บทที่ 67

วิบัติแก่พวกฟาริสี

บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 23; มาระโก 12 ข้อที่ 41-44;
ลูกา 20 ข้อที่ 45-47; ลูกา 21 ข้อที่ 1-4


วันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่พระคริสต์ทรงสอนอยู่ในพระวิหาร  ในท่ามกลางมหาชนขนาดใหญ่ที่ชุมนุมกันที่กรุงเยรูซาเล็ม ความสนใจของคนทั้งหมดมุ่งไปอยู่ที่พระองค์ ประชาชนต่างพากันมาแออัดอยู่ที่ลานพระวิหาร คอยเฝ้าดูการโต้แย้งกันที่ดำเนินอยู่และพวกเขาจับทุกพระดำรัสที่ออกมาจากริมพระโอษฐ์ชองพระองค์ด้วยความกระตือรือร้น ไม่เคยมีภาพเหตุการณ์เช่นนี้ให้เห็นมาก่อน  ที่นั่นมีชายหนุ่มชาวกาลิลีอายุน้อยคนหนึ่งประทับอยู่  ไม่ได้มีเกียรติยศทางโลกหรือเครื่องหมายราชวงศ์ใดติดตัว  พวกปุโรหิตที่แต่งกายด้วยชุดหรูหรายืนอยู่รอบพระองค์ ทั้งพวกผู้ปกครองที่แต่งตัวด้วยชุดอาภรณ์และประดับเหรียญตราที่แสดงถึงฐานันดรศักดิ์อันสูงศักดิ์อันสูงศักดิ์ และพวกธรรมาจารย์ถือม้วนหนังอยู่ในมือที่คอยเปิดหาหลักฐานอ้างอิง  พระเยซูประทับอย่างสงบอยู่ตรงหน้าพวกเขาด้วยเกียรติศักดิ์ศรีของกษัตริย์  ในฐานะผู้หนึ่งผู้ทรงได้รับแต่งตั้งด้วยสิทธิอำนาจแห่งสวรรค์พระองค์ทอดพระเนตรอย่างไม่หวั่นเกรงไปยังศัตรูของพระองค์ที่ปฏิเสธและดูหมิ่นคำสอนของพระองค์ และกระหายอยากทำลายชีวิตของพระองค์  พวกเขาใช้คนจำนวนมากรุกรานพระองค์ แต่เพทุบายเพื่อดักจับและกำหนดโทษพระองค์ไม่ประสบผลสำเร็จ  พระองค์ทรงเผชิญกับการท้าทายครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ทรงนำเสนอความจริงอันบริสุทธิ์ที่ตรงกันข้ามกับความมืดและความผิดพลาดของพวกปุโรหิตและพวกฟาริสี  พระองค์ทรงนำเสนอสภาพจริงของผู้นำเหล่านี้ต่อหน้าพวกเขา และการลงโทษอย่างยุติธรรมจะเกิดขึ้นตามหลังการกระทำชั่วช้าของพวกเขาอย่างแน่นอน  คำเตือนทรงโปรดประทานไปแล้วอย่างซื่อสัตย์ แต่ถึงกระนั้นยังมีพระราชกิจอีกอย่างหนึ่งที่พระคริสต์จะต้องกระทำ  มีอีกจุดประสงค์หนึ่งที่พระองค์ยังทรงจะต้องทำให้สำเร็จ  {DA 610.1}        

ประชาชนสนใจพระคริสต์และพระราชกิจของพระองค์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  พวกเขาหลงใหลในคำสอนของพระองค์ แต่พวกเขาก็งุนงงอย่างยิ่ง  พวกเขาเคารพพวกปุโรหิตแลพวกธรรมาจารย์ในความฉลาดและความเคร่งครัดศรัทธาในศาสนาที่แสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัด  ในเรื่องศาสนาแล้วพวกเขาเชื่อฟังผู้อยู่ในอำนาจอย่างไร้ข้อกังขาเสมอ  แต่กระนั้น บัดนี้พวกเขาเห็นว่าชายเหล่านี้ลงแรงทำให้พระเยซูเสื่อมเสียชื่อเสียง  พระองค์ทรงเป็นพระอาจารย์คนหนึ่งซึ่งมีคุณความดีและความรู้เปล่งประกายที่ส่องสว่างออกมาอย่างเจิดจ้าจากทุกๆ การโจมตีที่ใส่พระองค์  พวกเขามองอารมณ์สีหน้าที่ตกต่ำลงของพวกปุโรหิตและพวกผู้อาวุโส และพวกเขามองเห็นความกระอักกระอ่วนลำบากใจและความสับสน  พวกเขาประหลาดใจที่ผู้ปกครองไม่เชื่อพระเยซู ทั้งๆ ที่คำสอนของพระองค์เรียบง่ายและชัดเจน  พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะหันไปทิศทางใด  ด้วยความวิตกกังวลอย่างกระตือรือร้น พวกเขาเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของผู้ที่พวกเขาเชื่อปฏิบัติตามคำปรึกษามาตลอด  {DA 611.1}                                  

ในอุปมาที่พระคริสต์ตรัสไว้ พระองค์ทรงประสงค์ทั้งเตือนพวกผู้ปกครองและสั่งสอนประชาชนที่เต็มใจยอมให้สอน  แต่ยังมีความจำเป็นที่จะต้องตรัสให้ชัดแจ้งมากกว่านี้  ความเคารพในธรรมเนียมประเพณีและความเชื่ออย่างงมงายในระบอบปุโรหิตที่เสื่อมทรามทุจริตทำให้ประชาชนถูกกดขี่เยี่ยงทาส  พระคริสต์ทรงประสงค์หักโซ่ตรวนเหล่านี้  ทรงประสงค์เปิดโปงลักษณะอุปนิสัยของพวกปุโรหิต พวกผู้ปกครองและพวกฟาริสีอย่างเต็มที่  {DA 611.2}    

"พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสี" พระองค์ตรัส "นั่งบนที่นั่งของโมเสส เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งที่เขาทั้งหลายสั่งสอนพวกท่านนั้น จงถือและประพฤติตามยกเว้นการประพฤติของพวกเขาอย่าทำตามเลย เพราะพวกเขาไม่ได้ทำในสิ่งที่พวกเขาสอน”  พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีอ้างว่าพระเจ้าทรงแต่งตั้งให้พวกเขามีอำนาจเช่นเดียวกับอำนาจของโมเสส  พวกเขาทึกทักเอาเองว่าได้เข้ามารับหน้าที่อธิบายพระบัญญัติอย่างละเอียดและพิพากษาประชาชน  ด้วยหน้าที่เช่นนี้ พวกเขาเรียกร้องให้ประชาชนเคารพและเชื่อปฏิบัติพวกเขาอย่างเต็มที่  พระเยซูทรงบัญชาผู้ฟังของพระองค์ให้ทำสิ่งที่พวกธรรมาจารย์สอนตามพระบัญญัติ แต่อย่าไปฏิบัติตามแบบอย่างของพวกเขา  พวกเขาเองไม่ได้ปฏิบัติตามในสิ่งที่พวกเขาเองสั่งสอน  {DA 612.1}   

และพวกเขาสอนสิ่งที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์มากมาย  พระเยซูตรัสว่า "เพราะพวกเขาเอาห่อของหนักวางบนบ่าของมนุษย์ แต่ส่วนพวกเขาเองไม่ยอมแม้แต่จะใช้สักนิ้วเดียวไปยก"  พวกฟาริสีเอากฎระเบียบมากมายที่มีรากฐานมาจากประเพณีมาบังคับใช้และตั้งข้อจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างไร้เหตุผล และกฎหมายบางส่วนที่พวกเขาอธิบายไว้นั้นใช้เพื่อกำหนดให้ประชาชนถือปฏิบัติแต่พวกเขาเองกลับละเลยอย่างลับๆ  และเมื่อกฎนั้นทำให้พวกเขาบรรลุเป้าประสงค์แล้ว  พวกเขาก็จะอ้างว่าตนได้รับการยกเว้น  {DA 612.2}         

พวกเขามุ่งมั่นโอ้อวดอยู่อย่างเนืองนิจถึงความเคร่งครัดในศาสนา  ไม่มีสิ่งใดศักดิ์สิทธิ์เกินไปที่จะนำมาใช้เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายนี้  พระเจ้าตรัสกับโมเสสเรื่องพระบัญญัติของพระองค์ไว้แล้วว่า "จงเอาถ้อยคำเหล่านี้ผูกไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และคาดไว้ที่หน้าผากของท่านเป็นสัญลักษณ์” เฉลยธรรมบัญญัติ 6 ข้อที่ 8  พระวจนะเหล่านี้มีความหมายที่ลึกซึ้ง  เมื่อใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าและนำไปลงมือปฏิบัติแล้ว มนุษย์จะสูงส่งขึ้น  ในการทำธุรกิจอย่างชอบธรรมและเมตตา มือทั้งสองจะเปิดเผยหลักการของพระบัญญัติของพระเจ้าราวกับประทับด้วยแหวนตรา  มือเหล่านี้จะรักษาให้สะอาดปลอดสินบน และปลอดจากสิ่งทั้งปวงที่ทุจริตและหลอกลวง  มือทั้งสองจะทำงานแห่งรักและเมตตาอย่างขยันขันแข็ง  ดวงตาทั้งสองที่มุ่งตรงไปยังเป้าหมายจะสูงส่ง จะชัดเจนและซื่อตรง  หน้าตาที่แสดงออก สายตาที่แวววาว จะเป็นพยานถึงลักษณะอุปนิสัยที่ไร้มลทินของคนที่รักและถวายเกียรติพระวจนะของพระเจ้า  แต่สำหรับชาวยิวในสมัยของพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นที่ประจักษ์  พระบัญชาที่ทรงโปรดประทานให้โมเสสถูกตีความไปในทิศทางที่นำเอาคำสอนเหล่านี้มาสวมติดอยู่กับตัวของคนนั้น  มีการนำข้อความมาเขียนไว้บนแผ่นหนังและผูกไว้ให้เห็นอย่างเด่นชัดรอบศีรษะและข้อมือเพื่อสอดคล้องกับคำสอน  แต่การทำเช่นนี้ไม่ได้ฝังพระบัญญัติของพระเจ้าไว้ให้แน่นในความคิดและหัวใจ  พวกเขาสวมแผ่นหนังนี้ไว้เป็นเครื่องหมายเพื่อดึงดูดความสนใจ  เพื่อทำให้คนทั้งหลายเข้าใจว่าผู้สวมเคร่งครัดศาสนาและเรียกร้องให้ประชาชนเคารพนับถือพวกเขา  พระเยซูทรงโจมตีความแสแสร้งอันไร้สาระนี้อย่างตรงไปตรงมา  {DA 612.3}

การกระทำของพวกเขาล้วนทำเพื่ออวดคนอื่น พวกเขาทำกลักพระธรรมขนาดใหญ่และสวมเสื้อที่มีพู่ห้อยยาว  พวกเขาชอบที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยงและที่นั่งโดดเด่นในธรรมศาลา  ชอบรับการคำนับที่กลางตลาดและชอบให้คนอื่นเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’  ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’ เพราะพวกท่านมีพระอาจารย์เพียงผู้เดียว และพวกท่านทุกคนเป็นพี่น้องกัน  และอย่าให้เกียรติใครในโลกว่าเป็นพระบิดาของพวกท่าน เพราะพวกท่านมีพระบิดาเพียงผู้เดียว คือผู้ที่สถิตในสวรรค์  อย่าให้ใครเรียกท่านทั้งหลายว่า ‘บรมครู’ เพราะว่าบรมครูของพวกท่านมีเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์”  ด้วยพระดำรัสตรัสที่ชัดเจนนี้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงเปิดเผยความทะเยอทะยานอย่างเห็นแก่ตัวเพื่อทะยานให้ไปถึงตำแหน่งและอำนาจภายใต้การแสดงออกถึงความถ่อมตนอย่างแสแสร้งในขณะที่หัวใจเต็มไปด้วยความโลภและความอิจฉา  พวกขาจัดแขกที่ได้รับเชิญในงานเลี้ยงให้นั่งตามตำแหน่งยศศักดิ์ และผู้ที่อยู่ในตำแหน่งอันทรงเกียรติที่สุดจะได้รับบริการและการเอาใจใส่เป็นพิเศษอันดับแรก  พวกฟาริสีวางแผนอยู่เนืองนิจเพื่อรับเกียรตินี้  พระเยซูทรงตำหนิการกระทำเช่นนี้  {DA 613.1}                          

