บทที่ 45
เหตุการณ์บ่งบอกถึงเรื่องกางเขน
บทนี้อ้างอิงจาก มัทธิว 16 ข้อที่ 13-28; มาระโก 8 ข้อที่ 27-38; ลูกา 9 ข้อที่ 18-27
พระราชกิจของพระคริสต์บนโลกกำลังเร่งปิดฉากลงอย่างรวดเร็ว อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ภาพโครงร่างที่ชัดเจนแสดงให้เห็นว่าพระบาทของพระองค์กำลังมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางใด แม้ก่อนที่พระองค์เสด็จมารับสภาพของมนุษย์ พระองค์ทรงมองเห็นทางเดินตลอดสายที่ทรงต้องดำเนินเพื่อช่วยมนุษย์ที่หลงหายไปแล้วให้รอด ทุกความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงพระหทัย ทุกคำสบประมาทที่กองอยู่บนพระเศียรของพระองค์ ทุกความคับแค้นใจที่พระองค์ทรงต้องทนสู้นั้นได้เปิดเผยให้พระองค์ทอดพระเนตรก่อนที่พระองค์จะทรงถอดมงกุฎและเสื้อคลุมพระราชาและก้าวลงจากพระบัลลังก์เพื่อเอาความเป็นมนุษย์สวมทับความเป็นพระเจ้า เส้นทางเดินทั้งหมดจากรางหญ้ามุ่งหน้าไปยังกางเขนคาลวารีอยู่ในพระเนตรของพระองค์ พระองค์ทรงทราบถึงความปวดร้าวที่จะเกิดกับพระองค์ พระองค์ทรงทราบทั้งหมด แต่กระนั้นพระองค์ตรัสว่า "นี่แน่ะ ข้าพระองค์มาแล้ว ในหนังสือม้วนก็มีเขียนเรื่องข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีทำตามพระทัยพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์” สดุดี 40 ข้อที่ 7, 8. {DA 410.1}
แม้ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ พระองค์ทรงเห็นผลของพันธกิจของพระองค์ ชีวิตในโลกของพระองค์ที่เต็มไปด้วยงานตรากตรำและการเสียสละส่วนตน ได้รับความสดชื่นของการสนับสนุนจากความหวังว่าพระองค์จะไม่ดำเนินผ่านเส้นทางทั้งหมดนี้โดยเปล่าประโยชน์ โดยการมอบชีวิตของพระองค์เพื่อชีวิตของมนุษย์ พระองค์จะเอาโลกกลับคืนสู่ความภักดีต่อพระเจ้า แม้ว่าพระองค์จะต้องรับบัพติศมาด้วยพระโลหิตเสียก่อน แม้ว่าบาปหนักของโลกจะต้องมาวางลงบนจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ แม้ว่าเงาของความวิบัติที่บรรยายด้วยคำพูดไม่ได้อยู่เหนือพระองค์ แต่ด้วยความยินดีที่อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ พระองค์ทรงสู้ทนต่อกางเขน และทรงถือว่าความอับอายนั้นไม่เป็นสิ่งสำคัญ {DA 410.2}
ภาพที่จัดวางไว้อยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ถูกปิดซ่อนไว้จากสหายที่ได้รับการคัดเลือกไว้เพื่อทำพันธกิจของพระองค์ แต่ใกล้จะถึงเวลาที่พวกเขาต้องเห็นความทุกข์ทรมานของพระองค์ พวกเขาต้องเห็นพระองค์ผู้ซึ่งพวกเขารักและไว้วางใจถูกมอบไว้ในมือของศัตรูของพระองค์และนำขึ้นไปแขวนไว้บนกางเขนคาลวารี อีกไม่นานต่อมา พระองค์จะต้องปล่อยให้พวกเขาเผชิญหน้ากับโลกโดยปราศจากความปลอบประโลมของการสถิตร่วมด้วยของพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่าความเกลียดชังและความไม่เชื่ออันขมขื่นจะกดขี่ข่มเหงพวกเขา และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะเตรียมพวกเขาให้พร้อมกับการทดลองของพวกเขา {DA 410.3}
บัดนี้พระเยซูและสาวกได้เข้ามาในเมืองแห่งหนึ่งที่อยู่รอบเขตเมืองซีซารียาฟีลิปปี พวกเขาอยู่เลยออกไปจากแคว้นกาลิลีในดินแดนที่การบูชารูปเคารพนั้นมีอยู่อย่างดาษดื่น ณ ที่แห่งนี้พวกสาวกหลุดพ้นจากอิทธิพลการควบคุมของพวกลัทธิยิวและเข้าใกล้กับพวกกราบไว้บูชาของคนนอกศาสนามากขึ้น รอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยรูปแบบของความเชื่องมงายที่มีอยู่ในทุกภาคของโลก พระเยซูทรงประสงค์ให้ภาพเหล่านี้ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความรับผิดชอบที่มีต่อประชาชาตินอกศาสนา ในระหว่างที่พระองค์ประทับอยู่ในภูมิภาคนี้พระองค์ทรงพยายามที่จะปลีกตัวจากการสั่งสอนประชาชนและใช้เวลาเพื่อสอนสาวกของพระองค์อย่างเต็มที่ {DA 411.1}
