทรงเป็นผู้ที่สามารถช่วยพวกเขาจากปีศาจที่ทรมานพวกเขาได้ ทั้งสองกราบลงแทบพระบาทของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อนมัสการพระองค์ แต่เมื่อพวกเขาอ้าปากจะทูลอ้อนวอนขอพระเมตตาของพระองค์ ปีศาจก็พูดผ่านพวกเขาด้วยความเดือดดาลว่า "ข้าแต่พระเยซูบุตรของพระเจ้าสูงสุด พระองค์มายุ่งกับข้าทำไม? ขออย่าทรมานข้าเลย" {DA 337.3}
พระเยซูทรงถามว่า "เจ้าชื่ออะไร" และคำตอบก็คือ "‘ชื่อกองพล’ เพราะว่ามีผีหลายตัวสิงเขาอยู่" มันใช้คนที่ตกทุกข์ยากเป็นตัวกลางสื่อสาร มันอ้อนวอนขอพระเยซูไม่ให้ส่งพวกมันออกไปนอกประเทศ บริเวณรอบภูเขาไม่ไกลนักมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหาอาหารกินอยู่ พวกปีศาจเหล่านี้ขอให้พวกเขาได้เข้าไปสิงฝูงสุกรและพระเยซูทรงอนุญาตให้พวกมันไป ทันใดนั้นความแตกตื่นก็เข้าครอบงำฝูงสัตว์ พวกมันวิ่งดิ่งลงหน้าผาอย่างบ้าคลั่งและไม่อาจหยุดตรงชายฝั่งจนตกลงไปในทะเลสาบและพินาศไป {DA 338.1}
ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นกับคนที่ถูกผีสิง แสงสว่างส่องเข้าไปในจิตใจของพวกเขา ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายความฉลาด หน้าตาที่ผิดรูปจนเหมือนรูปลักษณ์ของซาตานมาเป็นเวลาช้านานแล้วนั้นอ่อนโยนสุภาพไปในบัดดล มือเปื้อนเลือดสงบนิ่งและเสียงร้องแห่งความปีติยินดีของชายทั้งสองก็ดังขึ้นสรรเสริญพระเจ้าสำหรับการทรงช่วยพวกเขาให้รอด {DA 338.2}
จากหน้าผาผู้เฝ้าฝูงสุกรเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงรีบวิ่งนำข่าวกลับไปรายงานนายจ้างและประกาศให้ประชาชนทั้งหลายฟัง ด้วยความหวาดกลัวและตกตะลึง คนทั้งเมืองแห่กันมาเข้าเฝ้าพระเยซู คนที่ถูกผีสิงสร้างความหวาดกลัวให้แก่ชุมนุมชนแห่งนี้ ไม่มีใครที่เดินทางผ่านทางนี้ด้วยความปลอดภัย เพราะพวกเขาจะวิ่งเข้าหาคนที่เดินผ่านมาทุกคนด้วยความโกรธเกรี้ยวของผีมาร แต่บัดนี้คนทั้งสองสวมใส่เสื้อผ้าและนั่งอย่างนิ่งสงบอยู่แทบพระบาทของพระเยซู ฟังพระดำรัสของพระองค์และถวายเกียรติแด่พระนามของพระองค์ผู้ทรงทำให้พวกเขาหายเป็นปกติ แต่ผู้คนที่เห็นภาพอันอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้ชื่นชมยินดีด้วย พวกเขาถือว่าการสูญเสียสุกรสำคัญกว่าการปลดปล่อยเชลยที่ถูกซาตานควบคุมไว้ {DA 338.3}
การทรงอนุญาตให้การสูญเสียนี้เกิดขึ้นเป็นความเมตตาปรานีต่อเจ้าของสุกร พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับสิ่งของทางโลกและไม่สนใจผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ พระเยซูทรงปรารถนาที่จะทำลายมนต์สะกดแห่งความไม่ใส่ใจอย่างเห็นแก่ตัวเพื่อพวกเขาจะยอมรับพระคุณของพระองค์ แต่ความเสียใจและความขุ่นเคืองต่อการสูญเสียสิ่งของทางโลกที่ไม่จีรังทำให้ตาใจของพวกเขามืดบอดต่อพระเมตตาคุณของพระผู้ช่วยให้รอด {DA 338.4}