พระองค์ทรงประณามการแสดงออกอย่างทนงตนของการโลภตำแหน่งธรรมาจารย์หรือท่านอาจารย์ด้วย  พระองค์ทรงเปิดเผยว่า ตำแหน่งเช่นนี้ไม่ได้มีไว้ให้มนุษย์ครอบครอง แต่เป็นของพระคริสต์  พวกปุโรหิต พวกธรรมาจารย์และพวกผู้ปกครอง ผู้อธิบายและพวกผู้ดำเนินการด้านกฎหมายล้วนเป็นพี่น้องด้วยกัน เป็นบุตรของพระบิดาองค์เดียวกัน  พระเยซูทรงเน้นย้ำประชาชนว่าพวกเขาต้องไม่ให้มนุษย์คนใดมีตำแหน่งเกียรติยศที่จะมาควบคุมจิตใต้สำนึกหรือความเชื่อของพวกเขา  {DA 613.2}                            

หากวันนี้พระคริสต์ดำรงชีวิตอยู่บนโลกท่ามกลางบรรดาผู้มีศักดิ์เป็น "อาจารย์" หรือ "ท่านอาจารย์อันทรงเกียรติ" เหล่านี้แล้ว พระองค์จะไม่ตรัสซ้ำพระดำรัสของพระองค์หรือที่ว่า "อย่าให้ใครเรียกท่านทั้งหลายว่า ‘บรมครู’ เพราะว่าบรมครูของพวกท่านมีเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์"?  พระคัมภีร์เปิดเผยถึงเรื่องของพระเจ้าว่า "พระนามของพระองค์นั้นศักดิ์สิทธิ์และน่าคร้ามกลัว" สดุดี 111 ข้อที่ 9   ตำแหน่งเช่นนี้จะมอบให้แก่ผู้ใดที่เหมาะสมเล่า?  มนุษย์เปิดเผยให้เห็นถึงพระปัญญาและความชอบธรรมตามที่บ่งบอกไว้ได้น้อยนิดเพียงไร!  มีสักกี่คนที่ดำรงตำแหน่งนี้แต่เป็นตัวแทนให้แก่พระนามและพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าในทางที่ผิด!  อนิจจา  บ่อยครั้งเพียงไร ความทะเยอทะยานทางฝ่ายโลก  เผด็จการและบาปต่ำช้าที่สุดถูกซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมที่ปักประดับไว้อย่างหรูของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงศักดิ์และศักดิ์สิทธิ์!  พระผู้ช่วยให้รอดตรัสต่อไปดังนี้ว่า  {DA 613.3}                  

"คนที่เป็นใหญ่ในพวกท่านย่อมต้องปรนนิบัติท่าน  ใครยกตัวขึ้น จะต้องถูกทำให้ต่ำลง ใครถ่อมตัวลง จะได้รับการยกขึ้น"  ครั้งแล้วครั้งเล่าพระคริสต์ทรงสอนว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้นวัดได้จากคุณค่าทางศีลธรรม  ในการประเมินของสวรรค์ความยิ่งใหญ่ของลักษณะอุปนิสัยประกอบด้วยการดำเนินชีวิตเพื่อสวัสดิภาพของเพื่อนมนุษย์ ในการทำงานแห่งความรักและความเมตตา  พระคริสต์ผู้ทรงเป็นกษัตริย์แห่งพระสิริเป็นผู้รับใช้ของคนที่ล้มลงในบาป  {DA 613.4}                      

"วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด" พระเยซูตรัส "พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม"  โดยการบิดเบือนพระคัมภีร์ พวกปุโรหิตและพวกนักกฎหมายทำให้จิตใจของผู้ที่น่าจะได้รับความรู้เรื่องอาณาจักรของพระคริสต์ และมีชีวิตภายในแบบเดียวกับพระเจ้าซึ่งจำเป็นต่อความบริสุทธิ์ที่แท้จริงกลับมืดบอดไป  {DA 614.1}                                    

"วิบัติแก่พวกเจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าริบเอาบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น”  พวกฟาริสีมีอิทธิพลต่อประชาชนอย่างมากและเพราะเรื่องนี้ พวกเขาจึงเอาเปรียบเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง  พวกเขาเอาใจพวกแม่ม่ายที่เคร่งศาสนา และแล้วก็นำเสนอว่าเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะต้ออุทิศทรัพย์สินของตนเพื่อเป้าหมายทางด้านศาสนา  เมื่อได้เงินของพวกเธอมาแล้ว ผู้วางแผนเจ้าเล่ห์เหล่านี้ก็ใช้เงินที่ได้เพื่อประโยชน์ของตนเอง  เพื่อปกปิดความไม่ซื่อสัตย์ของตัวเอง พวกเขาอธิษฐานยึดยาวในที่สาธารณชนและทำตัวเคร่งครัดศาสนาอย่างโอ้อวด  พระคริสต์เปิดเผยว่าความหน้าซื้อใจคดนี้จะนำคำสาปยิ่งใหญ่ตกลงยังพวกเขา  การประณามเดียวกันนี้ตกลงมายังคนมากมายในทุกนี้ที่แสดงตนเป็นคนเคร่งครัดศาสนาด้วยเช่นกัน  ความเห็นแก่ตัวและความโลภอยากทำให้ชีวิตของพวกเขาเปรอะเปื้อน  กระนั้นพวกเขาก็เอาอาภรณ์บริสุทธิ์มาสวมคลุมไว้ และด้วยการทำเช่นนี้หลอกลวงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้สักระยะหนึ่ง  แต่พวกเขาหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้  พระองค์ทรงอ่านทุกความมุ่งหมายของหัวใจ และจะตัดสินตามการกระทำของเขา  {DA 614.2}                                       

พระคริสต์ทรงประณามการล่วงละเมิดเหล่านี้อย่างรุนแรง แต่พระองค์ทรงระมัดระวังไม่ทำให้กรณียกิจลดลง  พระองค์ทรงตำหนิความเห็นแก่ตัวที่พวกเขากรรโชกพวกแม่ม่ายและนำของเหล่านั้นไปใช้ในทางที่ผิด  แต่ในเวลาเดียวกันพระองค์ก็ตรัสชมเชยหญิงม่ายที่นำเงินมาถวายเข้ากองคลังของพระเจ้า  มนุษย์ที่นำของถวายไปใช้ในทางที่ผิดนั้น ไม่สามารถทำให้พระพรของพระเจ้าออกไปจากผู้ถวายได้  {DA 614.3}                                      