พระองค์กำลังจะตรัสกับพวกเขาถึงความทุกข์ทรมานที่รอคอยพระองค์อยู่ แต่ก่อนอื่น พระองค์เสด็จออกไปตามลำพังและทรงอธิษฐานขอให้จิตใจของพวกเขาพร้อมที่จะรับพระวจนะของพระองค์ เมื่อกลับเข้ามาร่วมกับพวกเขาอีกครั้ง พระองค์ไม่ได้สื่อในสิ่งที่พระองค์ปรารถนาจะให้ในทันที ก่อนที่จะทำเช่นนี้ พระองค์ประทานโอกาสให้พวกเขาสารภาพความเชื่อของพวกเขากับพระองค์เพื่อพวกเขาจะเสริมกำลังรับการทดลองที่กำลังจะมาถึง พระองค์ตรัสถามว่า "คนทั่วไปพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นใคร? " {DA 411.2}
ด้วยความเศร้าใจสาวกถูกบังคับให้สารภาพว่าชนชาติอิสราเอลไม่ยอมรับรว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ของพวกเขา ความจริงแล้วเมื่อบางคนเห็นการอัศจรรย์ของพระองค์ก็ประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรของดาวิด ฝูงชนที่อิ่มด้วยอาหารที่เมืองเบธไซดาต้องการที่จะประกาศแต่งตั้งพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ของชนชาติสราเอล หลายคนพร้อมที่จะยอมรับพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ แต่ไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ {DA 411.3}
ในเวลานี้ พระเยซูทรงตั้งคำถามที่สองที่เกี่ยวข้องกับพวกสาวก “แล้วพวกท่านว่าเราเป็นใคร?” เปโตรตอบว่า "พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่" {DA 411.4}
ตั้งแต่แรก เปโตรเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ คนอื่นมากมายเมื่อฟังยอห์นผู้ให้บัพติศมาเทศนาแล้ว ได้สำนึกถึงบาป และพวกเขาได้ยอมรับพระคริสต์แล้ว ก็เริ่มสงสัยในพันธกิจของยอห์นเมื่อเขาถูกจับเข้าคุกและถูกประหารชีวิต และบัดนี้พวกเขาสงสัยว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่พวกเขาหวังคอยมาเนิ่นนานแล้วหรือเปล่า สาวกหลายคนที่ตั้งความหวังอย่างแรงกล้าว่าพระเยซูจะขึ้นครองบัลลังก์ของดาวิดก็ละทิ้งพระองค์เมื่อพวกเขารู้ว่าพระองค์ไม่มีพระประสงค์เช่นนั้น แต่เปโตรและพรรคพวกไม่หันเหออกไปจากความจงรักภักดี ความโอนไปเอนมาของผู้ที่สรรเสริญในวันก่อนและประณามในวันนี้ไม่ได้ทำลายความเชื่อแท้จริงของผู้ติดตามพระผู้ช่วยให้รอด เปโตรประกาศว่า "พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่" เขาไม่รอเกียรติยศอย่างพระราชามาสวมมงกุฎให้พระเจ้าของเขา แต่ยอมรับพระองค์ในความอัปยศอดสูของพระองค์ {DA 411.5}
เปโตรได้แสดงความเชื่อแทนสาวกสิบสองคน แต่กระนั้นสาวกทั้งหลายก็ยังแทบไม่เข้าใจพันธกิจของพระคริสต์ แม้การต่อต้านและการบิดเบือนความจริงของพวกปุโรหิตและพวกผู้ปกครองไม่ได้ทำให้พวกเขาหันเหไปจากพระคริสต์ก็ตามแต่เรื่องนี้ก็ยังคงทำให้พวกเขางงงวยอยู่อย่างมากยิ่ง พวกเขามองไม่เห็นทางอย่างชัดเจน อิทธิพลของการฝึกเรียนรู้ในช่วงแรกของชีวิต การสั่งสอนของพวกธรรมาจารย์ อำนาจของระบบธรรมเนียมประเพณียังคงขัดขวางมุมมองความจริงของพวกเขา ครั้งแล้วครั้งเล่าแสงสว่างอันล้ำค่าจากพระเยซูก็ส่องมายังพวกเขา แต่บ่อยครั้งที่พวกเขาเป็นเหมือนคนคลำทางไปในเงามืด แต่ในวันนี้ก่อนที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการทดลองครั้งยิ่งใหญ่ของความเชื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลมาประทับอยู่เหนือพวกเขาด้วยฤทธิ์เดช ช่วงเวลาสั้นๆ สายตาของพวกเขาหันไปจาก "สิ่งที่มองเห็น" เพื่อหันไปหา "สิ่งที่มองไม่เห็น" 2 โครินธ์ 4 ข้อที่ 18 พวกเขามองเห็นพระสิริของพระบุตรของพระเจ้าภายใต้ความเป็นมนุษย์ที่ปกปิดพระองค์อยู่ {DA 412.1}