การสำแดงอำนาจเหนือธรรมชาตินี้ปลุกความงมงายของประชาชนและปลุกปั่นความหวาดกลัวของพวกเขา การมีพระเจ้าผู้ทรงเป็นคนแปลกหน้าพระองค์นี้อยู่ท่ามกลางพวกเขาอาจจะทำให้มีภัยพิบัติอื่นตามมาก็ได้ พวกเขากลัวเรื่องความเสียหายทางการเงิน และตัดสินใจที่จะไม่ให้พระองค์อยู่ด้วย คนทั้งหลายที่ข้ามทะเลสาบมาพร้อมกับพระเยซูเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนก่อน เล่าถึงภัยอันตรายในพายุร้ายและวิธีที่คลื่นลมและทะเลสงบลง แต่คำพูดของพวกเขานั้นไร้ผล ด้วยความหวาดกลัวประชาชนมาล้อมรอบพระเยซูวิงวอนให้พระองค์ออกไปจากพวกเขา และพระองค์ทรงปฏิบัติตามโดยทรงลงเรือข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามทันที {DA 339.1}
ชาวเมืองกาดารามีหลักฐานของเหตุการณ์จริงอยู่ต่อหน้าต่อตาของพวกเขาที่แสดงให้เห็นถึงอำนาจและพระเมตตาคุณของพระคริสต์ พวกเขาเห็นคนถูกผีสิงกลับคืนสู่สภาพปกติ แต่พวกเขากลัวเสียผลประโยชน์ทางโลกจึงปฏิบัติต่อพระองค์ผู้ทรงปราบเจ้าชายแห่งความมืดต่อหน้าต่อตาพวกเขาราวกับว่าพระองค์เป็นผู้บุกรุก พระเจ้าผู้ทรงเป็นของขวัญจากสวรรค์ถูกขับออกไปจากประตูของพวกเขา เราไม่มีโอกาสหันหนีไปจากตัวตนของพระคริสต์เหมือนเช่นที่ชาวเมืองเก-ราซากระทำ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์เพราะการเชื่อฟังเกี่ยวข้องกับการเสียสละผลประโยชน์ทางโลกบางอย่าง ด้วยเกรงว่าการสถิตอยู่ของพระองค์อาจจะทำให้พวกเขาขาดทุนด้านการเงิน หลายคนจึงปฏิเสธพระคุณของพระองค์และขับไล่พระวิญญาณของพระองค์ไปจากพวกเขา {DA 339.2}
แต่คนถูกผีสิงที่กลับคืนสู่สภาพดีแล้วนั้นมีความรู้สึกแตกต่างออกไปราวฟ้ากับดิน พวกเขาปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับพระผู้ไถ่ของพวกเขา ในขณะที่อยู่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ พวกเขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นปลอดภัยจากปีศาจที่ทรมานชีวิตและทำลายชีวิตความเป็นลูกผู้ชาย ขณะที่พระเยซูกำลังจะก้าวลงเรือพวกเขาก็คอยแนบชิดติดสนิทกับพระองค์ คุกเข่าแทบพระบาทของพระองค์ และอ้อนวอนพระองค์ให้รับพวกเขาไว้กับพระองค์เพื่อที่จะได้ฟังพระวจนะของพระองค์ แต่พระเยซูตรัสบัญชาให้พวกเขากลับบ้านและเล่าสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงประกอบกิจเพื่อพวกเขา {DA 339.3}
นี่เป็นงานที่ฝากไว้ให้พวกเขาทำ นั่นคือให้ไปบ้านของคนนอกศาสนาและบอกถึงพระพรที่พวกเขาได้รับจากพระเยซู เป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะลาพระผู้ช่วยให้รอด ความยากลำบากครั้งใหญ่จะรุมเร้าพวกเขาอย่างแน่นอนเมื่อคบหาสมาคมกับเพื่อนร่วมชาติของพวกเขา และการแยกตัวออกไปจากสังคมเป็นเวลานานดูเหมือนจะทำให้พวกเขาขาดคุณสมบัติที่จะทำงานที่พระองค์ทรงระบุมอบหมายไว้ แต่ทันทีที่พระเยซูทรงชี้แจงให้พวกเขาเห็นถึงหน้าที่แล้ว พวกเขาก็พร้อมลงมือปฏิบัติ พวกเขาไม่เพียงบอกครอบครัวและเพื่อนบ้านของตนเองเกี่ยวกับพระเยซูเท่านั้น แต่พวกเขาไปทั่วเมืองทศบุรีและไปทุกที่ประกาศถึงอำนาจแห่งการช่วยให้รอดและอธิบายให้เห็นว่าพระองค์ทรงปลดปล่อยพวกเขาจากอำนาจของผีมารได้อย่างไร ในการทำงานนี้พวกเขาจะได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่กว่าการที่ยังคงอยู่กับพระองค์เพียงเพื่อตนเองจะได้รับประโยชน์ การทำงานเผยแผ่ข่าวดีเรื่องการทรงช่วยให้รอดจะนำเราให้เข้ามาอยู่ใกล้ชิดกับพระผู้ช่วยให้รอด {DA 339.4}