พระเยซูประทับอยู่ตรงบริเวณกล่องรับเงินถวายในลานของพระวิหาร และพระองค์ทรงติดตามดูคนที่เข้ามาใส่เงินลงกล่อง  คนร่ำรวยมากมายนำเงินจำนวนมากมาถวาย  พวกเขาทำตัวโอ้อวดอย่างยิ่ง  พระเยซูทอดพระเนตรด้วยความเศร้าพระทัย แต่ไม่ทรงวิจารณ์การถวายอย่างไม่อั้นของพวกเขา  ในเวลานี้ พระพักตร์ของพระองค์เจิดจ้าขึ้นมาในขณะที่พระองค์ทรงเห็นแม่ม่ายยากจนคนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยความลังเล ทำราวกับว่ากลัวที่จะมีใครเห็น  ในขณะที่คนร่ำรวยและโอหังเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วเอาเงินถวายใส่ลงกล่อง  เธอหดถอยราวกับว่าไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป  และกระนั้นเธอปรารถนาที่จะทำอะไรสักอย่างถึงแม้จะน้อยนิดแต่ก็เพื่อพระราชกิจที่เธอรัก  เธอมองของถวายที่อยู่ในมือ  เงินนั้นน้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับเงินถวายของคนรอบตัวเธอ  แต่ก็เป็นทั้งหมดที่เธอมี  เธอหาโอกาสของเธอ เธอเร่งรีบเอาเงินสองเหรียญเล็กๆ ใส่ลงไปและรีบหันกลับออกไป  แต่การกระทำของเธอทำเช่นนี้กลับสะดุดพระเนตรของพระเยซูผู้ทรงจับจ้องเธออยู่อย่างจริงจัง  {DA 614.4}                     

พระผู้ช่วยให้รอดบัญชาสาวกให้เข้ามาเฝ้าพระองค์ และตรัสให้พวกเขาสังเกตความยากจนของหญิงม่ายคนนี้ให้ดี  แล้วพระดำรัสแห่งคำชมเชยของพระองค์ก็ดังไปถึงหูของเธอว่า "เราบอกท่านทั้งหลายจริงๆ ว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้เป็นคนที่ใส่ไว้มากกว่าเพื่อน"  น้ำตาแห่งความสุขเต็มเบ้าตาของเธอในขณะที่เธอรู้สึกได้ว่าพระองค์ทรงยอมรับการกระทำของเธอ  หลายคนน่าจะแนะให้เธอเก็บเงินอันน้อยนิดของเธอไว้เพื่อใช้จ่ายเอง  เมื่อถวายแล้วเงินถวายนั้นจะไปอยู่ในมือของปุโรหิตที่ร่ำรวย  เงินนี้จะหลงไปอยู่ในกองสมบัติอันมีค่ามากมายที่เข้ามาในพระคลัง  แต่พระเยซูทรงเข้าพระทัยเป้าหมายของเธอ  เธอเชื่อว่าพิธีกรรมในวิหารเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดและเธอก็กระตือรือร้นที่จะสนับสนุนด้วยความพยายามของเธออย่างเต็มที่  เธอทำในสิ่งที่เธอทำได้ และการกระทำของเธอนี้ก็จะเป็นอนุสรณ์เพื่อรำลึกถึงเธอตลอดทุกยุค และความสุขของเธอในเวลานิจนิรันดร์  หัวใจของเธอไปพร้อมกับเงินที่เธอถวาย  มูลค่าของถวายถูกประเมินไว้แล้ว ไม่ใช่ด้วยมูลค่าของเหรียญ แต่ด้วยความรักที่ถวายพระเจ้าและความใส่ใจในพระราชกิจของพระองค์ที่กระตุ้นให้เธอกระทำกิจนี้  {DA 615.1}                    

พระเยซูตรัสถึงหญิงม่ายน่าสงสารคนนี้ว่า เธอ "ใส่ไว้มากกว่าเพื่อน"  คนร่ำรวยนำเงินจากทรัพย์อันอุดมสมบูรณ์ของพวกเขามาถวาย หลายคนทำเพื่อให้มนุษย์เห็นและยกย่อง  การบริจาคจำนวนมากไม่ได้ทำให้พวกเขาขาดความสะดวกสบายหรือแม้แต่ความฟุ่มเฟือย พวกเขาไม่ต้องเสียสละและของถวายของพวกเขาจึงเทียบมูลค่าไม่ได้เลยกับเศษเหรียญของหญิงม่าย  {DA 615.2}                                  

แรงจูงใจเป็นตัวกำหนดคุณลักษณะให้แก่การกระทำต่างๆ ของเราโดยประทับตราการกระทำนั้นด้วยความอัปยศหรือศีลธรรมอันสูงส่ง  พระเจ้าไม่ได้ทรงถือว่าทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซึ่งทุกดวงตามองเห็นและทุกลิ้นสรรเสริญจะเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด หน้าที่ขนาดเล็กที่ทำด้วยใจร่าเริง  ของขวัญน้อยนิดที่ทำไปอย่างไม่โอ้อวดและที่ในสายตาของมนุษย์อาจดูไร้ค่ามักจะโดดเด่นอย่างสูงสุดในสายพระเนตรของพระองค์  หัวใจแห่งความเชื่อและความรักนั้นมีค่าต่อพระเจ้ามากกว่าของขวัญราคาแพงที่สุด  หญิงม่ายที่ยากจนถวายเงินดำรงชีพทั้งหมดเพื่อทำในสิ่งเล็กน้อยของเธอ  เธออดอาหารเพื่อถวายเหรียญทองแดงสองเหรียญนั้นเพื่อพันธกิจของพระเจ้าที่เธอรัก  และเธอทำด้วยความเชื่อ โดยเชื่อมั่นในใจว่าพระบิดาแห่งสวรรค์จะไม่ทรงมองข้ามความต้องการยิ่งใหญ่ของเธอ  จิตวิญญาณที่ไม่เห็นแก่ตัวและความเชื่อเหมือนเด็ก เป็นสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงชื่นชม  {DA 615.3}                            