พระเยซูตรัสตอบเปโตรว่า "ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะมนุษย์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผยให้ทราบ" {DA 412.2}
ความจริงที่เปโตรประกาศยอมรับนั้นเป็นรากฐานของความเชื่อของผู้เชื่อ เป็นความจริงที่พระคริสต์เองทรงประกาศว่าเป็นชีวิตนิรันดร์ แต่การเป็นเจ้าของความรู้นี้ไม่ใช่เหตุผลเพื่อทำให้ตนได้รับเกียรติ เปโตรได้รับการเปิดเผยนี้ไม่ใช่ได้โดยผ่านสติปัญญาหรือคุณความดีใด โดยลำพังมนุษยชาติเองจะไม่มีทางได้บรรลุถึงความรู้เรื่องพระเจ้าได้ "มันสูงกว่าฟ้าสวรรค์ ท่านจะทำอะไรได้? ลึกกว่าแดนคนตาย ท่านจะทราบอะไรได้?" โยบ 11 ข้อที่ 8 ด้วยการยอมรับพระวิญญาณเท่านั้นที่เราจะได้รับการเปิดเผยถึงสิ่งล้ำลึกของพระเจ้าซึ่ง "สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง" “พระเจ้าได้ทรงสำแดงสิ่งเหล่านี้กับเราทางพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า” 1 โครินธ์ 2 ข้อที่ 9, 10 "ความลึกลับของพระเยโฮวาห์มีอยู่แก่คนที่ยำเกรงพระองค์" และข้อเท็จจริงที่ว่าเปโตรมองเห็นพระสิริของพระคริสต์เป็นหลักฐานว่า "พระเจ้า. . . .ทรงสั่งสอนพวกเขาทุกคน" สดุดี 25 ข้อที่ 14 TKJV ยอห์น 6 ข้อที่ 45 นั่นแหละ แน่นอนเลยที่เดียว "ซีโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุข เพราะมนุษย์ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผยให้ทราบ" {DA 412.3}
พระเยซูตรัสต่อไปว่า “เราบอกท่านว่าท่านคือเปโตร และบนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้” คำว่าเปโตรหมายถึงหิน เขาเป็นหินที่กลิ้งได้ เปโตรไม่ใช่ศิลาที่คริสตจักรจะก่อตั้งขึ้น เมื่อเขาปฏิเสธพระอาจารย์ของเขาด้วยคำสาปแช่งและคำสบถประตูนรกก็มีชัยอยู่เหนือเขา คริสตจักรถูกสร้างขึ้นบนพระเจ้าองค์นั้นที่ประตูนรกเอาชนะไม่ได้ {DA 412.4}
หลายศตวรรษก่อนที่พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมา โมเสสเคยเน้นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระศิลาแห่งความรอดของชนชาติอิสราเอล ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีเคยร้องบทเพลงนี้มาแล้วว่าทรงเป็น "ศิลาแข็งแกร่ง" อิสยาห์เขียนไว้แล้วว่า "เราวางศิลาก้อนหนึ่งในศิโยน คือศิลาที่ทดสอบแล้ว เป็นศิลามุมเอกล้ำค่า เป็นรากฐานมั่นคง" เฉลยธรรมบัญญัติ 32 ข้อที่ 4; สดุดี 62 ข้อที่ 7; อิสยาห์ 28 ข้อที่ 16 ภายใต้การทรงดลใจของพระเจ้า เปโตรเองเอาคำพยากรณ์นี้ใช้กับพระเยซู เขาเขียนไว้ว่า "ในเมื่อพวกท่านได้ชิมแล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดีเลิศ จงมาหาพระองค์ พระศิลาที่มีชีวิต ที่แม้ถูกมนุษย์ปฏิเสธแล้ว แต่กลับเป็นศิลาที่ทรงเลือกสรร และล้ำค่าในสายพระเนตรพระเจ้า และพวกท่านเองเป็นดังศิลาที่มีชีวิต จงรับการสร้างขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ” 1 เปโตร 2 ข้อที่ 3-5 {DA 413.1}
"ใครจะมาวางรากอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูคริสต์" 1 โครินธ์ 3 ข้อที่ 11 "บนศิลานี้" พระเยซูตรัส "เราจะสร้างคริสตจักรของเราไว้" อยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าและต่อหน้าชาวสวรรค์ผู้มีปัญญาทั้งปวง อยู่ต่อหน้ากองทัพนรกที่ตาเปล่ามองไม่เห็น พระคริสต์ทรงวางคริสตจักรของพระองค์ไว้บนพระศิลาอันมีชีวิต พระศิลานั้นคือพระองค์เอง ซึ่งเป็นกายของพระองค์ที่แตกหักและชอกช้ำเพื่อเรา พลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรไม่ได้ {DA 413.2}
