บทที่ 16

ในพระวิหารของพระองค์

อ้างอิงจาก ยอห์น 2 ข้อที่ 12-22


ภายหลังเหตุการณ์นี้ พระองค์เสด็จต่อไปยังเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับมารดาและบรรดาน้องชายและพวกสาวกของพระองค์ และพักอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน” {DA 154.1}

ในการเดินทางครั้งนี้ พระเยซูทรงเข้าร่วมกลุ่มชนขนาดใหญ่มุ่งหน้าไปยังนครหลวง  พระองค์ยังไม่ประกาศพันธกิจของพระองค์อย่างเปิดเผย และพระองค์ทรงคลุกคลีอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างไม่เปิดเผยตัวเอง  ในโอกาสเช่นนี้เรื่องการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ที่ยอห์นประกาศอย่างโดดเด่นมากนั้นมักเป็นหัวข้อการสนทนาเสมอ  ความหวังของงการเป็นประเทศยิ่งใหญ่ปลุกความตื่นเต้นของพวกเขา  พระเยซูทรงทราบดีว่าพวกเขาจะผิดหวังในเรื่องนี้เพราะความหวังนี้ตั้งอยู่บนฐานของการแปลพระคัมภีร์ในทางที่ผิด  ด้วยความจริงใจอย่างสุดซึ้งพระองค์ทรงอธิบายคำพยากรณ์และพยายามกระตุ้นให้ประชาชนใส่ใจศึกษาพระวจนะของพระเจ้า  {DA 154.2}           

       ผู้นำชาวยิวเคยสอนประชาชนให้นมัสการพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม  ในช่วงสัปดาห์ปัสกานี้มีกลุ่มชนขณะใหญ่จากทั่วสาระทิศของแผ่นดินปาเลสไตน์แ และแม้จากดินแดนห่างไกลได้มารวมตัวกัน  ลานพระวิหารเต็มไปด้วยฝูงชนหลากหลาย  คนมากมายนำเครื่องถวายบูชาติดตัวมาเพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของการถวายบูชาที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้  เพื่อความสะดวก จึงมีการซื้อและขายสัตว์ที่ลานวิหารชั้นนอก  ณ  บริเวณนี้ คนทุกชนชั้นเข้ามาซื้อของถวาย  การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทุกสกุลเงินให้เป็นเหรียญตราของพระวิหารก็ทำกันที่นี่  {DA 154.3}         

       ชาวยิวทุกคนจะต้องถวายเงินครึ่งเชเขลทุกปีเพื่อเป็นค่า “ไถ่ชีวิต” ของพวกเขา และเงินที่เก็บรวบรวมได้นี้จะนำไปใช้ทนุบำรุงพระวิหาร อพยพ 30 ข้อที่ 12-16  นอกจากนี้แล้วยังมีการถวายเงินตามจิตศรัทธาอีกมากมายเพื่อรวบรวมเข้ากองคลังของพระวิหารและมีการกำหนดว่าเงินเหรียญตราต่างประเทศทั้งหมดจะต้องเปลี่ยนเป็นเงินตราที่สถานนมัสการยอมรับ  การแลกเปลี่ยนเงินตราเปิดโอกาสทุจริตและการขุูรีด เป็นกิจกรรมที่เติบโตจนเป็นการค้าที่น่ารังเกียจ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ของพวกปุโรหิต  {DA 155.1}         

       พ่อค้าโก่งราคาสัตว์และพวกเขาแบ่งเงินกำไรกับพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองผู้ซึ่งทำให้ตัวเองร่ำรวยด้วยการเอาเปรียบประชาชน  ผู้มานมัสการได้รับการสั่งสอนว่าหากพวกเขาไม่นำของมาถวายบูชา พระพรของพระเจ้าจะหลั่งลงมายังบุตรของพวกเขาและที่นาของพวกเขาไม่ได  ด้วยวิธีนี้พ่อค้าจึงโก่งราคาสัตว์ได้สูง เพราะในเมื่อพวกเขาเดินทางมาไกลแสนไกลเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะไม่กลับไปโดยไม่ปฏิบัติกิจของการนมัสการที่ตั้งใจมา  {DA 155.2}            

       มีการถวายเครื่องบูชาจำนวนมากในช่วงเทศกาลปัสกาและปริมาณการขายก็สูงมาก  ความสับสนอลม่านที่ตามมาทำให้ลานวิหารเป็นตลาดค้าวัวที่หนวกหูมากกว่าวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  มีเสียงแหลมสูงของการต่อรองราคา เสียงร้องของวัว เสียงดังของแกะ เสียงร้องของนกพิราบ ปนเปด้วยเสียงของเหรียญตราและการโต้เถียงอย่างโกรธกัน ความวุ่นวายใหญ่โตมโหฬารมากจนไปรบกวนผู้ที่มาร่วมนมัสการและคำทูลเพื่อมุ่งให้ถึงพระเจ้าองค์สูงสุดหลงหายไปกับเสียงดังกระหึ่มที่แทรกเข้ามายังพระวิหาร  ชาวยิวภูมิใจความเคร่งครัดในศาสนา  พวกเขาชื่นชมพระวิหารและถือว่าหากพูดคำที่ไม่เป็นมงคลต่อพระวิหารแล้วจะเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้า  พวกเขาเคร่งครัดกับการปฏิบัติตามธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับพระวิหาร แต่ความหลงใหลในเงินทองทำให้พวกเขามองข้ามความอับอาย  พวกเขาแทบจะไม่รู้สึกตัวว่าได้เดินเหินห่างไปจากเป้าหมายดั้งเดิมของพิธีที่พระเจ้าทรงสถาปนาด้วยพระองค์เอง  {DA 155.3}          