สองคนที่หายจากการถูกผีสิงเป็นมิชชันนารีสองคนแรกที่พระคริสต์ทรงส่งออกไปประกาศพระกิตติคุณในแถบทศบุรี สองคนนี้มีโอกาสได้ยินคำสอนของพระคริสต์เพียงไม่กี่นาที ไม่เคยมีคำเทศนาใดๆ จากพระโอษฐ์ของพระองค์ตกกระทบแก้วหูของพวกเขา พวกเขาสั่งสอนประชาชนเหมือนที่สาวกที่ฟังพระคริสต์สอนอยู่ทุกวันไม่ได้ แต่พวกเขามีหลักฐานในตัวของพวกเขาเองที่แสดงว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พวกเขาเล่าในสิ่งที่พวกเขาทราบ เล่าในสิ่งที่พวกเขาได้เห็นและได้ยินและได้สัมผัสจากอำนาจของพระคริสต์ นี่คือสิ่งที่ทุกคนซึ่งหัวใจของเขาได้รับการสัมผัสจากพระคุณของพระเจ้าสามารถทำได้ ยอห์นสาวกผู้เป็นที่รักเขียนว่า "เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาลซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระวาทะแห่งชีวิต. . . .สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ประกาศให้พวกท่านรู้" 1 ยอห์น 1 ข้อที่ 1-3 ในฐานะพยานของพระคริสต์เราต้องบอกสิ่งที่เรารู้ สิ่งที่เราได้เห็น ได้ยินและได้สัมผัส หากเราติดตามพระเยซูไปทีละก้าวแล้ว เราจะมีเรื่องเล่าที่ตรงประเด็นเพื่อบอกถึงหนทางที่พระองค์ได้ทรงนำเรา เราสามารถเล่าได้ว่าเราเคยพิสูจน์พระสัญญาของพระองค์อย่างไรและพบว่าพระสัญญานั้นเป็นจริง เราเป็นพยานถึงสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับพระคุณของพระคริสต์ นี่คือการเป็นพยานที่พระเจ้าทรงเรียกเชิญให้เราทำและเพราะขาดคำพยานนี้เองที่ทำให้โลกกำลังพินาศ {DA 340.1}
แม้ว่าชาวเมืองกาดาราไม่ต้อนรับพระเยซู แต่พระองค์ก็ไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาตกเข้าไปอยู่ในความมืดที่พวกเขาเลือก เมื่อพวกเขาร้องขอให้พระองค์ออกไปจากพวกเขานั้นพวกเขายังไม่ได้ยินพระวจนะของพระองค์ พวกเขาไม่มีความรู้ในเรื่องที่พวกเขาบอกปัด ดังนั้นพระองค์จึงทรงส่องความสว่างมาให้พวกเขาอีกครั้งและส่งมาทางผู้ที่พวกเขาจะต้องไม่ปฏิเสธที่จะฟัง {DA 340.2}
ด้วยการทำลายฝูงสุกร ซาตานมีเป้าประสงค์ที่จะหันประชาชนออกไปจากพระผู้ช่วยให้รอด และขัดขวางการประกาศพระกิตติคุณในแถบภูมิภาคนั้น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้ปลุกปั่นทั่วทั้งประเทศซึ่งไม่มีเหตุการณ์ใดที่จะทำได้เช่นนี้ จนทำให้ความสนใจเบนไปทางพระคริสต์ แม้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะไปจากที่นั่นแล้ว แต่ชายที่พระองค์ทรงรักษาก็ยังคงเป็นพยานถึงฤทธิ์เดชของพระองค์อยู่ที่นั่น ผู้ที่เคยเป็นสื่อเจ้าชายแห่งความมืดเปลี่ยนมาเป็นท่อแห่งความสว่าง เป็นผู้สื่อสารของพระบุตรของพระเจ้า ประชาชนประหลาดใจขณะที่พวกเขาฟังข่าวที่น่าอัศจรรย์ใจ ประตูบานหนึ่งได้ถูกเปิดออกสำหรับข่าวประเสริฐไปทั่วภูมิภาคแห่งนั้น เมื่อพระเยซูเสด็จกลับไปยังแคว้นทศบุรีอีกครั้ง ประชาชนวิ่งกรูกันเข้ามาเฝ้าพระองค์ และเป็นเวลาสามวันที่ไม่ใช่แค่ประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวแต่คนนับพันจากทั่วสารทิศรอบแคว้นนั้นได้พากันมาฟังข่าวสารแห่งการทรงช่วยให้รอด แม้แต่พลังปีศาจก็ยังต้องสยบอยู่ภายใต้การควบคุมของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และผลงานของความชั่วถูกควบคุมเพื่อให้เกิดผลดี {DA 340.3}