เมื่อพระคริสต์ตรัสถ้อยคำเหล่านี้คริสตจักรอ่อนกำลังเพียงใด! มีผู้เชื่อเพียงหยิบมือเดียว กองทัพของปีศาจและคนชั่วหันหน้าเข้าหาต่อต้านคนกลุ่มนี้ แต่กระนั้น ผู้ติดตามพระคริสต์จะต้องไม่กลัว พวกเขาถูกสร้างขึ้นบนพระศิลาแห่งความแข็งแกร่งของพวกเขา พวกเขาไม่มีทางถูกโค่นล้มได้ {DA 413.3}
เป็นเวลาถึงหกพันปีที่ความเชื่อถูกสร้างขึ้นบนพระคริสต์ เป็นเวลาถึงหกพันปีที่กระแสน้ำเชี่ยวและพายุร้ายแห่งความโกรธแค้นของซาตานโหมกระหน่ำใส่พระศิลาแห่งความรอดของเรา แต่พระศิลานี้ยังคงตั้งมั่นอยู่อย่างไม่หวั่นไหว {DA 413.4}
เปโตรแสดงออกด้วยทางวาจาถึงความจริงซึ่งเป็นรากฐานความเชื่อของคริสตจักรและบัดนี้พระเยซูประทานเกียรติให้แก่เขาในฐานะตัวแทนของผู้เชื่อทั้งหมดเมื่อพระองค์ตรัสว่า "เราจะมอบลูกกุญแจต่างๆ แห่งแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน สิ่งใดที่ท่านกล่าวห้ามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งใดที่ท่านกล่าวอนุญาตในโลก สิ่งนั้นก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์" {DA 413.5}
“ลูกกุญแจต่างๆ แห่งแผ่นดินสวรรค์” คือพระวจนะของพระคริสต์ พระวจนะทั้งหมดของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นของพระองค์และรวมอยู่ในที่นี่ด้วย พระวจนะเหล่านี้มีอำนาจที่จะเปิดและปิดสวรรค์ พระวจนะเหล่านี้ประกาศเงื่อนไขที่จะรับหรือปฏิเสธมนุษย์คนใดคนหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้ งานของผู้ที่ประกาศพระวจนะของพระเจ้าจะเป็นกลิ่นของชีวิตที่นำไปสู่ชีวิตหรือเป็นกลิ่นของความตายที่นำไปสู่ความตาย งานของพวกเขานั้นเป็นพันธกิจที่ต้องชั่งด้วยผลลัพธ์นิจนิรันดร์ {DA 413.6}
พระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้มอบหมายงานของการประกาศพระกิตติคุณให้แก่เปโตรเป็นรายบุคคล ในเวลาต่อมา เมื่อพระองค์ประทานพระบัญชาซ้ำอีกครั้งให้แก่เปโตร พระองค์ทรงนมาใช้กับคริสตจักรโดยตรง เนื้อหาอันเดียวกันก็กล่าวไว้ให้กับสาวกสิบสองคนที่เป็นตัวแทนของผู้เชื่อของทั้งคริสตจักร หากพระเยซูทรงมอบหมายอำนาจพิเศษใดให้กับสาวกคนหนึ่งคนใดมากกว่าคนอื่นแล้ว เราคงจะไม่พบพวกเขาแย่งชิงว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุด พวกเขาคงจะยอมทำตามพระประสงค์ของอาจารย์ของพวกเขาและให้เกียรติผู้ที่พระองค์ทรงเลือก {DA 414.1}
แทนที่จะแต่งตั้งคนหนึ่งให้เป็นหัวหน้าของพวกเขาพระคริสต์ตรัสกับเสาวกว่า "อย่าให้ใครเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’" “อย่าให้ใครเรียกท่านทั้งหลายว่า ‘บรมครู’ เพราะว่าบรมครูของพวกท่านมีเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์" มัทธิว 23 ข้อที่ 8, 10 {DA 414.2}
“พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชาย” พระเจ้าผู้ทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้เท้าของพระผู้ช่วยให้รอดนั้น "ประทานพระคริสต์แก่คริสตจักรให้เป็นเจ้านายเหนือทุกๆ สิ่ง คริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ ซึ่งเป็นความบริบูรณ์ของพระองค์ ผู้ทรงเติมทุกอย่างในทุกแห่งให้เต็มบริบูรณ์” 1 โครินธ์ 11 ข้อที่ 3 เอเฟซัส 1 ข้อที่ 22, 23 คริสตจักรสร้างขึ้นบนพระคริสต์ผู้ทรงเป็นรากฐาน คือให้เชื่อฟังพระคริสต์ในฐานะศีรษะ ไม่ใช่วางใจในมนุษย์ หรือไปอยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์ หลายคนอ้างว่าการได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งในคริสตจักรทำให้พวกเขามีอำนาจสั่งคนอื่นๆ ให้เชื่อและทำตามเขา การอ้างเช่นนี้พระเจ้าไม่ทรงอนุมัติ พระผู้ช่วยให้รอดทรงเปิดเผยว่า "พวกท่านทุกคนเป็นพี่น้องกัน" ทุกคนต้องสัมผัสกับการล่อลวงและมีแนวโน้มของการทำผิดได้ เราต้องไม่พึ่งมนุษย์ที่มีขอบเขตจำกัดคนใดมาเป็นผู้นำ พระศิลาแห่งความเชื่อคือการทรงร่วมสถิตอย่างมีชีวิตของพระคริสต์ในคริสตจักร คนอ่อนแอที่สุดจะต้องพึ่งในพระศิลานี้ และคนที่คิดว่าตนเข้มแข็งที่สุดจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดนอกเสียจากว่าเขาจะรับพระคริสต์มาเป็นพละกำลังของเขา "คนที่วางใจในมนุษย์ และให้เนื้อหนังเป็นกำลังของเขา. . . .คนนั้นก็เป็นที่แช่งสาป" พระเจ้าทรงเป็น "พระศิลา พระราชกิจของพระองค์ก็สมบูรณ์" “ทุกคนที่เข้ามาลี้ภัยในพระองค์ก็เป็นสุข” เยเรมีย์ 17 ข้อที่ 5 เฉลยธรรมบัญญัติ 32 ข้อที่ 4 สดุดี 2 ข้อที่ 12 {DA 414.3}
หลังจากเปโตรประกาศยอมรับพระเยซูแล้ว พระองค์ทรงกำชับพวกสาวกห้ามบอกคนใดว่าพระองค์คือพระคริสต์ พระองค์ประทานพระบัญชานี้แก่พวกเขาเพราะพวกธรรมจารย์และพวกฟาริสีมุ่งมั่นต่อต้านพวกเขา ยิ่งกว่านี้ผู้คนและแม้แต่สาวกยังมีความคิดที่ผิดๆ เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ หากมีการประกาศต่อสาธารณชนเกี่ยวกับพระองค์จะทำให้พวกเขาไม่ทราบถึงลักษณะของพระราชกิจของพระองค์ที่ถูกต้อง แต่วันแล้ววันเล่าพระองค์ทรงเปิดเผยตัวเองให้แก่พวกเขาในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและด้วยเหตุนี้พระองค์จึงต้องการให้พวกเขามีความคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระองค์ในฐานะพระเมสสิยาห์ {DA 414.4}
สาวกทั้งหลายยังคงคาดหวังว่าพระคริสต์จะขึ้นครองราชย์ในฐานะเจ้าชายของทางโลก แม้ว่าพระองค์ทรงปิดบังแผนการณ์ของของพระองค์มาเนิ่นนานแล้ว พวกเขาก็ยังเชื่อว่าพระองค์คงจะไม่อยู่อย่างยากจนและอย่างไม่เป็นที่รู้จักตลอดไป เวลาใกล้จะมาถึงแล้วเมื่อพระองค์จะทรงจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์ พระสาวกไม่ยอมแม้ที่จะให้ความคิดต่างๆ ต่อไปนี้แล่นผ่านสมองของพวกเขาคือพวกเขาไม่มีทางเอาชนะความเกลียดชังของพวกปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์และคนชาติเดียวกันจะปฏิเสธพระองค์จนกำหนดโทษพระองค์ให้เป็นผู้หลอกลวงและจับพระองค์ตรึงกางเขนในฐานะผู้ร้าย แต่เวลาของอำนาจมืดกำลังเข้ามาใกล้และพระเยซูทรงต้องเปิดเผยความขัดแย้งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาให้กับสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงเศร้าพระทัยในขณะที่ทรงรอคอยความทุกข์ที่กำลังจะมา {DA 415.1}
จนบัดนี้พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงจากการเปิดเผยให้พวกเขาทราบถึงสิ่งหนึ่งใดอันเกี่ยวข้องกับความทุกข์ทรมานและความตายของพระองค์ ในการสนทนาของพระองค์กับนิโคเดมัส พระองค์ตรัสว่า "โมเสสยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารอย่างไร บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นอย่างนั้น เพื่อทุกคนที่วางใจพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์" ยอห์น 3 ข้อที่ 14, 15 แต่พวกสาวกไม่ได้ยินเรื่องนี้และหากพวกเขาได้ยินก็คงจะไม่เข้าใจ แต่บัดนี้พวกเขาอยู่กับพระเยซู คอยฟังพระดำรัสของพระองค์ คอยติดตามพระราชกิจของพระองค์โดยไม่ได้คำนึงถึงสภาพแวดล้อมอันต่ำต้อยของพระองค์และการต่อต้านของพวกปุโรหิตและของประชาชน พวกเขาร่วมกันกับเปโตรให้คำพยานว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” บัดนี้ถึงเวลาแล้วม่านที่กั้นอนาคตจะถูกยกออกไป “ตั้งแต่เวลานั้นมา พระเยซูทรงเริ่มเผยแก่บรรดาสาวกของพระองค์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทรงทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้ใหญ่ พวกหัวหน้าปุโรหิต และพวกธรรมาจารย์ และทรงถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่” {DA 415.2}