มีคนมากมายในท่ามกลางคนยากจนที่ปรารถนาจะถวายความขอบพระคุณพระเจ้าที่ประทานพระคุณและความจริงของพระองค์  พวกเขามีความปรารถนาอย่างยิ่งใหญ่ที่จะมีส่วนร่วมกับพี่น้องที่ร่ำรวยกว่าในการค้ำจุนพระราชกิจของพระองค์  ดวงวิญญาณเหล่านี้จะต้องไม่ถูกขับไล่ออกไป  ให้พวกเขานำเหรียญทองแดงของพวกเขาไปใส่ไว้ในธนาคารแห่งสวรรค์  หากพวกเขาถวายจากหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักที่มีต่อพระเจ้าแล้วของถวายที่ดูเหมือนเล็กน้อยจะกลายเป็นของถวายอันหาค่าไม่ได้ที่อุทิศให้กับพระองค์ ซึ่งพระเจ้าจะทรงแย้มพระสรวลให้และทรงอวยพระพร  {DA 615.4}                                    

เมื่อพระเยซูตรัสถึงหญิงม่ายว่าเธอ "เป็นคนที่ใส่ไว้มากกว่าเพื่อน"  พระดำรัสของพระองค์นั้นเป็นจริงไม่ใช่แค่ที่แรงจูงใจเท่านั้น แต่ผลที่ได้มาจากของถวายของเธอด้วย  "เหรียญทองแดงสองอัน มีค่าประมาณโคดรันเทสหนึ่ง" [หนึ่งโคดรันเทสมีค่าเท่ากับ 1ใน 64 ของเดนาริอัน] ได้นำเงินเข้าสู่พระคลังของพระเจ้าที่มีมูลค่ามากกว่าของถวายที่คนยิวร่ำรวยเหล่านั้นถวาย  อิทธิพลของของถวายขนาดเล็กเป็นเหมือนเช่นลำธาร แม้จะเล็กเมื่ออยู่ต้นน้ำ แต่จะขยายออกกว้างและลึกมากขึ้นขณะที่ไหลลงไปตลอดทุกยุค  ในวิถีทางนับพันของถวายนี้มีส่วนร่วมบรรเทาทุกข์ของคนยากจนและการเผยแพร่ข่าวประเสริฐ  แบบอย่างการเสียสละตนของเธอส่งผลของการกระทำและการตอบสนองจากหัวใจหลายพันดวงในทุกแดนดินและทุกยุคทุกสมัย  การกระทำนี้ดึงดูดทั้งคนร่ำรวยและคนยากจน และของถวายของพวกเขาเพิ่มมูลค่าของถวายของเธอ  พระพรของพระเจ้าที่หลั่งลงมายังเหรียญทองแดงของหญิงม่ายทำให้เหรียญนั้นเป็นแหล่งกำเนิดของผลที่ยิ่งใหญ่  ของขวัญทุกชิ้นที่มอบให้และการกระทำที่ทำด้วยความปรารถนาเพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้าก็จะเป็นเช่นนี้  สิ่งเหล่านี้เชื่อมต่อกับพระประสงค์ของพระพระผู้ทรงพลังอำนาจอย่างไม่สิ้นสุด  ผลเพื่อการดีไม่มีมนุษย์คนใดจะวัดตวงได้  {DA 616.1}

พระผู้ช่วยให้รอดทรงประณามพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีต่อไปอีกว่า  "วิบัติแก่พวกเจ้า คนนำทางที่ตาบอด พวกเจ้าสอนว่า ‘ใครที่จะสาบานโดยอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ใครสาบานโดยอ้างทองคำของพระวิหาร คนนั้นจะต้องทำตามคำสาบาน  โอ เจ้าพวกคนโง่เขลาและตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์?  และพวกเจ้ายังสอนว่า ‘ใครจะสาบานโดยอ้างแท่นบูชา คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ใครสาบานโดยอ้างเครื่องถวายบนแท่นบูชา คนนั้นต้องทำตามคำสาบาน’  เจ้าพวกคนตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่ากัน เครื่องถวาย หรือแท่นบูชาที่ทำให้เครื่องถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์"  พวกปุโรหิตแปลข้อกำหนดเรียกร้องของพระเจ้าตามมาตรฐานที่ผิดและคับแคบของพวกเขาเอง  พวกเขาทึกทักขึ้นเองในการแบ่งความรุนแรงของบาปต่างๆ ตามความผิด มองข้ามบาปเบาบางประการที่มีโทษเบาแต่กลับจัดให้บาปซึ่งอาจจะมีโทษน้อยกว่ากลายเป็นบาปที่อภัยไม่ได้  เพื่อเห็นแก่เงินพวกเขายกเว้นให้คนหลุดพ้นจากคำปฏิญาณได้  และพวกเขามองข้ามอาชญากรรมร้ายแรงเมื่อได้เงินก้อนขนาดใหญ่  แต่ในเวลาเดียวกันพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองเหล่านี้จะประกาศการลงโทษรุนแรงให้แก่บางกรณีที่ทำผิดไม่ร้ายแรง  {DA 616.2}                

"วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด!  เพราะพวกเจ้าถวายทศางค์ที่เป็นสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า แต่เรื่องที่สำคัญกว่าในธรรมบัญญัติ คือความยุติธรรม ความเมตตาและความเชื่อนั้นพวกเจ้ากลับละเลย การถวายทศางค์นั้นเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยเรื่องที่สำคัญนั้นด้วย"   พระคริสต์ทรงประณามการใช้ภาระหน้าที่รับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ในทางที่ผิดอีกครั้งโดยใช้พระดำรัสตรัสข้างต้นนี้ พระองค์ไม่ทรงปัดภาระหน้าที่รับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ทิ้งไป  ระบบของการถวายทศางค์นั้นพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนด และได้ปฏิบัติกันมาตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว  อับราอัม บิดาของผู้ซื่อสัตย์ ถวายสิบลดของทุกสิ่งที่เขาถือครอง  ผู้นำชาวยิวยอมรับภาระหน้าที่ของการถวายสิบลดและถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้ประชาชนทำหน้าที่ตามจิตใต้สำนึกของพวกเขาเอง  มีการกำหนดกฎสำหรับทุกกรณีขึ้นตามอำเภอใจ  กลายเป็นข้อกำหนดที่ซับซ้อนมากจนไม่มีทางที่จะปฏิบัติตามได้  ไม่มีใครรู้เลยว่าเขาได้ทำตามข้อกำหนดแล้วหรือไม่  ระบบที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นั้นยุติธรรมและมีเหตุมีผล แต่พวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ทำให้เป็นภาระที่น่าเบื่อหน่าย  {DA 616.3}                                        