       เมื่อพระเจ้าเสด็จลงมายังภูเขาซีนาย สถานที่นั่นได้รับการเจิมด้วยการทรงร่วมสถิตของพระองค์  โมเสสได้รับพระบัญชาให้ล้อมภูเขาไว้และตั้งให้เป็นสถานศักดิ์สิทธิ์และพระองค์ตรัสคำเตือนไว้ว่า “จงระวังตัวให้ดี อย่าขึ้นไปบนภูเขาหรือถูกต้องเชิงเขานั้น ใครถูกต้องภูเขาต้องมีโทษถึงตาย ห้ามเอามือถูกต้องผู้นั้น แต่ให้เอาหินขว้างหรือยิงด้วยลูกศร จะเป็นสัตว์ก็ดีหรือเป็นมนุษย์ก็ดี ห้ามไว้ชีวิต”  อพยพ 19 ข้อที่ 12, 13  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นบทเรียนที่สอนว่า ที่ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงสำแดงว่าทรงร่วมสถิตอยู่ด้วย สถานที่แห่งนั้นศักดิ์สิทธิ์  จะต้องถนอมบริเวณรอบวิหารของพระเจ้าให้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ในความดิ้นรนเพื่อหากำไร สิ่งเหล่านี้หลงหายไปจากสายตา  {DA 155.4}               

       พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองได้รับการทรงเรียกให้เป็นผู้แทนของพระเจ้าท่ามกลางประชาชาติ  พวกเขาน่าที่จะเป็นผู้แก้ไขการใช้ลานวิหารในทางผิด  พวกเขาน่าที่จะเป็นแบบอย่างของคนทั้งหลายในเรื่องของความถูกต้องและความเห็นใจ  แทนที่จะใส่ใจแต่ผลกำไรของตนเอง  พวกเขาน่าจะมีใจพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้ที่ไม่สามารถซื้อของถวายบูชาที่ต้องการ แต่สิ่งเหล่านี้พวกเขาไม่ได้ทำ  ความโลภทำให้ใจของพวกเขาแข็งกระด้างไป {DA 156.1}

       บางคนที่มางานเลี้ยงฉลองนี้ตกอยู่ในความทุกข์ระทม บางคนขัดสนและเจ็บป่วย  คนตาบอด คนพิการ คนหูหนวกก็อยู่ที่นั่น  บางคนต้องใช้ที่นอนหามกันมา  หลายคนที่เข้ามานั้นมีสภาพยากจนมากจนไม่อาจที่จะซื้อแม้แต่ของถวายที่ต่ำต้อยที่สุดเพื่อถวายพระเจ้า ยากจนเกินกว่าที่จะซื้ออาหารรับประทานเพื่อให้อิ่มท้อง คนเหล่านี้เป็นทุกข์เนื่องจากคำพูดของพวกปุโรหิต  พวกปุโรหิตโอ้อวดในความเคร่งครัดในศาสนาของพวกเขา พวกเขาอ้างว่าตนเป็นผู้พิทักษ์ประชาชน แต่พวกเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจหรือความเมตตาสงสาร  คนยากจน คนป่วย คนที่กำลังจะตายร้องขอความมั่นใจแต่กลับได้ความผิดหวัง  ความทุกข์ทรมานของพวกเขาไม่ได้ปลุกความสงสารจากหัวใจของพวกปุโรหิตเลย  {DA 157.1}        

       ขณะที่พระเยซูเสด็จเข้ามายังพระวิหาร พระองค์ทรงรับทราบภาพเหตุการณ์ทั้งหมด  พระองค์ทรงเห็นการค้าที่ไม่ยุติธรรม  พระองค์ทรงเห็นความระทมทุกข์ของคนยากจนที่คิดว่าหากไม่มีการหลั่งเลือดแล้วพวกเขาจะไม่ได้รับการอภัยบาป  พระองค์ทรงเห็นวิหารชั้นนอกปรับเป็นตลาดการค้าที่ไม่บริสุทธิ์  สถานศักดิ์สิทธิ์กลับกลายเป็นตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราขนาดใหญ่  {DA 157.2}         

       พระคริสต์ทรงตระหนักว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง  พิธีกรรมมากมายถูกกำหนดให้ประชาชนทำโดยไม่ได้สอนถึงความสำคัญ คนที่เข้าร่วมนมัสการถวายเครื่องบูชาไม่เข้าใจว่าของถวายเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าพระผู้ทรงเป็นเครื่องถวายบูชาสมบูรณ์แบบ และพวกเขามีพระเจ้าองค์หนึ่งผู้ทรงเป็นสัญลักษณ์ของการถวายทั้งหมด พระองค์ผู้ไม่ทรงเป็นที่รู้จักและไม่ได้รับเกียรติประทับอยู่ในท่ามกลางพวกเขา ณ ที่นั่น  พระองค์ทรงเป็นผู้ประทานวิธีการถวาย  พระองค์ทรงเข้าพระทัยคุณค่าของความหมายของสัญลักษณ์และบัดนี้พระองค์ทรงเห็นแล้วว่าความหมายถูกบิดเบือนไปและเข้าใจผิด  การนมัสการด้วยจิตวิญญาณกำลังเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว  ไม่มีการเชื่อมโยงใดผูกพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองให้เข้าด้วยกันกับพระเจ้าของพวกเขา  พระราชกิจของพระคริสต์คือการสถาปนาการนมัสการที่แตกต่างไปจากที่เป็นอยู่นี้  {DA 157.3}