การเผชิญหน้ากับคนที่ถูกผีสิงในเมืองกาดาราเป็นบทเรียนสำหรับสาวกทั้งหลาย บทเรียนนี้แสดงให้เห็นถึงความลึกของความตกต่ำเสื่อมโทรมที่ซาตานมุ่งหมายจะลากเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้ตกลงไป และเห็นถึงพันธกิจของพระคริสต์ที่จะปลดปล่อยมนุษย์จากอำนาจของมัน มนุษย์ที่น่าสมเพชเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในสุสานฝังศพ ที่ถูกปีศาจครอบงำและตกเป็นทาสของกิเลสอันน่ารังเกียจที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์จะเป็นเช่นไรเมื่อถูกปล่อยให้ตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของอำนาจของซาตาน อิทธิพลของซาตานส่งผลต่อมนุษย์อยู่ตลอดเวลาเพื่อหันเหความรู้สึก เพื่อควบคุมจิตใจให้คิดทำชั่ว และเพื่อปลุกปั่นความรุนแรงและเพื่อก่ออาชญากรรม มันทำให้ร่างกายอ่อนกำลังลง ทำให้ปัญญามัวหมองและจิตวิญญาณเสื่อมโทรม เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์ปฏิเสธคำเชิญของพระผู้ช่วยให้รอด พวกเขาก็ได้จำนนตัวเองไปอยู่กับซาตาน ในทุกวันนี้ประชาชนจำนวนมากในทุกสถาบันของสังคม ทั้งในครอบครัว ในธุรกิจและแม้แต่ในคริสตจักรก็กำลังทำเช่นนี้ และเพราะเหตุนี้ความรุนแรงและอาชญากรรมจึงปกคลุมไปทั่วทั้งโลกและความมืดมนทางศีลธรรมราวกับผ้าห่อศพก็กำลังปกคลุมที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ซาตานใช้การล่อลวงเพื่อนำมนุษย์ไปสู่ความชั่วเลวทรามที่ตกต่ำลงเป็นลำดับลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้รับผลของความเสื่อมโทรมชั่วช้าเลวทรามและความพินาศอย่างถึงที่สุด เราจะได้รับการป้องกันจากอำนาจของมันก็ต่อเมื่อมีพระเยซูสถิตร่วมอยู่ด้วย ต่อหน้ามนุษย์และทูตสวรรค์ทั้งหลาย ซาตานถูกเปิดโปงว่าเป็นศัตรูและผู้ทำลายมนุษย์ ส่วนพระคริสต์ทรงเป็นมิตรสหายและพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณของพระองค์จะพัฒนาทุกสิ่งในมนุษย์ที่จะทำให้ลักษณะอุปนิสัยสูงส่งและทำให้ธรรมชาติได้รับเกียรติ พระวิญญาณของพระองค์จะเสริมสร้างมนุษย์ให้สูงขึ้นเพื่อถวายพระสิริต่อพระเจ้าทั้งในด้านร่างกาย จิตวิญญาณและจิตใจ “เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ ความรัก และการบังคับตนเองแก่เรา” 2 ทิโมธี 1 ข้อที่ 7 พระองค์ทรงเรียกเราให้ "ร่วมในศักดิ์ศรีของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” ทรงเรียกเรา “ให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์” 2 เธสะโลนิกา 2 ข้อที่ 14; โรม 8 ข้อที่ 29 {DA 341.1}
และโดยอำนาจของพระคริสต์จิตวิญญาณที่เสื่อมทรามลงจนกลายเป็นเครื่องมือของซาตานยังจะเปลี่ยนให้เป็นผู้สื่อสารแห่งความชอบธรรมได้ และพระบุตรของพระเจ้ายังทรงใช้ให้พวกเขาออกไปเพื่อ "บอกพวกเขาถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำแก่ท่านว่ามากเพียงไร และเล่าถึงพระเมตตาที่พระองค์ทรงสำแดงแก่ท่าน” {DA 341.2}
************