ทุกเรื่องที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้จะมีผลที่ตามมา  พระคริสต์ทรงยอมรับว่าการชำระเงินสิบลดคืนพระเจ้าเป็นหน้าที่  แต่พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่าเอาเรื่องนี้มาอ้างเพื่อไม่ทำหน้าที่อื่นๆ ไม่ได้  พวกฟาริสีพิถีพิถันกับเรื่องการหักสิบชักหนึ่งของพืชสวนครัว เช่น สะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า เป็นการกระทำที่เสียค่าใช้จ่ายน้อย และทำให้พวกเขาได้ชื่อเสียงของความแม่นยำและความสูงส่งน่านับถือ  ในขณะเดียวกัน ข้อห้ามไร้สาระของพวกเขากดขี่ประชาชนและทำให้พวกเขาไม่เคารพระบบอันศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าเองทรงกำหนด  พวกเขาเอาความแตกต่างไร้สาระมารกสมองและหันความสนใจออกไปจากความจริงที่สำคัญ  เรื่องที่สำคัญกว่าในพระบัญญัติ คือความยุติธรรม ความเมตตาและความเชื่อนั้นพวกเขากลับละเลย  “การถวายทศางค์นั้น” พระคริสต์ตรัส “เจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยเรื่องที่สำคัญนั้นด้วย”  {DA 617.1}      

พวกธรรมาจารย์ก็บิดเบือนบัญญัติอื่นๆ ในลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน  ในพระบัญชาที่ส่งผ่านมาทางโมเสส มีการห้ามรับประทานอาหารที่ไม่สะอาด  มีการห้ามรับประทานเนื้อหมู และเนื้อสัตว์อื่นๆ บางชนิดเนื่องจากมีแนวโน้มที่จะทำให้เลือดเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกและทำให้อายุสั้นลง  แต่พวกฟาริสีไม่ได้ปล่อยข้อกำหนดเหล่านี้ให้เป็นไปตามที่พระเจ้าประทานแก่พวกเขา  พวกเขาไปสุดโต่งอย่างไร้เหตุผล  ในบรรดาข้อกำหนดเหล่านี้มีอยู่ข้อหนึ่งที่บังคับให้ประชาชนกรองน้ำใช้ทั้งหมด เพราะกลัวว่าน้ำจะมีแมลงตัวเล็กที่สุดที่อาจจะเป็นแมลงไม่สะอาด  พระเยซูตรัสกับพวกฟาริสีเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการบีบบังคับที่ไร้สาระกับบาปที่จริงของพวกเขาว่า "คนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออก แต่กลืนตัวอูฐเข้าไป"  {DA 617.2}                          

"วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและทุกอย่างที่โสโครก"  อุโมงค์ฝังศพที่ทาสีขาวและตกแต่งอย่างสวยงามปกปิดสิ่งเน่าเปื่อยไว้ภายในอย่างไร ความบริสุทธิ์ภายนอกของปุโรหิตและผู้ปกครองก็ปกปิดความชั่วช้าไว้ด้วย  พระเยซูตรัสต่อไปว่า  {DA 617.3}                      

"วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าก่อสร้างอุโมงค์ฝังศพของบรรดาผู้เผยพระวจนะ และตกแต่งอุโมงค์ฝังศพของคนชอบธรรมทั้งหลาย แล้วกล่าวว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยของบรรพบุรุษ เราจะไม่มีส่วนร่วมกับพวกเขา ในการทำให้โลหิตของผู้เผยพระวจนะทั้งหลายตก’ ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าก็เป็นพยานปรักปรำตนเองว่า พวกเจ้าเป็นบุตรของพวกที่ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น"  ชาวยิวแสดงความเคารพนับถือผู้เผยพระวจนะที่ตายไปแล้ว พวกเขาใส่ใจอย่างกระตือรือร้นกับการตกแต่งอุโมงค์ฝังศพของพวกเขา แต่พวกเขาไม่ได้รับประโยชน์จากคำสอนของพวกเขา หรือแม้กระทั่งเอาใจใส่ต่อคำตักเตือนของพวกเขาเลย  {DA 617.4}                                      

ในสมัยของพระคริสต์มีความเชื่ออย่างงมงายของการทนุถนอมที่ฝังศพของคนตาย และใช้เงินจำนวนมหาศาลตบแต่งอุโมงค์ฝังศพเหล่านี้  ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วการกระทำนี้เป็นการบูชารูปเคารพ  ด้วยการกระทำเพื่อคนตายอย่างเลยเถิดไม่เหมาะสมของพวกเขานี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้รักพระเจ้าอย่างสิ้นสุดใจทั้งไม่ได้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง  การบูชารูปเคารพแบบเดียวกันนี้ยังคงดำเนินต่อมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันเช่นกัน  หลายคนมีความผิดของการละเลยหญิงม่ายและเด็กกำพร้าพ่อ คนป่วยและคนยากจนเพื่อสร้างอนุสาวรีย์ราคาแพงให้กับคนตาย  พวกเขาใช้เวลา เงินทอง และแรงงานไปอย่างไม่จำกัดเพื่อจุดประสงค์นี้ ในขณะหน้าที่ที่มีต่อคนเป็นซึ่งเป็นหน้าที่ซึ่งพระคริสต์ทรงกำหนดไว้อย่างชัดเจนนั้นถูกทิ้งไว้ไม่ได้ทำ  {DA 618.1}                                