   ด้วยการชำเลืองมองอย่างตรวจสอบ พระคริสต์ทรงจับภาพเบื้องพระพักตร์พระองค์ในขณะที่ประทับอยู่บนบันไดของลานพระวิหาร  ด้วยพระเนตรแห่งการเผยพระวจนะพระองค์ทรงมองไปยังอนาคตกาลและมิใช่มองไปแค่เป็นปี แต่มองไปหลายเป็นศตวรรษและตลอดทุกยุค  พระองค์ทรงเห็นวิธีที่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองปฏิเสธสิทธิของผู้ยากไร้และสั่งห้ามประกาศพระกิตติคุณให้แก่คนยากจน  พระองค์ทรงเห็นว่าความรักของพระเจ้าจะถูกปกปิดจากคนบาปและมนุษย์จะนำพระคุณของพระเจ้ามาเป็นสินค้า  ขณะที่พระองค์ทรงทอดพระเนตรภาพเหตุการณ์ พระพักตร์ของพระองค์เผยให้เห็นถึงความขุ่นเคือง อำนาจและพลัง  ความสนใจของประชาชนถูกดึงดูดเข้าไปหาพระองค์  สายตาของคนที่ทำการค้าไม่บริสุทธิ์จับจ้องไปที่พระพักตร์พระองค์  พวกเขาไม่อาจถอนสายตาออกจากพระองค์ได้  พวกเขารู้สึกว่าชายผู้นี้อ่านความคิดลึกๆ ของพวกเขาได้ และค้นพบความในใจที่ซ่อนอยู่  บางคนพยายามปกปิดใบหน้าของตน เสมือนหนึ่งว่าการกระทำชั่วของเขาถูกจารึกอยู่บนใบหน้าที่สายพระเนตรอันเฉียบแหลมกำลังอ่านอยู่  {DA 157.4}             

       ความสับสนอลหม่านเงียบไป เสียงการค้าผิดกฎหมายและการต่อรองยุติ  เป็นความเงียบที่เจ็บปวด ความรู้สึกกลัวเกรงครอบงำผู้ที่ชุมนุมอยู่ที่นั่น  เสมือนหนึ่งว่าพวกเขาถูกเรียกตัวให้มาอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้าเพื่อตอบการกระทำของพวกเขา เมื่อพวกเขามองไปยังพระคริสต์พวกเขามองเห็นพระเจ้าส่องผ่านอาภรณ์มนุษยชาติ  พระเจ้ายิ่งใหญ่แห่งสวรรค์เป็นเหมือนดั่งพระเจ้าพระผู้พิพากษาประทับยืนขึ้นในวันสุดท้าย  ครั้งนี้ไม่ได้มีพระสิริแห่งวันสุดท้ายนั้นที่ล้อมพระองค์ไว้ แต่ทรงกอปรด้วยอำนาจของการอ่านจิตใจเดียวกัน พระเนตรของพระองค์กวาดไปยังมหาชนทั้งหมด เพ่งพินิจแต่ละบุคคล  ดูเสมือนหนึ่งว่าสันฐานของพระองค์สูงส่งอยู่เหนือพวกเขาด้วยความมีเกียรติอย่างเปี่ยมด้วยอำนาจ และแสงสว่างของพระเจ้าส่องมายังพระพักตร์ของพระองค์ พระสุรเสียงที่พระองค์ตรัสดังก้องอย่างสดใส เหมือนดั่งพระสุรเสียงที่ตรัสบนภูเขาซีนายประกาศพระบัญญัติที่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองกำลังล่วงละเมิด  พระสุรเสียงดังสะท้อนจากประตูโค้งต่างๆ ของพระวิหาร “เอาของพวกนี้ออกไป อย่าทำให้พระนิเวศของพระบิดาเรากลายเป็นตลาด”  {DA 158.1}       

       พระองค์เสด็จลงบันไดอย่างช้าๆ และชูแส้ที่รวบจากเชือกขณะเสด็จเข้ามายังพระวิหาร  พระองค์ตรัสสั่งกลุ่มชนที่ต่อรองกันอยู่ให้ออกไปจากบริเวณพระวิหาร  ด้วยความเร่าร้อนใจและอย่างกวดขันที่ไม่เคยสำแดงมาก่อน  พระองค์ทรงคว่ำโต๊ะของคนแลกเงินตรา  เหรียญเงินตกลงพื้น ส่งเสียงดังเฉียบแหลมขณะกระทบกับทางเดินหินอ่อน  ไม่มีผู้ใดกล้าทักท้วงอำนาจของพระองค์ ไม่มีใครกล้าหยุดเก็บรวบรวมผลกำไรที่ได้มาอย่างผิดๆ  พระเยซูไม่ทรงใช้แส้เชือกตีพวกเขาแต่ในพระหัตถ์ของพระองค์แส้อันเรียบง่ายนี้ดูเสมือนดาบลุกเป็นไฟที่น่ากลัว  พนักงานของพระวิหาร พวกปุโรหิตที่ฉวยโอกาส พ่อค้าคนกลางและพ่อค้าขายวัว พร้อมด้วยแกะและควายวิ่งหนีกระเจิงไปจากสถานที่แห่งนั้น โดยเพียงคิดว่าขอหนีให้พ้นไปจากเบื้องพระพักตร์ที่กำลังคาดโทษพวกเขาอยู่  {DA 158.2}        

       ความหวาดกลัวแผ่อยู่เหนือฝูงชนที่รู้สึกได้ว่าอยู่ภายใต้เงามืดของพระเจ้า  เสียงหวีดร้องน่ากลัวหลุดออกจากริมฝีปากซีดขาวของคนนับร้อย  แม้แต่สาวกทั้งหลายก็ยังสั่นสะท้าน  พวกเขาอกสั่นขวัญหายจากพระดำรัสตรัสของพระเยซูซึ่งไม่เหมือนอากัปกิริยาปกติ  พวกเขาจำพระคำที่กล่าวถึงพระองค์ได้ว่า “ความร้อนใจในเรื่องพระนิเวศของพระองค์ได้เผาผลาญข้าพระองค์” สดุดี 69 ข้อที่ 9  ในไม่ช้าฝูงชนที่ชุลมุนวุ่นวายพร้อมด้วยสินค้าของพวกเขาก็ออกไปอยู่ห่างไกลจากบริเวณพระวิหารของพระเจ้า  ลานวิหารปลอดจากการค้าที่ผิดกฎหมาย ความเงียบสนิทและความเคร่งขรึมแผ่ปกคลุมภาพแห่งความวุ่นวาย  ในอดีตเมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วยแล้วทำให้ภูเขาบริสุทธิ์ ในเวลานี้ พระองค์ทรงทำให้พระวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อถวายเกียรติพระองค์บริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน  {DA 158.3}            