สาวกฟังด้วยความเศร้าโศกและประหลาดใจอย่างพูดไม่ออก พระคริสต์ทรงรับคำประกาศยอมรับของเปโตรว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และบัดนี้พระดำรัสของพระองค์ที่บ่งบอกถึงความทุกข์ทรมานและความตายของพระองค์ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเข้าใจได้ เปโตรอยู่อย่างนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาจับยึดพระอาจารย์ไว้ ราวกับว่าต้องการดึงพระองค์ออกมาจากเคราะห์กรรมที่กำลังจะมาถึง เปโตรอุทานว่า "อย่าให้เป็นเช่นนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้า จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้" {DA 415.3}
เปโตรรักพระเจ้าของเขา แต่พระเยซูไม่ทรงชมเชยเขาในเรื่องการแสดงความปรารถนาเพื่อปกป้องพระองค์จากความทุกข์ทรมาน คำพูดของเปโตรไม่ถือเป็นการช่วยเหลือและให้ความปลอบประโลมใจพระเยซูในการทดลองครั้งยิ่งใหญ่ที่อยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ การทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อโลกที่หลงหายไป หรือกับบทเรียนของการเสียสละส่วนตนที่พระเยซูเสด็จมาสอนด้วยแบบอย่างของพระองค์เอง เปโตรไม่ปรารถนาที่จะเห็นไม้กางเขนในพระราชกิจของพระคริสต์ ความฝังใจที่ได้จากคำพูดของเขานั้นค้านกับสิ่งที่พระคริสต์ปรารถนาจะให้กับผู้ติดตามของพระองค์ และพระผู้ช่วยให้รอดได้รับการทรงดลพระทัยที่ต้องตรัสคำตำหนิอย่างรุนแรงที่สุดที่ไม่เคยหลุดออกจากริมพระโอษฐ์ของพระองค์ ข้อที่ "จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเราเพราะเจ้าไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า แต่เจ้าคิดอย่างมนุษย์" {DA 415.4}
ซาตานพยายามทำให้พระเยซูท้อและหันจากพันธกิจของพระองค์ และด้วยความรักที่มืดบอดเปโตรกำลังถ่ายทอดเสียงของการทดลอง เจ้าชายแห่งความชั่วเป็นผู้กำหนดความคิด คำยุยงของเขาอยู่เบื้องหลังการอุทธรณ์ที่หุนหันพลันแล่น ในถิ่นทุรกันดารซาตานเสนอให้พระคริสต์เป็นผู้มีอำนาจครองโลกด้วยเงื่อนไขเพียงแค่ละทิ้งเส้นทางแห่งความอัปยศอดสูและการเสียสละ บัดนี้เขากำลังนำเสนอการทดลองแบบเดียวกันนี้ให้กับสาวกของพระคริสต์ เขาหาทางที่จะนำเปโตรให้ไปจ้องมองสง่าราศีของโลกเพื่อเขาจะมองไม่เห็นไม้กางเขนที่พระเยซูทรงประสงค์ให้สายตาของพวกเขาหันมาทางนี้ และโดยผ่านทางเปโตร ซาตานก็ถาโถมการล่อลวงใส่พระเยซูอีกครั้งหนึ่ง แต่พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงใส่พระทัย พระองค์ทรงคำนึงถึงสาวกของพระองค์ ซาตานขวางอยู่ระหว่างเปโตรกับพระอาจารย์ของเขาเพื่อไม่ให้หัวใจของสาวกสัมผัสได้ถึงนิมิตที่พระองค์ทรงต้องถ่อมพระองค์เองลงเพื่อเขา พระดำรัสที่พระคริสต์ตรัสไปนั้นไม่ได้ตรัสกับเปโตร แต่ตรัสกับผู้หนึ่งที่พยายามแยกเขาออกไปจากพระผู้ไถ่ของเขา "อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา" อย่ามาขวางกั้นระหว่างเรากับคนรับใช้ของเราที่ทำผิด ให้เราเข้ามาหาเปโตรโดยตรงเพื่อเราจะเปิดเผยให้เขาเห็นถึงความล้ำลึกของความรักของเรา {DA 416.1}