พวกฟาริสีสร้างสุสานของผู้เผยพระวจนะและประดับหลุมฝังศพของพวกเขาและพูดระหว่างกันว่าหากเรามีชีวิตอยู่ในสมัยบรรพบุรุษของเรา เราคงจะไม่ร่วมมือกับพวกเขาทำให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าหลั่งเลือด  ในเวลาเดียวกันพวกเขาวางแผนจะเอาชีวิตพระบุตรของพระองค์  บทเรียนนี้น่าจะมีไว้ให้กับเราด้วย  เป็นบทเรียนที่จะต้องเปิดตาของเราให้เห็นถึงอำนาจของซาตานในการหลอกลวงจิตใจที่หันออกไปจากแสงสว่างแห่งความจริง  หลายคนเดินตามรอยเท้าของฟาริสี  พวกเขาให้ความเคารพผู้ที่ยอมตายเพื่อความเชื่อ  พวกเขาประหลาดใจกับความมืดบอดของชาวยิวที่ปฏิเสธพระคริสต์  พวกเขาประกาศว่าหากเรามีชีวิตอยู่ในสมัยของพระองค์ เราจะรับคำสอนของพระองค์ด้วยความยินดี  เราจะไม่มีส่วนร่วมในความผิดของผู้ที่ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด  แต่เมื่อการเชื่อฟังพระเจ้าเรียกให้พวกเขาปฏิเสธตนเองและความอัปยศอดสูแล้ว คนเหล่านี้ระงับการสำนึกในบาปและปฏิเสธการเชื่อฟัง  ดังนี้แหละพวกเขาก็ได้แสดงออกถึงจิตวิญญาณอย่างเดียวกับของพวกฟาริสีที่พระคริสต์ทรงประณาม  {DA 618.2}

ชาวยิวตระหนักได้น้อยเหลือเกินถึงความรับผิดชอบอันน่ากลัวที่เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธพระคริสต์  นับตั้งแต่สมัยเมื่อเลือดของผู้บริสุทธิ์หลั่งเป็นครั้งแรก เมื่อคาอินใช้มือทำให้อาเบลผู้ชอบธรรมล้มลง ประวัติศาสตร์แบบเดียวกันก็เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับความผิดที่เพิ่มมากขึ้น  ในทุกยุคผู้เผยพระวจนะส่งเสียงดังต้านบาปของพระราชา ผู้ปกครองและประชาชน ด้วยการกล่าวคำที่พระเจ้าตรัสกับพวกเขาและเชื่อฟังพระประสงค์ของพระเจ้าจนเป็นอันตรายต่อตัวเอง  จากคนชั่วอายุหนึ่งไปยังอีกชั่วอายุหนึ่ง การลงโทษอันน่ากลัวต่อผู้ที่ปฏิเสธแสงสว่างและความจริงได้กองสูงขึ้นเรื่อยๆ  บัดนี้ศัตรูของพระคริสต์กำลังเอาเรื่องนี้มาใส่ไว้บนศีรษะของพวกเขาเอง  บาปของพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองนั้นยิ่งใหญ่กว่าของคนในยุคก่อนๆ  การที่พวกเขาปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอดนั้น  พวกเขากำลังทำให้ตัวเองต้องรับผิดชอบต่อโลหิตของคนชอบธรรมของทั้งหมดที่ถูกสังหารตั้งแต่สมัยของอาเบลมาจนถึงสมัยของพระคริสต์  พวกเขากำลังจะเติมถ้วยแห่งความชั่วช้าของพวกเขาให้เต็มจนล้น  และในไม่ช้าถ้วยนั้นก็จะถูกนำมาเทใส่ศีรษะของพวกเขาด้วยการแก้แค้นอย่างยุติธรรม  พระเยซูทรงเตือนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า  {DA 618.3}                                  

เพื่อจะให้โลหิตของคนชอบธรรมทั้งหมดที่ตกในแผ่นดินโลกนั้นตกบนตัวพวกเจ้า ตั้งแต่โลหิตของอาเบลคนชอบธรรม จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์บุตรเบเรคียาห์ที่เจ้าฆ่าเสียในที่ระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชานั้น  เราบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า สิ่งทั้งหมดนี้จะตกกับคนในยุคนี้”  {DA 619.1}                              

พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีที่ฟังพระเยซูอยู่ทราบดีว่าพระดำรัสของพระองค์เป็นความจริง  พวกเขารู้ดีว่าผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์ถูกสังหารอย่างไร  ในขณะที่ถ้อยคำเตือนจากพระเจ้าอยู่บนริมฝีปากของเขา ความโกรธเกรี้ยวอย่างซาตานครอบงำกษัตริย์ผู้ละทิ้งความเชื่อ และด้วยพระบัญชา ผู้เผยพระวจนะถูกประหารชีวิต  เลือดของเขาถูกฝังเป็นรอยประทับลงบนก้อนหินของลานพระวิหาร และลบทิ้งไม่ได้ เป็นรอยประทับที่ยังคงอยู่เป็นพยานหลักฐานถึงชนชาติอิสราเอลที่ละทิ้งความเชื่อ  ตราบใดที่พระวิหารยังคงตั้งอยู่ ก็จะมีคราบเลือดอันชอบธรรมอยู่ร้องขอให้พระเจ้าทรงแก้แค้น ขณะที่พระเยซูทรงอ้างถึงบาปที่น่ากลัวเหล่านี้ ความตื่นตนกอันน่ากลัวก็แผ่ไปทั่วฝูงชน  {DA 619.2}                                    

ขณะที่พระเยซูทรงมองไปยังภายภาคข้างหน้า พระองค์ทรงเปิดเผยถึงความไม่สำนึกผิดของชาวยิวและการที่พวกเขาไม่ยอมรับความคิดเห็นของผู้รับใช้ของพระเจ้านั้นจะเป็นเช่นเดียวกันในอนาคตเหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  {DA 619.3}      

"เพราะเหตุนี้ เราจึงใช้บรรดาผู้เผยพระวจนะ บรรดานักปราชญ์ และธรรมาจารย์ทั้งหลายไปหาพวกเจ้า เจ้าทั้งหลายก็จะฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง เฆี่ยนตีในธรรมศาลาของพวกเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง"  ผู้เผยพระวจนะและนักปราชญ์ที่เต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อและพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเช่น  สเทเฟน ยากอบและคนอื่นๆ อีกมากมายจะถูกกำหนดโทษและสังหาร  ด้วยพระหัตถ์ที่ยกขึ้นสู่สวรรค์และแสงสว่างของพระเจ้าที่ล้อมพระคริสต์อยู่นี้  พระองค์ตรัสดั่งผู้พิพากษากับคนทั้งหลายที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์  พระสุรเสียงที่บ่อยครั้งได้ยินเป็นเสียงอันอ่อนนุ่มและร้องขอ บัดนี้ดังขึ้นด้วยคำตำหนิและการประณาม  คนฟังตัวสั่น  รอยประทับจากพระดำรัสและการทรงเพ่งมองจะไม่มีวันถูกลบทิ้งไป  {DA 619.4}                    