       พระเยซูทรงประกาศภารกิจของพระองค์ในฐานะพระเมสสิยาห์ด้วยการชำระพระวิหาร และทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์  วิหารหลังนั้นที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้พระเจ้าสถิตร่วมอยู่ด้วยมีเป้าหมายเพื่อเป็นบทเรียนสอนชนชาติอิสราเอลและโลก  ตั้งแต่อดีตนิจรันดร์กาลพระประสงค์ของพระเจ้าคือให้ทุกชีวิตที่พระองค์ทรงสร้างมาตั้งแต่ทูตสวรรค์แห่งความสว่างและบริสุทธิ์จนถึงมนุษย์จะต้องเป็นวิหารเพื่อให้พระผู้สร้างทรงร่วมสถิตอยู่ด้วย  เพราะบาป มวลมนุษย์จึงยุติเป็นวิหารของพระเจ้า ความชั่วทำให้หัวใจของมนุษย์ดำและเปรอะเปื้อนไป จึงสำแดงพระสิริของพระเจ้าไม่ได้อีกต่อไป  แต่เมื่อพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นเนื้อหนังจึงทำให้เป้าหมายของพระเจ้าแห่งสวรรค์สำเร็จ  พระเจ้าสถิตในมนุษยชาติและโดยพระคุณแห่งการทรงช่วยให้รอด ดวงใจของมนุษย์กลับมาเป็นวิหารของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง  พระเจ้าทรงออกแบบให้วิหารที่กรุงเยรูซาเล็มเป็นพยานอย่างต่อเนื่องของเป้าหมายสูงส่งที่เปิดเผยมายังจิตวิญญาณทุกดวง  แต่ชาวยิวไม่เข้าใจความสำคัญของอาคารที่เขายกย่องด้วยความภาคภูมิใจ  พวกเขาไม่ได้มอบตัวถวายตนเป็นวิหารบริสุทธิ์สำหรับพระวิญญาณของพระเจ้า  ลานพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มเต็มไปด้วยความสับสนอลหม่านของการค้าที่ผิดกฎหมายอย่างไม่บริสุทธิ์นั้นเป็นตัวแทนอย่างแท้จริงของวิหารหัวใจที่เปรอะเปื้อนด้วยการหลงในเรื่องทางโลกและความคิดที่ไม่บริสุทธิ์  ในการชำระผู้ซื้อและผู้ขายทางฝ่ายโลกออกจากพระวิหารนั้น พระเยซูทรงประกาศพระราชกิจที่จะชำระหัวใจจากการเปรอะเปื้อนของบาปนั่นคือจากความปรารถนาทางฝ่ายโลก ตัณหาที่เห็นแก่ตัว นิสัยชั่วที่กัดกร่อนจิตวิญญาณ “องค์เจ้านายผู้ซึ่งเจ้าแสวงหานั้นจะเสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกะทันหัน ทูตแห่งพันธสัญญาผู้ซึ่งเจ้าพอใจนั้น ดูซี ท่านกำลังมาแล้ว แต่ใครจะทนอยู่ได้ในวันที่ท่านมา? และใครจะยืนมั่นอยู่ได้เมื่อท่านปรากฏตัว?  เพราะว่าท่านเป็นประดุจไฟถลุงแร่ และประดุจสบู่ของช่างซักฟอก  ท่านจะนั่งลงอย่างช่างถลุงเงินและช่างชะล้างเงิน และท่านจะชำระบุตรหลานของเลวีให้บริสุทธิ์ และถลุงพวกเขาอย่างถลุงทองคำและถลุงเงิน” มาลาคี 3 ข้อที่ 1-3  {DA 161.1}           

       ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน?  ถ้าใครทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายคนนั้น เพราะว่าวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ และพวกท่านเป็นวิหารนั้น”  1 โครินธ์ 3 ข้อที่ 16, 17  ไม่มีผู้ใดขับไล่อำนาจแห่งความชั่วที่เข้าร่วมจับกลุ่มครอบงำหัวใจของเขาด้วยตัวของเขาเองได้  พระคริสต์เท่านั้นที่ทรงชำระวิหารจิตวิญญาณได้ แต่พระองค์จะไม่ทรงใช้กำลังบุกเข้าไป  พระองค์ไม่เสด็จเข้าหัวใจของคนใดเหมือนเช่นที่เสด็จเข้าไปยังวิหารในอดีต แต่พระองค์ตรัสว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา”  วิวรณ์ 3 ข้อที่ 20  พระองค์จะเสด็จมาไม่ใช่เพียงวันเดียวเท่านั้น พระองค์ตรัสว่า “เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา. . . .และเขาจะเป็นประชากรของเรา”  พระองค์ “จะทรงเหยียบความผิดทั้งหลายของเราไว้  พระองค์จะทรงเหวี่ยงบาปทั้งสิ้นของเราลงไปในที่ลึกของทะเล”  2 โครินธ์ 6 ข้อที่ 16; มีคาห์ 7 ข้อที่ 19  การทรงร่วมสถิตด้วยของพระองค์จะชำระและทำให้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อให้เป็นวิหารบริสุทธิ์ถวายพระเจ้า “เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณ” เอเฟซัส 2 ข้อที่ 21, 22 {DA 161.2}            