สำหรับเปโตรแล้วเป็นบทเรียนที่ขมขื่นและเป็นบทเรียนที่เขาเรียนรู้ได้อย่างเชื่องช้าว่า เส้นทางของพระคริสต์บนโลกนี้จะต้องผ่านความทุกข์ทรมานและความอัปยศอดสู สาวกคนนั้นกลัวที่จะสามัคคีธรรมทนทุกข์ทรมานร่วมกับพระอาจารย์ของเขา แต่ในความร้อนแรงของเตาไฟเขาต้องเรียนรู้พระพรที่จะได้รับ ต่อจากนั้นไปอีกนาน เมื่อร่างกายที่แข็งแรงกระฉับกระเฉงโค้งงออันเนื่องจากกาลเวลาของอายุและภาระการงาน เขาเขียนบันทึกไว้ว่า "ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าแปลกใจกับความทุกข์ยากแสนสาหัสที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกท่าน เพื่อทดสอบพวกท่านนั้น ราวกับว่าสิ่งประหลาดเกิดกับพวกท่าน แต่จงชื่นชมยินดีเสมอ ที่ได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อพระสิริของพระองค์ปรากฏ พวกท่านก็จะชื่นชมยินดีจนเนื้อเต้น" 1 เปโตร 4 ข้อที่ 12, 13 {DA 416.2}
บัดนี้พระเยซูทรงอธิบายให้สาวกของพระองค์ฟังว่าชีวิตของการละทิ้งตนเองของพระองค์เป็นแบบอย่างของชีวิตที่พวกเขาควรจะต้องทำตาม พระองค์เชิญชวนสาวกของพระองค์และคนที่เถลไถลอยู่รอบพระองค์ ด้วยการตรัสว่า "ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา" ไม้กางเขนเกี่ยวข้องกับอำนาจการปกครองของอาณาจักรโรม เป็นเครื่องมือแห่งความตายที่โหดร้ายและน่าอัปยศที่สุด อาชญากรต่ำช้าที่สุดถูกกำหนดให้แบกกางเขนไปยังจุดประหาร และบ่อยครั้งเมื่อจะเอากางเขนใส่บ่าของพวกเขา พวกเขาจะต่อต้านอย่างรุนแรงด้วยความสิ้นหวังจนหมดแรง และจะต้องเอาเครื่องมือแห่งความทรมานผูกติดกับตัว แต่พระเยซูทรงเรียกร้องให้ผู้ติดตามของพระองค์แบกกางเขนตามพระองค์ไป สำหรับสาวกแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะเข้าใจพระดำรัสของพระองค์ได้แต่เป็นเพียงบางส่วน ก็ยังชี้ให้เห็นถึงการยอมจำนนต่อความอัปยศอดสูที่ขมขื่นที่สุด นั่นคือยอมแม้จะต้องตายเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ ไม่มีภาพใดที่พระดำรัสตรัสของพระผู้ช่วยให้รอดจะบรรยายถึงการมอบถวายตนอย่างสมบูรณ์แบบได้เช่นนี้อีกแล้ว แต่ทั้งหมดนี้พระองค์ทรงรับไว้เพื่อพวกเขา พระเยซูไม่ทรงถือว่าสวรรค์เป็นสถานที่ที่น่าปรารถนาในขณะที่เราทั้งหลายยังหลงหายอยู่ พระองค์ทรงก้าวออกจากพระบัลลังก์แห่งสวรรค์เพื่อมารับการตำหนิและการถูกดูหมิ่นและความตายแห่งความอัปยศ พระองค์ผู้ทรงร่ำรวยด้วยสมบัติล้ำค่าของสวรรค์ทรงมารับสภาพคนยากจนเพื่อโดยความยากจนเราจะได้มั่งมี เราต้องเดินไปตามเส้นทางที่พระองค์ทรงดำเนิน {DA 416.3}
การที่จะรักจิตวิญญาณที่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพือเขาเหล่านั้นหมายถึงการตรึงตัวเราเองไว้บนกางเขน ผู้ที่เป็นบุตรของพระเจ้าควรมองว่าตัวเองเป็นข้อต่อข้อหนึ่งของสายโซ่ที่ส่งลงมาเพื่อช่วยโลกให้รอด เป็นหนึ่งร่วมกับพระคริสต์ในแผนการแห่งความเมตตาเพื่อออกไปกับพระองค์ตามหาและช่วยคนที่หลงหาย คริสเตียนทั้งหลายจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเขาได้ถวายตัวแด่พระเจ้าและด้วยลักษณะอุปนิสัยพวกเขาจะต้องเปิดเผยพระคริสต์ให้แก่โลก การเสียสละส่วนตน ความเห็นอกเห็นใจ ความรักที่แสดงออกในชีวิตของพระคริสต์จะต้องเปิดเผยออกมาอีกครั้งในชีวิตของผู้ปฏิบัติงานถวายพระเจ้า {DA 417.1}
"เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด" ความเห็นแก่ตัวคือความตาย ไม่มีอวัยวะใดของร่างกายจะมีชีวิตอยู่ได้หากอวัยวะนั้นจำกัดการให้บริการไว้ให้กับตัวเอง หัวใจที่ไม่ส่งเลือดอันมีชีวิตไปยังมือและศีรษะจะสูญเสียพลังไปอย่างรวดเร็ว ดั่งเลือดอันมีชีวิตของเรา ความรักของพระคริสต์ก็กระจายไปทั่วทุกส่วนของกายอันลึกลับอัศจรรย์ของพระองค์ เราเป็นสมาชิกที่อยู่ร่วมกัน และจิตวิญญาณใดปฏิเสธที่จะให้ก็จะพินาศ และ "ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร" พระเยซูตรัส "เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร เพราะว่าผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของตนกลับคืนมา" เล่า {DA 417.2}
พระองค์ทรงเน้นให้พวกเขามองไปให้ไกลโพ้นออกไปจากความยากจนและความอัปยศอดสูในปัจจุบัน พระองค์ทรงเน้นให้สาวกมองไปยังการเสด็จมาด้วยรัศมีภาพของพระองค์ไม่ใช่ในความยิ่งใหญ่ตระการของบัลลังก์บนโลก แต่ด้วยพระสิริของพระเจ้าและกองกำลังชาวสวรรค์ และแล้วพระองค์ตรัสว่า "พระองค์จะทรงตอบแทนแต่ละคนตามการกระทำของเขา" เพื่อให้กำลังใจแก่พวกเขาพระองค์ทรงสัญญาว่า "เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนยังจะไม่ลิ้มรสความตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในราชอาณาจักรของพระองค์” แต่สาวกไม่เข้าใจพระดำรัสของพระองค์ พระสิริดูเหมือนอยู่ห่างไกลเกินไป สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังภาพที่ใกล้ ชีวิตแสนเข็ญของทางโลก ความอัปยศและความทุกข์ทรมาน พวกเขาจะต้องละทิ้งความคาดหวังอย่างเจิดจรัสในเรื่องอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ไปเชียวหรือ? พวกเขาจะไม่ได้เห็นพระเป็นเจ้าของพวกเขาขึ้นครองพระบัลลัก์ของกษัตริย์ดาวิดหรือ? เป็นไปได้หรือที่พระคริสต์จะต้องดำเนินชีวิตอย่างถ่อมตน พเนจรไร้บ้าน ถูกดูหมิ่น ถูกปฏิเสธและถูกประหารชีวิต? ความโศกเศร้าบีบคั้นหัวใจของพวกเขาเพราะพวกเขารักพระอาจารย์ของพวกเขา ความสงสัยยังรังควานจิตใจของพวกเขาด้วยเพราะพระบุตรของพระเจ้าที่ต้องพบกับความอัปยศอันเหี้ยมโหดเช่นนี้เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาตั้งแง่ส่งสัยว่าทำไมพระองค์จะต้องมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็มด้วยความสมัครใจเพื่อพบกับการถูกปฏิบัติกับสิ่งที่พระองค์ทรงบอกเล่าว่าจะต้องเผชิญที่นั่น พระองค์จะยอมปล่อยให้ตัวเองไปรับชะตาเช่นนี้ได้อย่างไร และทิ้งพวกเขาไปอยู่ในความมืดมิดยิ่งกว่าที่พวกเขาหาทางคลำอยู่ก่อนที่พระองค์จะเปิดเผยตัวเองให้แก่พวกเขา {DA 417.3}
สาวกคิดอย่างมีเหตุมีผลว่าในแคว้นซีซารียาฟีลิปปี พระคริสต์อยู่ไกลเกินที่กษัตริย์เฮโรดและคายาฟาสจะมาถึงพระองค์ได้ พระองค์ไม่ต้องกลัวความเกลียดชังของชาวยิวหรืออำนาจของชาวโรมันที่นั่น ทำไมไม่ทำงานที่นั่นซึ่งห่างไกลจากพวกฟาริสีเล่า? ทำไมพระองค์จึงต้องทรงยอมปล่อยให้ตัวเองตายเล่า? หากพระองค์จะสิ้นพระชนม์ อาณาจักรของพระองค์จะถูกสถาปนาขึ้นอย่างมั่นคงจนประตูนรกเอาชัยเหนือมันไม่ได้นั้นได้อย่างไร? สำหรับสาวกแล้วนี่เป็นเรื่องลึกลับอย่างแน่นอน {DA 418.1}
ในเวลานี้พวกเขากำลังเดินเรียบไปตามชายฝั่งของทะเลสาบกาลิลีมุ่งหน้าไปยังเมืองที่ความหวังทั้งหมดของพวกเขาจะอับปาง พวกเขาไม่กล้าโต้แย้งกับพระคริสต์ แต่คุยกันด้วยน้ำเสียงที่ต่ำและเศร้าสร้อยอันเกี่ยวกับว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แม้ตกอยู่ท่ามกลางปัญหาต่างๆ นานา พวกเขาก็ยังคงยึดมั่นอยู่กับความคิดที่ว่าจะมีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันบางอย่างอาจมาพลิกชะตาที่กำลังรอพระองค์ของพวกเขาอยู่ ด้วยประการฉะนี้ พวกเขาทุกข์และสงสัย หวังและกลัวอยู่เป็นเวลานานถึงหกวันแห่งความมืดมนอันยาวนาน {DA 418.2}
*********