ความโกรธเคืองของพระคริสต์มุ่งตรงไปยังความหน้าซื่อใจคดซึ่งเป็นบาปร้ายแรงที่ทำลายจิตวิญญาณของพวกเขาเอง ที่หลอกลวงประชาชนและหลู่พระเกียรติพระเจ้า  พระองค์ทรงตระหนักได้ถึงตัวแทนของซาตานที่ทำงานผ่านการใช้เหตุผลอย่างตบตาหลอกลวงของพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครอง  การประณามบาปของพระองค์นั้นหลักแหลมและพินิจพิเคราะห์ แต่พระองค์ไม่ตรัสด้วยอารมณ์ของการแก้แค้น  พระองค์ทรงมีพระพิโรธที่บริสุทธิ์ต่อต้านเจ้าชายแห่งความมืด แต่พระองค์ไม่ทรงสำแดงอารมณ์แห่งความขุ่นเคือง  คริสเตียนที่ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระเจ้าจะต้องมีคุณลักษณะอันหอมหวานของความรักและความเมตตาเช่นนี้เหมือนกัน คือรู้สึกขุ่นเคืองอย่างชอบธรรมต่อบาป แต่เขาจะไม่ถูกปลุกเร้าด้วยความปรารถนาที่จะใช้ถ้อยคำหยาบคายต่อผู้ที่ใส่ร้ายป้ายสีเขา  แม้แต่ในขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ถูกกระตุ้นโดยอำนาจจากเบื้องล่างเพื่อยกชูความเท็จ เขาก็ยังคงรักษาความสงบและครองตนเองได้ในพระคริสต์  {DA 619.5}                                

ความสงสารอย่างพระเจ้าแสดงไว้อย่างเด่นชัดบนพระพักตร์ของพระบุตรของพระเจ้าขณะที่พระองค์ทอดพระเนตรพระวิหารอย่างอ้อยอิ่งแล้วทรงมองไปยังผู้ฟังของพระองค์  ด้วยพระสุรเสียงสะอื้นอย่างปวดร้าวภายในพระหทัยและน้ำพระเนตรอันขมขื่น พระองค์ทรงอุทานว่า "โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็ม เมืองที่ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างพวกที่ถูกส่งให้มาหาเจ้าถึงตาย บ่อยครั้งที่เราปรารถนาจะรวบรวมลูกๆ ของเจ้าไว้ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอม!"  นี่คือการดิ้นรนของการลาจากกัน  ในการร้องคร่ำครวญของพระคริสต์ พระหทัยของพระเจ้าเองกำลังหลั่งไหลออกมา  เป็นการอำลาอย่างลึกลับของความรักที่อดทนนานของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่  {DA 620.1}                      

พวกฟาริสีและสะดูสีต่างก็แน่นิ่งไปเช่นกัน  พระเยซูทรงรวบรวมสาวก และเตรียมตัวออกไปจากพระนิเวศไม่ใช่ในฐานะของคนพ่ายแพ้และถูกบังคับให้ออกไปจากเบื้องหน้าศัตรู  แต่ในฐานะผู้ทรงประกอบพระราชกิจสำเร็จแล้ว  พระองค์ทรงพักผ่อนในฐานะผู้ชนะในการต่อสู้  {DA 620.2}                                                      

อัญมณีแห่งความจริงที่ทรงเผยจากริมพระโอษฐ์ของพระคริสต์ในวันอันมีความหมายสำคัญยิ่งนั้นถูกเก็บไว้อย่างสมบัติอันมีค่าในหัวใจของคนมากมาย  สำหรับพวกเขาแล้วความคิดใหม่เริ่มเข้ามาในชีวิต แรงบันดาลใจใหม่ถูกปลุกและประวัติศาสตร์ใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว  หลังจากการตรึงกางเขนและการกลับคืนพระชนม์ของพระคริสต์ คนเหล่านี้ขึ้นไปอยู่แนวหน้าและทำหน้าที่ของพระเจ้าให้สำเร็จด้วยสติปัญญาและความกระตือรือร้นที่สมกับความยิ่งใหญ่ของพระราชกิจ  พวกเขาเป็นพยานข่าวสารที่ชักนำหัวใจของมนุษย์  ทำให้ความงมงายเก่าๆ ที่คอยบั่นทอนชีวิตคนนับพันอ่อนกำลังไป  ต่อหน้าคำพยานของพวกเขานั้น ทฤษฎีและปรัชญาของมนุษย์กลายเป็นตำนานไร้สาระ  ผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นสืบเนื่องจากพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดที่ตรัสกับฝูงชนที่ตื่นตระหนกกลุ่มนั้นในพระนิเวศรที่กรุงเยรูซาเล็ม  {DA 620.3}                                

แต่อิสราเอลในฐานะชนชาติได้หย่าขาดจากพระเจ้าไปแล้ว  กิ่งมะกอกตามธรรมชาติถูกหักออกไปแล้ว  เมื่อทอดพระเนตรไปยังด้านในของพระนิเวศเป็นครั้งสุดท้าย พระเยซูตรัสด้วยความเศร้าสลดใจว่า "นี่แน่ะ นิเวศของเจ้าจะถูกทอดทิ้งให้ร้างเปล่า  เพราะว่าเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะไม่เห็นเราอีก จนกว่าพวกเจ้าจะกล่าวว่า ‘ขอให้ท่านผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ’”  ก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงเรียกพระนิเวศว่าบ้านพระบิดาของพระองค์ แต่บัดนี้ ในขณะที่พระบุตรของพระเจ้าจะเสด็จผ่านกำแพงเหล่านั้นไป การทรงร่วมสถิตของพระเจ้าจะถูกถอนออกจากพระวิหารไปตลอดกาลจากพระนิเวศที่สร้างขึ้นเพื่อถวายพระสิริแด่พระองค์  ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นไปพิธีกรรมต่างๆ จะไร้ซึ่งความหมาย การถวายบูชาต่างๆ จะเป็นการหลอกลวง  {DA 620.4}                                                        

**********