       ด้วยความหวาดกลัวพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองหนีไปจากลานพระวิหารและหนีให้พ้นสายพระเนตรที่ตรวจอ่านหัวใจพวกเขาได้  ในขณะวิ่งหนีเอาตัวรอดนั้นพวกเขาพบคนอื่นๆ ที่กำลังมุ่งหน้ามายังพระวิหารและได้เรียกร้องให้พวกเขาหันหลังถอยกลับไป  บอกเล่าให้พวกเขาฟังเรื่องที่ได้เห็นและได้ยิน  พระคริสต์ทอดพระเนตรคนที่หนีไปด้วยความสงสารเพราะพวกเขากลัวและการขาดความรู้ว่าองค์ประกอบของการนมัสการที่แท้จริงคืออะไร ด้วยฉกนี้พระองค์ทรงเห็นสัญลักษณ์ชี้ไปยังการกระจัดกระจายของชาวยิวทั้งประเทศอันเนื่องจากความชั่วและความดื้อรั้นของพวกเขา  {DA 162.1}     

       แล้วทำไมพวกปุโรหิตจึงหนีเอาตัวรอดออกไปจากพระวิหารเล่า?  ทำไมพวกเขาจึงไม่ตั้งมั่นอยู่กับที่เล่า?  ผู้ที่ตรัสสั่งให้พวกเขาไปนั้นเป็นแค่บุตรช่างไม้ชาวกาลิลียากจนคนหนึ่งที่ปราศจากตำแหน่งหรืออำนาจใดในโลก  ทำไมพวกเขาจึงไม่ต่อต้านพระองค์เล่า?  ทำไมพวกเขาจึงละทิ้งผลประโยชน์ที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องและหนีเอาตัวรอดเมื่อพระผู้ทรงมีลักษณะภายนอกที่ถ่อมตนเช่นนี้ตรัสสั่งเล่า?  {DA 162.2}        

       พระคริสต์ตรัสสั่งด้วยอำนาจของพระราชาและในพระลักษณะและน้ำเสียงของพระองค์นั้นมีบางสิ่งซึ่งไม่มีอำนาจใดปฏิเสธได้  ในทันทีที่พระองค์ตรัสสั่ง พวกเขาตระหนักได้โดยไม่เคยคิดมาก่อนว่าแท้จริงพวกเขาเป็นเพียงคนหน้าซื่อใจคดและหัวขโมย  เมื่อพระเจ้าทรงสำแดงตนผ่านความเป็นมนุษย์ พวกเขาไม่เพียงแต่เห็นความโกรธเคืองบนพระพักตร์ของพระคริสต์แต่ตระหนักถึงความสำคัญของพระดำรัสของพระองค์  พวกเขารู้สึกราวกับว่าอยู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระผู้ทรงเป็นผู้ทรงพิพากษานิรันดร์  ทรงตัดสินลงโทษพวกเขา ณ เวลานั้นและชั่วนิรันดร์  ในชั่วขณะหนึ่งพวกเขาเชื่อแน่ว่าพระคริสต์คือผู้เผยพระวจนะ และหลายคนเชื่อว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงฉายคำพูดของผู้เผยพระวจนะที่เกี่ยวข้องกับพระคริสต์ไปยังความนึกคิดของพวกเขา พวกเขาจะยอมรับความเชื่อนี้หรือไม่?  {DA 162.3}

       พวกเขาไม่ยอมกลับใจ  พวกเขารู้แล้วว่าความเห็นใจของพระคริสต์ต่อคนยากจนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว  พวกเขารู้ว่าตนมีความผิดฐานขู่กรรโชกขณะค้าขายกับประชาชน  เนื่องจากพระคริสต์ทรงอ่านความคิดของพวกเขาได้  พวกเขาจึงเกลียดชังพระองค์  การตำหนิพวกเขาอย่างเปิดเผย ทำให้พวกเขาอับอายขายหน้าและอิจฉาอิทธิพลของพระเยซูต่อประชาชนที่เพิ่มมากขึ้น พวกเขาตั้งใจท้าทายพระองค์ในเรื่องของอำนาจที่พระองค์ใช้ขับไล่พวกเขาและผู้ใดประทานอำนาจนี้แก่พระองค์เล่า {DA 162.4}     

       พวกเขากลับมายังวิหารอย่างช้าๆ และอย่างพินิจไตร่ตรอง แต่ด้วยความเกลียดชังในใจ  แต่ในขณะที่พวกเขาไม่อยู่ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมากยิ่งเพียงไร!  เมื่อพวกเขาหนีไป คนยากจนยังคงอยู่ที่นั่น และคนเหล่านี้กำลังจ้องมองพระเยซู พระพักตร์ของพระองค์แสดงถึงความรักและความเห็นใจ  ด้วยน้ำตาคลอพระองค์ตรัสกับผู้คนที่ตัวสั่นอยู่รอบพระองค์ว่า อย่ากลัวเลย เราจะช่วยกู้เจ้า และเจ้าจะถวายเกียรติแก่เรา  เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก  {DA 162.5}     

       ประชาชนออกันเข้ามาอยู่เบื้องพระพักตร์พระคริสต์ด้วยคำวิงวอนที่เร่งด่วนและน่าสงสารเวทนา  พระอาจารย์เจ้าข้าฯ โปรดอวยพระพรข้า พระกรรณของพระองค์สดับฟังทุกคำทูลขอ  ด้วยความเมตตาสงสารที่มีมากกว่าของผู้ที่เป็นแม่ พระองค์ทรงก้มลงไปยังเด็กตัวน้อยที่ทุกข์ระทม  ทุกคนได้รับความเอาใจใส่  ทุกคนได้รับการรักษาให้หายจากโรคทุกชนิด คนใบ้อ้าปากสรรเสริญพระเจ้า คนตาบอดเฝ้ามองพระพักตร์ของพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา  หัวใจของผู้ที่ตกอยู่ในความทุกข์ยากได้รับความชื่นบานใจ {DA 163.1}       

       ขณะที่พวกปุโรหิตและเจ้าหน้าที่วิหารเป็นพยานถึงพระราชกิจยิ่งใหญ่นี้ เสียงที่ตกกระทบหูของพวกเขาเป็นการเปิดเผยที่ยิ่งใหญ่เพียงไร!  คนทั้งหลายกำลังเล่าถึงความเจ็บปวดที่ทรมานพวกเขาอยู่ ความหวังที่สูญสลายไป วันแห่งความปวดร้าวและค่ำคืนที่นอนไม่หลับ  เมื่อดูเหมือนว่าประกายแห่งความหวังสุดท้ายจะดับไป พระคริสต์ทรงรักษาพวกเขา  มีคนหนึ่งเล่าว่า ภาระที่แบกนั้นหนักมาก แต่เราได้พบพระผู้ช่วย  พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ของพระเจ้า และเราจะถวายชีวิตรับใช้พระองค์  บิดามารดาบอกลูกน้อยว่าพระองค์ทรงช่วยชีวิตเจ้า จงเปล่งเสียงสรรเสริญพระองค์  เสียงของเด็กและเยาวชน บิดาและมารดา มิตรสหายและผู้สังเกตการณ์ ประสานด้วยคำถวายขอบพระคุณและสรรเสริญ  ความหวังและความชื่นชมยินดีท่วมล้นหัวใจ  สันติสุขเข้ามายังจิตใจของพวกเขา  พวกเขาได้รับการรักษาทั้งทางฝ่ายจิตวิญญาณและทางฝ่ายกาย และกลับบ้านไปและประกาศทั่วทุกแห่งถึงความรักของพระเยซูที่ไม่มีสิ่งใดเทียบเคียงได้  {DA 163.2}         

       เมื่อพระคริสต์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน ผู้ที่พระองค์ทรงรักษาให้หายไม่ได้เข้าร่วมฝูงชนที่ก่อเหตุเรียกร้องให้ “เอา [พระองค์] ไปตรึง เอา [พระองค์] ไปตรึงที่กางเขน”  ความเห็นอกเห็นใจของพวกเขาอยู่ฝ่ายพระองค์ เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงความเห็นใจและอำนาจอันมหัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของพระองค์  พวกเขาทราบดีว่าพระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา เพราะพระองค์ประทานสุขภาพที่สมบูรณ์ของทั้งกายและจิตวิญญาณแก่พวกเขา  พวกเขาฟังคำเทศนาของอัครสาวกและพระคำที่เข้าไปยังจิตใจทำให้พวกเขาเข้าใจ  พวกเขาจึงได้มาเป็นตัวแทนแห่งความเมตตาของพระเจ้าและเป็นเครื่องมือแห่งความรอดของพระองค์  {DA 163.3}

       ในเวลาอีกไม่นานต่อมาฝูงชนที่วิ่งหนีไปจากลานพระวิหารก็ทยอยกันกลับมาอย่างช้าๆ พวกเขาฟื้นตื่นขึ้นจากความตกตลึงที่ครอบงำพวกเขาไว้แต่สีหน้ายังคงแสดงความขลาดและความไม่มั่นใจ  พวกเขามองดูการกระทำของพระเยซูด้วยความแปลกใจและมั่นใจว่าคำเผยพระวจนะเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์สำเร็จในพระองค์  ส่วนใหญ่แล้วบาปของการทำให้พระวิหารสูญเสียความบริสุทธิ์จะต้องตกอยู่ที่พวกปุโรหิต  เนื่องจากการจัดการของพวกเขา ลานวิหารจึงแปรเปลี่ยนเป็นตลาดได้  จะถือว่าในเรื่องนี้ประชาชนค่อนข้างบริสุทธิ์  พวกเขาประทับใจกับอำนาจอย่างพระเจ้าของพระเยซู แต่สำหรับพวกเขาแล้วอิทธิพลของปุโรหิตนั้นยิ่งใหญ่  พวกเขาถือว่าพันธกิจของพระคริสต์เป็นเรื่องใหม่และยังสงสัยสิทธิอำนาจของพระองค์ในการขัดขวางสิ่งที่ฝ่ายอำนาจการปกครองของวิหารอนุญาต  พวกเขาขุ่นเคืองเนื่องจากการค้าอันไม่ถูกกฎหมายของพวกเขาถูกขัดขวาง พวกเขาจึงคัดค้านการประกอบกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อการทำให้รู้แจ้งในเรื่องความบาป  {DA 163.4}             

       พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองจะต้องเป็นผู้นำหน้าเหนือกว่าคนอื่นใดที่จะยอมรับว่าพระเยซูคือผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ เพราะในมือของพวกเขามีม้วนหนังศักดิ์สิทธิ์บรรยายภารกิจของพระองค์ และพวกเขาทราบดีว่าการชำระวิหารเป็นการสำแดงออกซึ่งอำนาจที่เหนือธรรมชาติของมนุษย์  พวกเขาเกลียดชังพระเยซูอย่างมากแต่พวกเขาหยุดคิดไม่ได้ว่าพระเยซูอาจเป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าประทานเพื่อนำความบริสุทธิ์ของวิหารกลับคืนมา  ด้วยการคล้อยตามที่เกิดจากความกลัวนี้พวกเขาจึงเข้าไปหาพระองค์ด้วยคำถามว่า “ท่านจะแสดงหมายสำคัญอะไรให้เราเห็นว่า ท่านมีสิทธิ์ทำการเช่นนี้ได้?”  {DA 164.1}             

       พระเยซูทรงสำแดงหมายสำคัญให้พวกเขาได้เห็นแล้ว  พระองค์ประทานหลักฐานพระลักษณะนิสัยของพระองค์ที่เชื่อถือได้ด้วยการส่องแสงสว่างลงสู่หัวใจของพวกเขาและประกอบกิจของพระเมสสิยาห์  บัดนี้เมื่อพวกเขาขอหมายสำคัญ พระองค์ทรงตอบพวกเขาด้วยการใช้อุปมาเพื่อสำแดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงอ่านความคิดอันชั่วช้าของพวกเขาได้และทรงทำให้เห็นว่าการนี้จะนำพวกเขาไปจนถึงที่ใด  พระองค์ตรัสว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน”  {DA 164.2}            

       พระดำรัสของพระองค์นี้มีความหมายถึงสองประการ  พระองค์ไม่เพียงแต่ตรัสถึงการทำลายวิหารและการนมัสการของชาวยิวแต่ตรัสถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เองด้วย นั่นก็คือการทำลายวิหารวรกายของพระองค์ การนี้ชาวยิวกำลังวางแผนอยู่แล้ว  ในขณะที่พวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองทยอยกลับไปยังวิหารนั้น พวกเขาเสนอที่จะฆ่าพระเยซูและเพื่อปลดเปลื้องตัวเองให้หลุดพ้นจากผู้ก่อกวน  ถึงกระนั้นเมื่อพระองค์ทรงแผ่จุดมุ่งหมายของพวกเขาต่อหน้าพวกเขา พวกเขาไม่เข้าใจพระองค์  พวกเขาเข้าใจว่าพระดำรัสของพระองค์หมายถึงพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มและอุทานขึ้นด้วยความโกรธแค้นว่า “วิหารนี้เขาได้ใช้เวลาก่อสร้างถึงสี่สิบหกปีแล้ว และท่านจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวันหรือ?”  บัดนี้พวกเขารู้สึกว่าพระเยซูทรงมีหลักฐานแสดงถึงความไม่เชื่อของพวกเขา และพวกเขายืนยันปฏิเสธพระองค์  {DA 164.3}

       ในขณะนั้นพระเยซูไม่ทรงมุ่งหวังให้ชาวยิวที่ไม่เชื่อแม้รวมสาวกเข้าใจพระดำรัสของพระองค์  พระองค์ทรงทราบดีว่าศัตรูของพระองค์จะแปลความหมายผิดและจะหันหลังต่อต้านพระองค์  เมื่อพระองค์ถูกพิพากษา พวกเขาจะนำเรื่องนี้ขึ้นมาใส่ร้ายพระองค์ และที่คาลวารีพวกเขาจะโยนคำตำหนิใส่พระองค์ว่าเป็นผู้เหน็บแนม  แต่จะอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้สาวกทราบในเวลานี้จะทำให้พวกเขาทราบถึงความทุกข์ทรมานของพระองค์และทำให้พวกเขาเป็นทุกข์ที่ยังไม่พร้อมจะทนได้  และคำอธิบายจะเป็นการเปิดเผยให้พวกยิวทราบผลของอคติและความไม่เชื่อก่อนกำหนดเวลา บัดนี้พวกเขาเดินเข้าไปสู่เส้นทางซึ่งจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งพระองค์จะทรงถูกนำดั่งลูกแกะนำไปยังผู้ประหาร  {DA 164.4}             

       เพื่อเห็นแก่ผู้ที่จะเชื่อในพระองค์ พระคริสต์จึงตรัสพระดำรัสเหล่านี้  พระองค์ทรงทราบดีว่าเมื่อพระองค์ตรัสพระดำรัสเหล่านี้ซ้ำอีกครั้งที่งานเลี้ยงปัสกา พระดำรัสเหล่านี้จะตกถึงหูของคนนับพันและเพื่อนำออกไปยังทุกส่วนของโลก หลังจากที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ความหมายของพระดำรัสเหล่านี้จะกระจ่างแจ้ง   สำหรับคนจำนวนมากพระดำรัสนี้จะเป็นหลักฐานที่สรุปว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  {DA 165.1}         

       สืบเนื่องจากความมืดมนทางฝ่ายจิตวิญญาณ แม้แต่สาวกทั้งหลายของพระเยซูก็ยังพลาดอยู่เสมอที่จะเข้าใจบทเรียนของพระองค์  แต่บทเรียนมากมายเหล่านี้จะกระจ่างด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา  เมื่อพระองค์ไม่ได้ดำเนินร่วมอยู่กับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว พระดำรัสของพระองค์ยังคงฝังลึกอยู่ในหัวใจของพวกเขา  {DA 165.2}     

       เมื่ออ้างถึงพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็มแล้ว พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่า “ทำลายวิหารนี้ เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน” นั้นมีความหมายลึกซึ้งกว่าที่ผู้ฟังสามารถเข้าใจได้  พระคริสต์ทรงเป็นรากฐานและชีวิตของพระวิหาร  พิธีกรรมต่างๆ เป็นเครื่องหมายของการถวายบูชาพระบุตรของพระเจ้า  ระบบปุโรหิตจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนลักษณะการเป็นผู้กลางและพระราชกิจของพระคริสต์  แผนการทั้งหมดของการนมัสการด้วยการถวายบูชาเป็นเงาชี้ไปยังความตายของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อไถ่โลกกลับคืนมา  การถวายเหล่านี้จะไม่มีประโยชน์เมื่อเหตุการณ์ยิ่งใหญ่ของยุคที่ชี้ไปถึงนั้นสำเร็จลงแล้ว  {DA 165.3}           

       เนื่องจากรากฐานพิธีกรรมทั้งระบบเป็นสัญลักษณ์หมายถึงพระคริสต์ จะไม่มีค่าหากแยกพิธีกรรมเหล่านี้ออกจากพระองค์  เมื่อชาวยิวประทับตราปฏิเสธพระคริสต์โดยมอบพระองค์ให้ถึงแก่ความมรณาพวกเขาปฏิเสธทุกสิ่งที่มีความสำคัญต่อพระวิหารและพิธีกรรมของพระวิหาร  ความศักดิ์สิทธิ์ก็หมดไป  พระวิหารถูกกำหนดให้พินาศ จากวันนั้นเป็นต้นมาการถวายบูชาและพิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระวิหารหมดความหมายไป  เหมือนเช่นการถวายบูชาของคาอิน พิธีกรรมเหล่านี้ไม่ได้แสดงออกถึงความเชื่อในพระผู้ช่วยให้รอด ด้วยการประหารพระคริสต์เสมือนกับว่าชาวยิวได้ทำลายพระวิหารของพวกเขาไปแล้ว  เมื่อพระคริสต์ถูกตรึงบนกางเขน ม่านภายในพระวิหารแยกขาดออกจากบนถึงล่างแสดงให้เห็นว่าการถวายบูชายิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นแล้วและระบบการถวายบูชายุติลงตลอดกาล  {DA 165.4}   

       เราจะสร้างขึ้นภายในสามวัน”  ดูเสมือนหนึ่งว่า ด้วยการมรณาของพระคริสต์อำนาจของความมืดได้ชัยชนะ และพวกเขาก็ได้ฉลองในความมีชัย  แต่พระเยซูเสด็จออกมาในฐานะของผู้ครอบครองจากอุโมงค์ฝังศพของโยเซฟที่เปิดออก  “พระองค์ทรงปลดพวกภูตผีที่ครอบครองและพวกภูตผีที่มีอำนาจ พระองค์ทรงประจานพวกมันอย่างเปิดเผย และมีชัยชนะเหนือพวกมัน”  โคโลสี 2 ข้อที่ 15  โดยคุณความดีของการมรณาและการเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรง “เป็นผู้ปฏิบัติกิจในสถานศักดิ์สิทธิ์และในพลับพลาแท้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งไว้ ไม่ใช่มนุษย์ตั้ง” ฮีบรู 8 ข้อที่ 2  มนุษย์เป็นผู้กางเต็นท์ของชาวยิว มนุษย์เป็นผู้สร้างพระวิหารของชาวยิว แต่พระวิหารเบื้องบนซึ่งเป็นแบบของพระวิหารในโลก เป็นพระวิหารที่ไม่ได้ก่อสร้างขึ้นด้วยสถาปนิกที่เป็นมนุษย์ “นี่แน่ะ ชายผู้ที่มีชื่อว่าพระอังกูร. . . .ท่านผู้นี้แหละจะเป็นผู้สร้างพระวิหารของพระยาห์เวห์ และจะรับเกียรติศักดิ์ และจะนั่งและปกครองอยู่บนราชบัลลังก์ของท่านและจะมีปุโรหิตผู้หนึ่งอยู่ข้างบัลลังก์ของท่าน” เศคาริยาห์ 6 ข้อที่ 12, 13  {DA 165.5}     

       พิธีถวายบูชาที่ชี้ไปยังพระคริสต์นั้นผ่านพ้นไปแล้ว แต่ตาของมนุษย์หันเข้าหาการถวายบูชาองค์เที่ยงแท้เพื่อบาปของโลก  ระบบปุโรหิตของทางฝ่ายโลกสิ้นสุดไป แต่เรามองไปยังพระเยซูผู้ทรงปฏิบัติกิจในพันธสัญญาใหม่และมองไปยัง “พระโลหิตประพรมที่มีเสียงร้องอันประเสริฐกว่าเสียงโลหิตของอาแบล”  “ทางซึ่งจะเข้าไปในที่บริสุทธิ์ที่สุดนั้นไม่ได้ปรากฏแจ้ง คราวเมื่อพลับพลาเดิมยังตั้งอยู่. . . .แต่เมื่อพระคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐซึ่งจะมาถึงโดยทางพลับพลาอันใหญ่ยิ่งกว่า. . . .ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ. . . .พระองค์เสด็จเข้าไปในที่บริสุทธิ์เพียงครั้งเดียว. . . .ทรงนำพระโลหิตของพระองค์เองเข้าไป และทรงสำเร็จการไถ่บาปชั่วนิรันดร์แก่เรา” ฮีบรู 12 ข้อที่ 24; 9 ข้อที่ 8-12  {DA 166.1}        

       เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงสามารถช่วยคนทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นอย่างเต็มที่ เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา เพื่อทูลขอเผื่อคนเหล่านั้น” ฮีบรู 7 ข้อที่ 25  ถึงแม้การปฏิบัติกิจของพระวิหารของได้ย้ายไปยังพระวิหารในสวรรค์แล้ว แม้ตามนุษย์จะมองไม่เห็นพระวิหารและมหาปุโรหิตที่ยิ่งใหญ่ของเรา ถึงกระนั้นสาวกทั้งหลายก็จะไม่สูญเสียในสิ่งใด  พวกเขาจะตระหนักว่าไม่มีการขาดตอนของการสื่อสัมพันธ์หรืออำนาจที่ลดลงอันเนื่องจากพระะผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ทรงร่วมสถิตอยู่ด้วยแล้ว ในขณะที่พระเยซูทรงปฏิบัติพระราชกิจในพระวิหารเบื้องบนพระองค์ยังทรงปฏิบัติโดยผ่านทางพระวิญญาณในคริสตจักรของพระองค์ในโลก  พระองค์ทรงจากไปจากสายตาแต่พระองค์ทรงประกอบกิจตามพระสัญญาในขณะที่ทรงลาไปจากโลก  “นี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” มัทธิว 28 ข้อที่ 20  ในขณะที่พระองค์ทรงมอบหมายอำนาจของพระองค์แก่ผู้รับใช้ในระดับที่ต่ำกว่า อำนาจอันเปี่ยมด้วยพลังยังคงร่วมสถิตอยู่กับคริสตจักร {DA 166.2}           

       เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่. . . .คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เรายึดมั่นในหลักความเชื่อที่ประกาศรับไว้  เพราะว่าเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป  ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่ช่วยเราในยามต้องการ”  ฮีบรู 4 ข้อที่ 14-16  {DA 166.3}   

********